หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 611 ล้างมือในอ่างทองคำ (2)
“ท่านทั้งหลาย ผู้แซ่เหลยขอนำหน้าไปก่อน อีกสามวันให้หลัง ขอเรียนเชิญทุกท่านให้เกียรติไปร่วมงานด้วย!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยเป็นคนทำอะไรเด็ดขาดตรงไปตรงมา เขาประสานมือคารวะไปรอบทิศ แล้วหิ้วตัวลูกชายที่กำลังช็อกขึ้นมาจากพื้น หันหลังสาวเท้าออกไปข้างนอกทันที
แม้ว่าร่างกายนั้นจะยังคงสูงใหญ่ บ่าไหล่ก็ยังคงกำยำล่ำสัน แต่ผู้อื่นเห็นแล้วกลับรู้สึกเหมือนดั่งวีรบุรุษที่ตกยุคร่วงโรยไป ผู้สูงวัยหลายคนที่สมัยหนุ่มเคยติดตามเหลยเจิ้นเยวี่ยไปสร้างอาณาเขตถึงขั้นหลั่งน้ำตาอย่างเงียบงัน จนสายตาพร่ามัวไปด้วยน้ำตา
“ท่านเยี่ย ทีนี้คงจะสมใจท่านแล้วสินะ?” หลังจากเหลยเจิ้นเยวี่ยจากไปแล้ว เจ้าตำหนักคุ้มกฎ ซือคงหมิงก็ มองไปที่เยี่ยเทียนด้วยท่าทางไม่เป็นมิตร
“อ้าว? ทำไมพูดแบบนี้ล่ะครับ?”
เยี่ยเทียนขมวดคิ้วน้อยๆ เขาเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่า เหลยเจิ้นเยวี่ยจะเป็นที่ยกย่องในสมาคมหงเหมินมากขนาดนี้ จนถึงขั้นทำให้คนเหล่านี้เกิดอคติต่อเขาขึ้นมา
ซือคงหมิงได้รับการเลี้ยงดูจากเหลยเจิ้นเยวี่ยจนเติบใหญ่ ยามนี้ในใจจึงเต็มไปด้วยความคับแค้น และพูดโพล่งออกมาว่า “ไล่ลุงเหลยไปสำเร็จแล้ว ท่านเยี่ยนี่บีบคั้นข่มขู่คนอื่นเก่งจริงๆ นะ!”
“ซือคง ห้ามพูดจาไร้สาระ เหล่าเหลยทำความผิดจริง สมาคมหงเหมินเราจะไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดีไม่ได้!”
เมื่อครู่นี้หลี่ซงชิวซักถามตู้เฟยเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดแล้ว จึงรู้ว่าเหลยเจิ้นเยวี่ยและลูกชายทำผิดทำนองคลองธรรม และเป็นฝ่ายละเมิดกฎเกณฑ์ก่อนจริงๆ
ถ้าเยี่ยเทียนไม่ได้มีเส้นสายในสมาคมหงเหมินถึงระดับนี้ แล้วใช้วิธีของตัวเองบุกพิฆาตอีกฝ่ายโดยตรง เหลยเจิ้นเยวี่ยก็อาจจะไม่ได้มีจุดจบที่ดีก็ได้ การที่ผลสุดท้ายเป็นอย่างในตอนนี้ ก็นับว่าเป็นโชคดีในคราวเคราะห์อยู่แล้ว
“ลุงเหลยเขาทำอะไรผิดล่ะครับ?!”
ซือคงหมิงขึ้นเสียง ที่จริงเขาก็รู้เรื่องที่เหลยเจิ้นเยวี่ยวางอุบายฮุบสมบัติของซ่งเวยหลันอยู่เหมือนกัน แต่ ซ่งเวยหลันไม่ใช่คนในสมาคมหงเหมิน และตอนนั้นเยี่ยเทียนก็ยังไม่ได้เข้าร่วมกับสมาคม ไหนใครบอกว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิดไม่ใช่หรือ
“เหล่าเหลยวางอุบายยึดทรัพย์สินตระกูลซ่ง เตรียมการให้เหลยหู่…”
“ท่านประธานใหญ่ครับ เรื่องนี้เราอย่าพูดถึงกันอีกเลย ผู้อาวุโสเหลยตัดสินใจจะล้างมือในอ่างทองคำแล้ว ปล่อยให้เรื่องจบลงตรงนี้เถอะครับ!” หลี่ซงชิวพูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกเยี่ยเทียนยกมือขึ้นขัดเสียก่อน
เยี่ยเทียนเข้าร่วมสมาคมหงเหมินเพียงเพื่อจะคลี่คลายวิกฤตที่มารดาต้องเผชิญ ไม่ได้อยากจะก้าวหน้าในสมาคมหงเหมินเลย สมาชิกสมาคมหงเหมินเหล่านี้จะคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเขา เยี่ยเทียนก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว
ทว่าแม้เยี่ยเทียนจะหยุดยั้งไว้ได้ทันท่วงที แต่ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ยังจับใจความได้อยู่ดีว่า เหลยเจิ้นเยวี่ยน่าจะเป็นฝ่ายผิดก่อน เยี่ยเทียนถึงได้ขัดแย้งกับเขา
และจากเหตุการณ์ในวันนี้ เหลยหู่ก็เป็นฝ่ายยั่วยุเยี่ยเทียนตลอดเวลา ทุกคนต่างก็เห็นกับตาตัวเองแล้ว ความเกลียดชังต่อเยี่ยเทียนที่อยู่ในใจจึงลดลงไปกว่าครึ่ง
“ท่านเยี่ยช่างจิตใจกว้างขวาง ยอมให้เหล่าเหลยได้เหลือเกียรติบ้าง ผมขอขอบคุณท่านแทนเหล่าเหลยด้วย!”
หลี่ซงชิวประสานมือคารวะต่อเยี่ยเทียนอย่างซาบซึ้ง จากนั้นก็กล่าวต่อคนทั้งหลายว่า “ท่านทั้งหลาย เหลยหู่ถูกปลดจากตำแหน่งเจ้าตำหนักอาญา เหลยเจิ้นเยวี่ยก็ลาออกจากตำแหน่งรองประธานสมาคมแล้ว ไว้พอกลับมาจากงานเลี้ยงอาหารกัน ผมก็จะเสนอให้เราเปิดประชุมใหญ่ในสมาคมหงเหมินเลย!”
การออกจากตำแหน่งของพ่อลูกตระกูลเหลยนี้ จะต้องส่งผลกระทบต่ออำนาจของสมาคมหงเหมินที่เคยมีมาแต่เดิมอย่างใหญ่หลวงแน่นอน ถ้าจัดการไม่ดีแม้เพียงจุดเดียว ก็จะมีโอกาสสูงที่จะเกิดการปะทะกันระหว่างผู้ร่วมสมาคม
ดังนั้นหลี่ซงชิวจึงคิดจะตีเหล็กเสียตั้งแต่ขณะที่ยังร้อนอยู่ ไม่ปล่อยให้ผู้อาวุโสเหล่านี้มีเวลาไปตั้งเครือข่ายเกาะกลุ่มกันเองได้ โดยมอบหมายกิจการต่างๆ ในสมาคมให้เรียบร้อย เป็นการลงดาบตัดปมปัญหาในทันที
อุปสรรคที่ซ่งเวยหลันประสบในสมาคมหงเหมินก็ถือว่าได้คลี่คลายไปแล้ว และเยี่ยเทียนก็ไม่ได้อยากจะเข้าไปแทรกแซงกิจการต่างๆ ของสมาคมหงเหมินเลย ยามนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านประธานใหญ่ครับ ผมเริ่มจะรู้สึกเพลียแล้ว งานเลี้ยงครั้งนี้คงไม่ได้ไปร่วมแล้วนะครับ ไว้วันหลังค่อยเลี้ยงสุราไถ่โทษพี่น้องทุกท่านก็แล้วกัน!”
“ท่านเยี่ยไม่ต้องเกรงใจ ไปดีๆ นะ!”
“ท่านเยี่ยกลับดีๆ นะ วันหลังค่อยมาเมาด้วยกัน!”
“ท่านเยี่ยครับ ถ้าเย็นนี้พอมีเวลาว่าง กระผมผู้แซ่หูก็อยากจะขอไปเยี่ยมสักหน่อย!”
พอเยี่ยเทียนเอ่ยปากว่าจะไปแล้ว ในลานประชุมนั้นก็เกิดเสียงดังจอแจขึ้นมาทันที
ยามนี้คนทั้งหลายเพิ่งจะตระหนักว่า เยี่ยเทียนเป็นถึงผู้อาวุโสรุ่น ‘ใหญ่’ เพียงคนเดียวในสมาคมหงเหมิน ต่อให้เยี่ยเทียนไม่ทวงสิทธิ์ เก้าอี้ผู้บริหารของสมาคมหงเหมินก็ต้องมีตัวหนึ่งเป็นของเขาแน่นอนอยู่แล้ว
คนเราเวลาอยู่ในแวดวงสังคม ก็ต้องให้ความสำคัญกับหน้าตากันอยู่แล้ว ผู้อาวุโสเหล่านี้มีอิทธิพลอยู่ก็จริง แต่ยังขาดอยู่เพียงอย่างเดียวคือลำดับรุ่น ถ้าได้กราบเยี่ยเทียนเป็นอาจารย์ พวกที่เวลาปกติเรียกพี่เรียกน้องกันนั้น พอมาเจอหน้ากันทีนี้ก็จะต้องเรียกว่าท่านแล้ว แบบนั้นจะดูโอ่อ่าขนาดไหนกัน?
เมื่อเกี่ยวโยงไปถึงประเด็นนี้ บุญคุณความแค้นของตระกูลเหลยจึงกลายเป็นเรื่องไม่สำคัญไปเลย คนทั้งหลายพากันเข้าไปห้อมล้อมตีสนิทกับเยี่ยเทียน จนเยี่ยเทียนต้องเสียเวลาไปถึงเจ็ดแปดนาทีกว่าจะเดินจากโถงพิธีไปถึงที่ประตูได้
หลังจากกลับไปถึงเรือนของของตู้เฟย เยี่ยเทียนก็หัวเราะแห้งๆ พลางส่ายหน้า เห็นทีเขาคงจะเหมาะกับการอยู่อย่างสันโดษมากกว่า พวกสมาคมกลุ่มแก๊งนี่มันซับซ้อนเกินไป ไม่ใช่ที่ที่เขาจะเข้าไปเล่นได้ง่ายๆ เลย
เขานั่งโคจรลมปราณอยู่ในห้องไปตลอดช่วงบ่าย จนกระทั่งประมาณห้าหกโมงเย็น ตู้เฟยถึงเพิ่งจะรีบร้อนกลับมาอย่างตื่นเต้นรื่นเริงใจ เขาดื่มจนหน้าแดงไปถึงหู พอเข้าบ้านมาก็ดื่มน้ำเย็นแก้วใหญ่ไปหลายแก้วติดๆ กัน
เยี่ยเทียนออกมาจากห้องด้านใน เมื่อเห็นตู้เฟยอยู่ในสภาพนี้ก็หัวเราะและพูดหยอกว่า “เป็นไงล่ะครับ? ตำแหน่งผู้นำของสมาคมหงเหมินกลายเป็นของคุณแต่เพียงผู้เดียวแล้วสินะ?”
จะว่าไปแล้ววันนี้ตู้เฟยก็น่าจะปลาบปลื้มใจอยู่หรอก ขนาดคนตาบอดยังดูออกเลยว่าหลี่ซงชิวให้ความสำคัญกับเขามาก และตัวเขาเองก็ได้นั่งเก้าอี้ผู้บริหารตำแหน่งที่สามของสมาคมหงเหมินไปแล้ว ตำแหน่งประธานสมาคมสมัยถัดไปนี้เขาก็มีโอกาสได้ถึงแปดสิบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว
ดังนั้นในงานเลี้ยงช่วงบ่ายวันนี้ ตู้เฟยจึงกลายเป็นเป้าหมายที่คนทั้งหลายจ้องจะมาคารวะสุราด้วย ถึงพลังฝีมือของเขาจะไม่เลวเลย แต่เพราะกรอกเหล้าขาวลงท้องไปสิบกว่าชั่ง ตอนนี้เขาก็เลยรู้สึกมึนเมาอยู่เหมือนกัน
“ท่านเยี่ย ยังพูดแบบนั้นไม่ได้นะครับ ในสมาคมหงเหมินมีคนที่คุณสมบัติสูงกว่าผมตู้เฟยอีกตั้งเยอะแยะไป”
พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดแบบนั้น ตู้เฟยก็สร่างเมาไปครึ่งหนึ่งทันที ยิ้มพลางพูดต่อไปว่า “ท่านเยี่ยอายุยังน้อย แต่ก็มีลำดับอาวุโสสูงขนาดนี้แล้ว ถ้าท่านอยากจะขึ้นนั่งตำแหน่งนี้ละก็ คงง่ายยิ่งกว่าผมเยอะเลย”
“คุณนี่ก็พูดเรื่องไม่จริงได้หน้าตาเฉยเลยนะ…”
เยี่ยเทียนได้ยินอย่างนั้นก็ทำปากคว่ำ แล้วพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “วันนี้ผมล่วงเกินคนในสมาคมหงเหมินไปจนจะเป็นครึ่งสมาคมแล้ว สงสัยว่าคนพวกนั้นคงไม่อยากให้ผมไปที่สมาคมหงเหมินอีกเลยตลอดกาลเสียละมากกว่า”
ตู้เฟยหัวเราะ “ใช่ที่ไหนกันล่ะครับท่านเยี่ย การประชุมใหญ่ของสมาคมหงเหมินในวันพรุ่งนี้ท่านก็ต้องไปเข้าร่วมด้วยนะ!”
“เข้าร่วมการประชุมใหญ่ของสมาคมหงเหมิน? ไม่ละครับ…”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า “ผมไม่อยากไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้หรอก หลังจากร่วมพิธีล้างมือในอ่างทองคำของเหล่าเหลยเสร็จแล้ว ผมก็ยังมีธุระต้องไปทำอีก พรุ่งนี้ฝากคุณแจ้งท่านประธานหลี่ด้วยก็แล้วกัน ว่าคราวนี้ผมจะไม่เข้าร่วมแล้วละนะ!”
เยี่ยเทียนเดินทางมาสหรัฐอเมริกาครั้งนี้โดยมีจุดประสงค์สองข้อ ข้อแรกคือเพื่อคลี่คลายวิกฤตที่มารดากำลังประสบกับสมาคมหงเหมิน ส่วนข้อที่สองก็คือเพื่อร่วมงานมวยใต้ดินโลกนั่นเอง
โดยเฉพาะหลังจากที่คราวนี้ได้พบกับเหลยเจิ้นเยวี่ยด้วยแล้ว เยี่ยเทียนจึงยิ่งรู้สึกตั้งตารอมากขึ้นกว่าเดิมอีก ในต่างแดนนี่ช่างเป็นสถานที่เสือซ่อนมังกรหลับโดยแท้ แค่เฉพาะในสมาคมหงเหมินที่เดียวก็มียอดฝีมือที่มีพลังฝีมือถึงระดับสูงสุดเร้นกายอยู่คนหนึ่งแล้ว ในงานมวยใต้ดินนั่นจะได้เจอกับคนแบบไหนอีกบ้างก็ไม่รู้
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนั้นแล้ว ตู้เฟยแม้ในใจจะรู้สึกผิดหวังอยู่ แต่ก็ไม่กล้าเกลี้ยกล่อมอีก พูดคุยกับเยี่ยเทียนอีกไม่กี่คำแล้วก็ไปพักผ่อนเลย เพราะการประชุมของสมาคมหงเหมินในวันพรุ่งนี้มีความเกี่ยวข้องกับเขาอย่างมาก
การประชุมใหญ่ของสมาคมหงเหมินครั้งนี้ใช้เวลานานกว่าที่เยี่ยเทียนคำนวณไว้มาก ประชุมกันไปสองวันเต็มๆ ถึงเพิ่งจะได้ข้อสรุปออกมา สมาคมหงเหมินเกิดการเปลี่ยนชุดคณะผู้บริหารครั้งใหญ่ โดยมีเหลยเจิ้นเยวี่ยและหลี่ซงชิวเป็นผู้ดำเนินการประชุม
ไม่ใช่เพียงแต่เหลยเจิ้นเยวี่ยเท่านั้นที่ขอสละตำแหน่งรองประธานสมาคม แม้แต่หลี่ซงชิวเองก็ประกาศสละตำแหน่งผู้นำของสมาคมหงเหมินอย่างเป็นทางการด้วย
เมื่อเหลยเจิ้นเยวี่ยและหลี่ซงชิวช่วยสนับสนุนอย่างเต็มที่ ตู้เฟยผู้ซึ่งปกติไม่ได้มีอะไรโดดเด่นสะดุดตา ก็กลับขึ้นดำรงแหน่งได้สำเร็จ กลายเป็นผู้นำคนใหม่ของสมาคมหงเหมินในที่สุด
ภาษิตว่า เมื่อเปลี่ยนรัชสมัย ขุนนางย่อมเปลี่ยนคนเช่นกัน หลังจากหลี่ซงชิวและเหลยเจิ้นเยวี่ยสละตำแหน่งไปแล้ว คนอื่นๆ อย่างเจ้าตำหนักคุ้มกฎ ซือคงหมิง ก็ทยอยกันถอนตัวออกจาก ตำหนักในตำหนักนอกทั้งแปด เปลี่ยนให้สมาชิกในสมาคมหงเหมินที่ใกล้ชิดกับตู้เฟยรับตำแหน่งไปแทน
สมาคมหงเหมินเกิดการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ราวกับคว่ำฟ้าพลิกดินภายในเวลาเพียงสองวัน การสละตำแหน่งของพวกหลี่ซงชิวและเหลยเจิ้นเยวี่ยนั้นแสดงถึงการจากไปของคนรุ่นก่อน และสมาคมหงเหมินก็จะเริ่มเข้าสู่พัฒนาการในยุคสมัยถัดไป
“เหล่าหลัว ทำไมคุณเป็นคนมาแทนล่ะ?”
หลายวันมานี้ตู้เฟยยุ่งมากจนไม่มีช่วงเว้นว่างเลย จึงไม่ได้กลับมาสองวันติดๆ กันแล้ว เมื่อถึงเช้าวันที่สาม ก็กลับกลายเป็นหลัวจื้อปิ่งมารับเยี่ยเทียนแทน
“ท่านเยี่ย ท่านเหลยไม่ได้อยู่ที่สมาคม ผมเลยมารับท่านไปที่บ้านของท่านเหลยน่ะครับ”
หลัวจื้อปิ่งสนิทกับตู้เฟยเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว คราวนี้จึงได้เข้าไปอยู่ในแปดตำหนักในด้วย แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียน เขาก็พยายามเก็บอาการปลาบปลื้มไว้อย่างมิดชิด
เหลยเจิ้นเยวี่ยยกที่พักของตัวเองในสมาคมหงเหมินให้ลูกชายอยู่ ส่วนเขาก็ไปอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังหนึ่งที่ชานเมือง ที่นั่นอากาศสดชื่น เนื้อที่กว้างขวาง เหมาะสมแก่การฝึกวรยุทธฟื้นฟูร่างกายของเหลยเจิ้นเยวี่ยอย่างยิ่ง
“เอ๊ะ? คนพวกนี้เป็นใครกันเนี่ย?”
หลังจากขึ้นไปนั่งบนรถของหลัวจื้อปิ่งแล้ว เยี่ยเทียนก็สังเกตเห็นว่า ในย่านไชน่าทาวน์นั้นมีดวงตาของชาวต่างชาติอย่างน้อยๆ ยี่สิบคู่กำลังจับจ้องมายังรถคันที่เขานั่งอยู่
และหลังจากที่รถยนต์ขับเคลื่อนออกจากย่านไชน่าทาวน์ ก็มีรถตำรวจยี่ห้อฟอร์ดสองคันขับตามหลังมาทันที โดยที่ไม่ได้พยายามจะใช้ลูกเล่นกลบเกลื่อนอย่างที่พวกนักสะกดรอยควรจะทำกันเลยสักนิด ขาดก็แต่ยังไม่ได้เปิดเสียงไซเรนด้วยเท่านั้นเอง
“ไม่ต้องสนใจพวกนั้นหรอกครับท่านเยี่ย ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นพลเมืองดีที่เคารพกฎหมาย นี่พวกตำรวจคงกำลังตามอารักขาพวกเราอยู่น่ะ”
หลัวจื้อปิ่งหันหน้าไปมองรถตำรวจที่อยู่ข้างหลังแวบหนึ่งแล้วอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ในสหรัฐอเมริกานี้ คนเชื้อสายจีนที่ไร้อำนาจอิทธิพลมักจะถูกรังแกอยู่บ่อยๆ จริง
แต่เมื่อใดที่คนจีนสามารถแผ่อิทธิพลควบคุมเมืองหรือรัฐหนึ่งๆ ได้แล้ว พวกที่ได้ชื่อว่าเป็นตำรวจและหน่วยงานที่มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเหล่านั้น ก็จะเริ่มคุ้มครองประชาชนผู้ชำระภาษีอย่างพวกเขาด้วยความขยันขันแข็งขึ้นมาเป็นพิเศษ
และก็เป็นไปอย่างที่พูด ตลอดทางรถตำรวจสองคันนั้นดูเหมือนจะกำลังรักษาความปลอดภัยให้พวกเยี่ยเทียนอยู่จริงๆ และตามส่งพวกเขาไปจนถึงคฤหาสน์ที่ชานเมือง แต่แน่นอนว่า พวกนั้นก็ได้แต่รออยู่นอกคฤหาสน์เช่นเดียวกับพวกตำรวจด้วยกันที่มาถึงก่อนหน้านี้
ส่วนจะเกิดอะไรขึ้นภายในคฤหาสน์บ้างนั้น พวกตำรวจก็ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย เพราะตามกฎหมายของอเมริกานั้น การละเมิดสิทธิและทรัพย์สินส่วนบุคคลเป็นเรื่องใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาจึงไม่มีสิทธิ์เข้าไปข้างใน
“ท่านเยี่ยมาแล้วหรือครับ?”
“ท่านเยี่ย ท่านนี่พบตัวยากจริงๆ เลยนะ วันนี้จะต้องดื่มกับท่านให้ได้เลย”
ทันทีที่เยี่ยเทียนและหลัวจื้อปิ่งลงจากรถ คนกลุ่มหนึ่งก็มุงล้อมเข้ามา ในใจคนเหล่านี้รู้ดีว่า การที่ตู้เฟยได้ขึ้นตำแหน่งนั้นจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับเยี่ยเทียนอย่างแน่นอน นี่เขาเรียกว่าผู้สูงศักดิ์เลยเชียวนา
“ไม่มีปัญหา วันนี้ผมจะดื่มกับทุกท่านให้เมากันไปเลย”
เยี่ยเทียนหัวเราะฮ่าๆ พลางมองไปรอบๆ ในขณะนั้นเองรถเบนซ์สีดำรุ่นกันกระสุนคันหนึ่งก็ขับเคลื่อนเข้ามาจอดข้างๆ เยี่ยเทียนอย่างเงียบเชียบ
“แม่ แม่ก็มาด้วยหรือครับ?” เมื่อเห็นซ่งเวยหลันลงมาจากรถ เยี่ยเทียนก็รีบขอตัวผละจากกลุ่มคนเหล่านั้นแล้วเข้าไปหาแม่
“ก็ลูกบีบลุงเหลยจนต้องล้างมือในอ่างทองคำ คุณตาท่านกำลังโมโหกระฟัดกระเฟียดอยู่ที่บ้านโน่นแน่ะ แล้วแม่จะไม่มาได้รึ?”
เมื่อเห็นลูกชายปลอดภัยดี รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซ่งเวยหลัน
คุณตาที่เธอพูดถึงนั้นก็คือซ่งเฮ่าเทียนที่อยู่ที่เมืองหลวงนั่นเอง แม้จะอยู่ห่างไกลเป็นหมื่นลี้ แต่เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสมาคมหงเหมินก็ไปถึงหูของซ่งเฮ่าเทียนแทบจะในเวลาเดียวกันกับตอนที่เกิดเรื่องขึ้น
………………………………………………..