หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 677 หยั่งรู้ล่วงหน้า
“ได้ เดี๋ยวฉันจะเขียนออกมาให้พวกเธอ”
หนานไหวจิ่นพยักหน้า กล่าวว่า “ตำราม้วนนี้มีประโยชน์อยู่บ้างต่อโจวเซี่ยวเทียน แต่ว่าสำหรับพวกเรานั้น กลับใช้ประโยชน์ได้ไม่มากนัก”
“น้องไหวจิ่น เคล็ดวิชาซึ่งสามารถฝึกฝนสูงได้ถึงขั้นหลอมปราณสู่จิต ก็นับว่าสุดยอดมากแล้ว ใช้อ้างอิงสำหรับพวกเราได้พอสมควรทีเดียว!”
พบพานหายนะหลายต่อหลายครั้งในยุคประวัติศาสตร์ร่วมสมัย เคล็ดวิชาในตำนานโบราณและที่สืบทอดกันมาในแต่ละสำนักเหล่านั้น ต่างถูกทำลายไปในไฟสงคราม เคล็ดวิชาเหล่านี้แม้ไร้ประโยชน์ต่อพวกโก่วซินเจีย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไร้คุณค่า
“ศิษย์พี่หนาน อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย…” เยี่ยเทียนเบี่ยงประเด็น กล่าวว่า “การเดินทางครั้งนี้ของพี่ ไม่พบเจอผู้อาวุโสคนนั้น แล้วลบล้างคำสาบานเมื่อในอดีตได้อย่างไรกัน?”
เพื่อทำตามคำสาบานในอดีต หนานไหวจิ่นไม่ยอมบอกกล่าวแม้กระทั่งเพื่อนสนิทอย่างโก่วซินเจีย แต่เวลานี้กลับเผยออกมาหมดเปลือก ทำให้เยี่ยเทียนอดประหลาดใจไม่ได้
หนานไหวจิ่นได้ยินเข้าก็สลดลงเล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก “เฮ้อ ฉันเล่าเรื่องที่พบในการเดินทางครั้งนี้ให้พวกเธอฟังแล้วกัน…”
ที่แท้ หลังจากหนานไหวจิ่นเข้าไปยังเขาชิงเฉิงแล้ว ก็แวะเยี่ยมเยียนสหายเก่าในอดีตและศิษย์รุ่นหลัง โดยคาดหวังว่าจะได้ข่าวสารของผู้สูงส่งคนนั้นจากปากของพวกเขา
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้หนานไหวจิ่นผิดหวังก็คือ สหายเก่าและศิษย์รุ่นหลังเหล่านี้ ล้วนออกจากสำนักกันหมดแล้ว หากไม่ทำการค้าก็พัฒนาการท่องเที่ยว มีคนมากมายที่บนเนื้อตัวไม่มีแม้กระทั่งพลังวิชาเหลืออยู่
เมื่อหมดหนทาง หนานไหวจิ่นจึงไปตามเส้นทางที่พบผู้อาวุโสท่านนั้นเมื่อในอดีต ไปยังส่วนลึกของเขาชิงเฉิง
ถึงแม้หนานไหวจิ่นจะยังไม่อยู่ในขั้นฝึกจิตเข้าสู่ความว่าง แต่เขาก็รู้ว่าการฝึกจิตดั้งเดิมในสำนักเต๋า มักหลีกเลี่ยงการรบกวนจากผู้คนรอบข้างมากที่สุด และเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ต่อให้ผู้อาวุโสท่านนั้นยังมีชีวิต ก็เกรงว่าจะละทิ้งสถานที่หนีจากไปแล้ว
หนานไหวจิ่นผู้ไม่ยอมแพ้บุกเข้าไปยังส่วนลึกของภูเขา ต้องเข้าใจด้วยว่าการฝึกหลอมปราณเข้าสู่จิต จะทำให้มีอายุยืนกว่าร้อยปี ผู้อาวุโสท่านนั้นสามารถฝึกจิตแห่งหยางออกจากร่างได้นานแล้ว ความเป็นไปได้ว่าอาจยังมีชีวิตอยู่จึงมีถึงแปดหรือเก้าในสิบส่วน
ว่ากันว่าเขาชิงเฉิงมี “สามสิบหกยอดเขา” “แปดถ้ำใหญ่” “ เจ็ดสิบสองถ้ำเล็ก” “ ร้อยแปดทิวทัศน์” ครอบคลุมพื้นที่ กว่าร้อยกิโลเมตร ป่าไม้เขียวขจีทั่วขุนเขา ผลิบานทั้งสี่ฤดู ยอดเขาเผชิญหน้าหากัน
การเสาะหาของหนานไหวจิ่นครั้งนี้ ใช้เวลาอยู่กลางป่าเขาถึงเดือนกว่าเต็มๆ อย่าว่าแต่หาเบาะแสของท่านอาวุโสผู้นั้นได้ กระทั่งร่องรอยของคนที่ใช้ชีวิตอยู่บนป่าเขานั้นก็ยังไม่พบ
สิ่งนี้ทำให้หนานไหวจิ่นผิดหวังอย่างที่สุด แต่ขณะที่เขากำลังจะหันหลังกลับนั้นเอง ก็ได้พบถ้ำแห่งหนึ่งระหว่างทางขึ้นเขา
ปากถ้ำแห่งนี้หันไปทางทิศตะวันออก แสงส่องผ่านได้ปรุโปร่ง สามารถเข้าไปภายในถ้ำได้ลึกสิบกว่าเมตร ปากถ้ำมีรั้วกั้นขวาง ภายในถ้ำมีเตียงไม้ไผ่และเบาะสำหรับนั่งสมาธิ นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีสิ่งใดอื่นอีก
ทว่าบนผนังถ้ำ กลับแกะสลักตัวอักษรขนาดใหญ่เอาไว้ว่า “คลื่นบังเกิดเมฆสลาย วาสนาเก่าสิ้นสุดลง สหายน้อยจงรักษาตัว!”
เมื่อใช้นิ้วมือลากบนตัวอักษรเหล่านั้น หนานไหวจิ่นก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า ตัวอักษรเหล่านั้นใช้นิ้วเขียนลงบนหิน
แม้ตัวอักษรสิบสองตัวนี้ไม่มีต้นสายปลายเหตุ แต่หนานไหวจิ่นกลับกระจ่างแก่ใจว่า ผู้อาวุโสท่านนั้นเขียนบอกกับตนเอง เมื่อไม่อาจฟื้นคืนวาสนาแต่เก่าก่อน คำสัญญาในอดีตจึงไม่จำเป็นต้องรักษาอีกแล้ว
โก่วซินเจียแทรกถามขึ้น “น้องไหวจิ่น หรือเป็นเพราะผู้อาวุโสท่านนั้นพบว่าน้องกำลังตามหาเขา จึงจงใจหลบหลีกไม่มาพบ?”
“ไม่ใช่หรอก ฉันเห็นแล้วว่าตัวหนังสือนั่นมีฝุ่นเกาะอยู่เต็ม ระยะเวลาที่ตัวอักษรถูกทิ้งไว้อย่างน้อยต้องสิบกว่าปีขึ้นไป”
หนานไหวจิ่นส่ายหน้า บอกว่า “พี่หยวนหยาง หลังจากฝึกฝนเข้าขั้นหลอมจิตเข้าสู่ความว่างแล้ว ความเข้าใจในสรรพสิ่งบนโลกมนุษย์จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ถึงขั้นสามารถคาดเดาอดีตและอนาคตของตนเอง!”
แม้หนานไหวจิ่นจะไม่ได้นับถือผู้อาวุโสท่านนั้นเป็นอาจารย์ แต่ภายหลังเขาก็เสาะหาบทความตำราที่บรรยายเรื่องการหลอมจิตสู่ความว่างเปล่าไม่น้อย จึงรู้เรื่องพลังวิเศษหลังจากเชี่ยวชาญในการควบคุมจิตดั้งเดิมได้
“อย่ามามองที่ผม ผมเพิ่งอยู่ขั้นจิตดั้งเดิมครึ่งๆ กลางๆ เท่านั้น แล้วยังใช้รักษาบาดแผลเป็นส่วนใหญ่ ไม่ลึกซึ้งถึงขั้นที่ศิษย์พี่หนานพูดถึงหรอกครับ”
เห็นทุกคนต่างจับจ้องสายตามองมาที่ตนเอง เยี่ยเทียนก็หัวเราะแห้งออกมา หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “บางทีที่ศิษย์พี่หนานพูดคงจะจริง ก่อนหน้านี้ที่ผมให้เหล่าถังมาพบ ยังไม่ได้ทำนายอะไร แต่ในหัวกลับปรากฏภาพใบหน้าของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์!”
เยี่ยเทียนหันหน้าไปทางจั่วเจียจวิ้น บอกว่า “ศิษย์พี่จั่ว นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ร่างกายผอมเล็ก ใบหน้าอึมครึม บนดวงตาด้านขวามีไฝเม็ดหนึ่งใช่ไหม?”
ก่อนหน้านี้เยี่ยเทียนเพียงบอกว่าเรื่องที่ประเทศไทยเกี่ยวข้องกับนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่ได้บอกว่าภายในหัวเขาปรากฏภาพของฝ่ายตรงข้าม เพิ่งจะมาพูดถึงเอาตอนนี้
“ใช่ นั่นแหละคือนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์!”
จั่วเจียจวิ้นพยักหน้า ตอบด้วยสีหน้าประหลาดใจ “หรือว่าพอหลังจากฝึกจิตดั้งเดิมแล้ว จะสามารถล่วงรู้ถึงลางสังหรณ์? ถ้าอย่างนั้นจะมีประโยชน์อะไรต่อนักทำนายอย่างพวกเราล่ะ?”
การทำนายทายทักนับแต่อดีตกาล ซึ่งถ่ายทอดมาจนถึงยุคปัจจุบันนั้น มีระบบที่สลับซับซ้อน ไม่เหมือนอย่างคนเข้าใจว่าเป็นพวกปลิ้นปล้อนหลอกลวงสร้างเรื่อง หากต้องการเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ จะต้องใช้แรงกายทั้งชีวิตเพื่อศึกษาค้นคว้า
แต่หากฝึกฝนถึงขั้นหลอมจิตสู่ความว่างเปล่า จะสามารถทำได้ถึงขั้นล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าอย่างแท้จริง ทำให้จั่วเจียจวิ้นที่ใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับการทำนาย ออกจะรับไม่ได้
“ศิษย์น้องจั่ว เธอยึดติดเกินไป”
หลังจากได้ยินคำพูดของจั่วเจียจวิ้น โก่วซินเจียก็ส่ายหน้า กล่าวว่า “การทำนายฮวงจุ้ยโหงวเฮ้ง ก็อยู่ในขอบเขตของการฝึกวิชา ย่อมเป็นการเดินคนละเส้นทาง แต่มุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน อีกทั้งนับแต่อดีตจนปัจจุบัน มีคนที่เข้าสู่ขั้นหลอมจิตกลับสู่ความว่างเสียเท่าไหร่กัน? พวกเขาหรือจะไปแย่งชามข้าวจากเธอ?”
“ศิษย์พี่ใหญ่พูดถูกต้องแล้ว!”
คำพูดของโก่วซินเจียทำให้ทุกคนต่างหัวเราะออกมา ความจริงก็เป็นอย่างที่โก่วซินเจียว่า
บุคคลในตำนานอย่าง ก่วงหลิงจื่อ เก๋อหง หลู่ต้งปิน เหล่านี้ล้วนเป็นดั่งหงส์งามทำให้ผู้คนตกตะลึง แม้มีเรื่องเล่าลือสืบต่อกันมาให้ได้ยินบ้าง แต่คนที่เคยพบพวกเขาอย่างแท้จริง กลับมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
“ศิษย์พี่หนาน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมต้องขอขอบคุณพี่มาก!”
หลังจากฟังหนานไหวจิ่นอธิบายเรื่องการเดินทางไปเขาชิงเฉิงจบแล้ว เยี่ยเทียนก็ยกถ้วยชาที่เพิ่งรินเสร็จ กล่าวว่า “ผมขอใช้น้ำชาแทนเหล้า คารวะศิษย์พี่หนานหนึ่งถ้วย!”
เพื่อช่วยเยี่ยเทียนเสาะหาเคล็ดลับ หนานไหวจิ่นซึ่งอายุกว่าแปดสิบปี เดินทางกลางเขาเป็นเวลาร่วมเดือนกว่า ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ถือว่าเยี่ยเทียนติดค้างน้ำใจครั้งนี้
“ฉันละอายใจนัก!” หนานไหวจิ่นยกถ้วยชาคำนับซ้ำๆ กลับไปทางเยี่ยเทียน
“อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย น้องไหวจิ่นเล่าเรื่องในอดีตนั่นอีกครั้งเถอะ ผู้อาวุโสท่านนั้นเหยียบเมฆขึ้นสู่ท้องฟ้าจริงหรือ?”
หลังจากได้ยินคำพูดของหนานไหวจิ่น โก่วซินเจียก็หัวเราะเบี่ยงประเด็น ในใจยังคงสงสัยเรื่องนักพรตเต๋าผู้นั้น หรือว่าหลังจากฝึกฝนจิตดั้งเดิมแล้ว จะสามารถเป็นได้อย่างเทพเซียนในตำนานจริง?
“จริงแท้แน่นอน เวลานั้นถึงแม้อายุยังเยาว์ แต่ฉันมองไม่ผิดแน่”
หนานไหวจิ่นพยักหน้า กล่าวว่า “ ฉันสงสัยว่าหลังจากเข้าสู่ความว่างเปล่าแล้ว คุณสมบัติของปราณชีวิตแท้จะเกิดการเปลี่ยนแปลง เมฆที่เกิดขึ้นใต้เท้า อาจเป็นการขับเคลื่อนนำพาปราณชีวิตแท้ก็ได้”
“น่าเสียดาย ที่ศิษย์น้องสูญเสียปราณชีวิตแท้ทั้งหมด ไม่อย่างนั้นพวกเราคงสามารถหาคำตอบได้แล้ว”
โก่วซินเจียถอนหายใจ ใบหน้าเหม่อลอย ไม่เพียงเขาที่มีท่าทีอย่างนั้น แต่ทั้งเยี่ยเทียนที่นั่งอยู่ในกลุ่มคนก็เหม่อมองไปข้างหน้าเช่นเดียวกัน
ในอดีต ความคิดอันยิ่งใหญ่สูงสุดของมนุษยชาติก็คือการโบยบินขึ้นไปบนท้องฟ้า เหินเวหาอย่างอิสระได้อย่างนก
ถึงแม้ภายหลังในยุคปัจจุบัน ความคิดนี้จะถูกเครื่องบินมาแทนที่ แต่สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธก็คือ เทพเซียนที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศในตำนานเหล่านั้น ยังคงทำให้พวกเราอิจฉาริษยา
หลังจากทุกคนคุยเล่นกันต่อสักครู่หนึ่ง สีหน้าของหนานไหวจิ่นก็เริ่มอ่อนเพลีย เยี่ยเทียนจึงให้โจวเซี่ยวเทียนพาหนานไหวจิ่นไปพักผ่อนที่ชั้นบนทันที ภายในคฤหาสน์หลังนี้มีพลังปราณอุดมสมบูรณ์ จึงเหมาะแก่การฟื้นฟูร่างกายอย่างยิ่ง
ทุกคนล้วนรู้ว่าวันนี้เยี่ยเทียนเพิ่งลุกขึ้นยืนเดินได้เป็นครั้งแรก จึงกลัวว่าเขาจะเหน็ดเหนื่อย โก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นเองก็ออกจากคฤหาสน์ ไปยังสถานที่สงบเงียบเหมือนเมื่อวันก่อนเพื่อนั่งสมาธิ
“เยี่ยเทียน ในที่สุดเธอก็เสร็จธุระเสียที!”
เห็นพวกโก่วซินเจียออกมาจากคฤหาสน์ ถังเหวินหย่วนที่วนไปมาอยู่หน้าประตูก็เดินเข้าไป ความจริงท่านผู้เฒ่าเองก็ออกจะอึดอัดขัดใจ ตั้งแต่เขาอายุยี่สิบปี ในโลกนี้ก็ไม่เคยมีใครกล้าปล่อยให้เขารออย่างนี้
“เหล่าถัง มีอะไรหรือครับ?” พอเห็นถังเหวินหย่วนเดินเข้ามา เยี่ยเทียนก็ยิ้มให้ “มีเรื่องด่วนอะไรทำให้คุณเป็นกังวลขนาดนี้หรือ?”
เมื่อครู่ถกเรื่องหลักแห่งเต๋ากับเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้อง เยี่ยเทียนถึงกับลืมว่าถังเหวินหย่วนมีเรื่องมาคุยกับตัวเอง
“ก็เรื่องของเธอน่ะสิ”
ถังเหวินหย่วนถือว่าคุ้นเคยกันกับเยี่ยเทียนแล้ว จึงพูดอย่างหงุดหงิดว่า “พรุ่งนี้จะมีการจัดงานประมูลศิลปวัตถุของจีนขึ้นเป็นพิเศษที่ฮ่องกงโดยคริสธีส์ ฉันเอารายการของประมูลมาให้เธอ”
เรื่องที่เยี่ยเทียนฝากฝัง ถังเหวินหย่วนหรือจะกล้าละเลยไม่จริงจัง? เขากว้านซื้อตำราโบราณหลากหลายชนิดภายในหนึ่งเดือน เสียเงินไปเกือบสิบล้านเหรียญฮ่องกง ทำให้งานประมูลประเภทนี้เกิดโด่งดังขึ้นมา
แต่ว่าหลังจากของส่งมาถึงเยี่ยเทียนแล้ว กลับไม่มีสักชิ้นที่เขาใช้ประโยชน์ได้ ให้มีเงินสักเท่าไหร่ถังเหวินหย่วนก็ไม่อาจดันทุรังอย่างนี้ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงนำเอารายการประมูลมา ตั้งใจว่าจะให้เยี่ยเทียนดูก่อน หากมีสิ่งที่เขาต้องการค่อยไปประมูลก็ยังไม่สาย
เยี่ยเทียนรับใบรายการมา ยิ้มถามว่า “งานประมูลของคริสธีส์? ไม่เห็นเคยได้ยินเลยครับ เป็นงานประมูลเล็กๆ หรือเปล่า?”
ตอนอยู่ที่ปักกิ่ง มักมีคนส่งบัตรเชิญเข้าร่วมงานประมูลมาให้เยี่ยตงผิง สำหรับชื่อคริสตี้หรือซอธบี้นั้นเขายังพอคุ้นหู แต่ว่างานประมูลของคริสธีส์นี้เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
ช่วงหลายปีที่ผ่านมาการเก็บสะสมของโบราณเป็นที่นิยมอย่างยิ่ง คนมีเงินมากมายทำสิ่งนี้เพื่อเป็นการลงทุนรูปแบบหนึ่ง จึงทำให้งานประมูลแต่ละประเภทราวกับเป็นหน่อไม้ที่งอกขึ้นหลังจากฝนตก ของที่นำมาประมูลก็มีคุณภาพคละเคล้ากันไป
“งานประมูลเล็กหรือ? งานประมูลที่ใหญ่กว่าของคริสธีส์บนโลกนี้ เกรงว่าคงจะมีแต่ของโซธบีส์เท่านั้น!”
พอได้ยินคำพูดเยี่ยเทียนแล้ว ถังเหวินหย่วนก็ชะงักไปชั่วขณะ แต่ก็ตอบกลับมาทันที “เป็นฉันเองที่พูดไม่ชัด การออกเสียงแบบแผ่นดินใหญ่กับที่ฉันพูดไม่เหมือนกัน
เยี่ยเทียน งานประมูลของคริสธีส์นี้ในแผ่นดินใหญ่เรียกว่าคริสตี้ ส่วนโซธบีส์ก็คือซอธบี้ส์ แค่ออกเสียงแตกต่างกันเท่านั้น”
…………………………………………