หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 543 ปีใหม่ (1)
“คนนั้นไอพลังร้ายรอบตัว คิดไปแล้วน่าจะฆ่าคนมาเยอะ ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย!”
เยี่ยเทียนหยุดเดินกล่าวว่า “เส้าเทียน หากอยู่ในยุทธภพ ยึดหลักฆ่าให้เฉียบคม ห้ามมีจิตใจที่อ่อนแอ มิเช่นนั้นจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง
ความเป็นจริงและอุดมคตินั้นมักจะขัดแย้งกันเสมอ เหมือนกับภาพยนตร์บางเรื่อง ตัวเอกและตัวร้ายต้องมีการต่อกรกันไปมาก่อนหลายยกกว่าจะลงมือฆ่า แต่ว่าในความเป็นจริง กลับไม่มีเรื่องแบบนี้อยู่ ในสายตาของคนในยุทธภพมีแต่คนตายเท่านั้นที่ไม่เป็นอันตรายกับตัวเอง ”
แต่ว่าเยี่ยเทียนฆ่าหลินซวนโย่วตาย นั้นมีนัยยะอีกขั้นซ่อนอยู่ นั่นก็คือการที่ไม่อยากให้เรื่องในวันนี้ที่เกิดขึ้นทั้งหมดของศิษย์อาจารย์เผยแพร่ออกไป เนื่องด้วยว่าสังคมนี้ยังมีขื่อมีแปร ต่อให้เยี่ยเทียนมั่นใจว่าจะกดดันเรื่องนี้ให้เงียบไป แต่ความยุ่งยากที่จะติดตามมาด้วยล่ะ
“ครับ อาจารย์ ผมเข้าใจแล้ว…”
โจวเส้าเทียนเหมือนกับว่าคิดได้แล้วก็พยักหน้า เดินตามหลังเยี่ยเทียนไป ทั้งสองคนไม่มีใครส่งเสียงเดินอ้อมออกมาจากพื้นที่คฤหาสน์ได้
เมื่อมาถึงริมแม่น้ำ ก็เป็นเวลาตีหนึ่งกว่าแล้ว ในตอนที่เดิมมาถึงตู้โทรศัพท์นั้น เยี่ยเทียนพลันหยุดฝีเท้าลง กล่าวว่า “เส้าเทียน บนตัวมีเงินเหรียญมั๊ย”
“มี…” โจวเส้าเทียนหยิบเงินเหรียญออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
หลังจากรับเงินเหรียญมาแล้ว เยี่ยเทียนก็หยิบหูโทรศัพท์ในตู้โทรศัพท์ขึ้น หลังจากใส่เหรียญเข้าไปแล้ว กด 110 ที่แป้นสามตัว เยี่ยเทียนกดเสียงต่ำ กล่าวว่า “ใช่สถานีตำรวจหรือไม่ ผมจะแจ้งตำรวจ คฤหาสน์ริมน้ำตุกที่ 8 มีการก่อเหตุฆาตกรรม ขอให้พวกคุณรีบไปดูที่เกิดเหตุ!”
หลังจากกล่าวคำด้านบนจบ เยี่ยเทียนก็ไม่ได้สนใจการสอบถามที่ตามมาของอีกฝ่าย ดึงมือโจวเส้าเทียนเดินไปที่ถนนสาธารณะใกล้สะพานสายหนึ่ง ดักรถแท็กซี่ที่วิ่งกะดึกคันหนึ่ง
หลังจากนั้นสามนาที ในตอนที่รถแท็กซี่ขับผ่านใจกลางเมืองนั้น รถตำรวจที่เปิดไซเรนกระพริบวิวาวและรถแท็กซี่ก็วิ่งเฉียดกันไป
“คนขับ จอดรถริฟุตบาท ” หลังจากรถขับมาถึงประตูเทศบาลเมือง เยี่ยเทียนก็เรียกให้หยุดรถ หลังจากจอรถคันนี้ขับออกไป ก็เรียกรถอีกคันหนึ่ง
เปลี่ยนรถไปสี่ห้าคันไปเรื่อย ๆ เยี่ยเทียนและลูกศิษย์ทั้งสองคนก็ได้กลับมาที่บริเวณใกล้กับโรงแรมเฟิงเฉิง ในตอนนี้เป็นเวลาตีสามตีสี่แล้ว
ในบริเวณที่ห่างจากประตูใหญ่โรงแรมออกไปสิบกว่าเมตร เยี่ยเทียนก็พลันชะงักฝีเท้าลง มองไปบริเวณที่จัดดอกไม้ กล่าวว่า “ออกมาเถอะ ดึกดื่นขนาดนี้แล้วนายไม่กลัวความหนาวเลยเนอะ”
“ท่านเยี่ย คุณ…คุณกลับมาแล้ว”
เปาเฟิงหลิงที่แอบอยู่หลังกระถางดอกไม้ถึงแม้จะกอดชุดกันหนาว แต่ก็หนาวจนริมฝีปากเป็นสีม่วงคล้ำ เห็นในมือของเยี่ยเทียนถือถุงอยู่เปาเฟิงหลิงก็ทำหน้าไม่อยากเชื่อ
“ขึ้นไปพูดกันด้านบนเถอะ ” เยี่ยเทียนมองค้อนไปหนึ่งครา และก็เดินนำเข้าในโรงแรมเป็นคนแรก
“”ท่านเยี่ย ฉัน…ฉันกลัว…” หลังจากกลับมาถึงห้องพัก เปาเฟิงหลิงก็อยากจะพูดอธิบายออกมา
เยี่ยเทียนโบกไม้โบกมือกล่าวว่า “ไม่ต้องพูด จี๋เหล่าต้าและหลิวเหล่าเอ้อได้ตายตกไปตามกันแล้ว ฉันรับปากหลิวเหล่าเอ้อว่าจะไว้ชีวิตนาย แต่ว่านะเปาเฟิงหลิง นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป นายจะต้องออกไปจากพื้นที่เจียงซี หนีไปให้ไกลที่สุด ทำได้มั๊ย”
“เหล่า…เหล้าเอ้อตายแล้ว”
หลังจากได้ฟังคำของเยี่ยเทียนแล้ว สีหน้าของเปาเฟิงหลิงก็แสดงความเสียใจออกมา เขานั้นเดินทางสายนี้ช้ากว่าหลิวเหล่าเอ้อเยอะมาก หลายปีมานี้ได้รับการดูแลจากหลิวเหล่าเอ้อมากมาย เมื่อได้ฟังความตรงหน้าแล้ว ในใจก็พลันเสียใจเป็นอย่างมาก
เยี่ยเทียนถอนหายใจ หยิบเงินหลายปึกออกมาจากกระสอบป่าน โยนให้กับเปาเฟิงหลิง กล่าว่า “นี่เงินหนึ่งแสนบาท นายเอาไปทำพวกร้านขายของกิน ไม่ต้องไปหลอกลวงใครอีก”
เปาเฟิงหลิงพยักหน้า ใช้มือกปาดน้ำตาที่มุมขอบตา กล่าวว่า “ท่านเยี่ย ฉันยังมีเงินเก็บอยู่บ้าง เงินนี้ฉันไม่เอา ขอบคุณที่ช่วยเหล่าเอ้อล้างแค้น แซ่เปาคนนี้ขอสาบาน ในอนาคตจะไม่ทำงานด้านนี้อีกแล้ว”
ในใจเจ็บปวดมาก เปาเฟิงหลิงก็รู้สึกปลดปล่อยเหมือนกัน เพราหลายปีมานี้ เงาของจี๋เหล่าต้าลอยอยู่ในหัวสมองของเขา เมื่อได้ฟังจี๋เหล่าต้าเสียแล้ว เปาเฟิงหลิงในใจก็พลันรู้สึกราวกับวางหินก้อนหนึ่งลง
มองเปาเฟิงหลิงไปหนึ่งทีแล้วเยี่ยเทียนก็กล่าวว่า “ให้แล้วก็เอาไปเถอะ กลับไปพักผ่อน พรุ่งนี้เช้าก็ออกเดินทาง ไม่งั้นเกรงว่าจะไปไม่รอด”
หลังจากกลับมาที่โรงแรม เยี่ยเทียนก็พักผ่อนเพียงแค่สามสี่ชั่วโมง วันที่สองตอนเช้าประมาณหกโมงกว่า เขาและโจวเส้าเทียนก็คืนห้อง เรียกรถแท็กซี่ที่วิ่งทางไกลตรงไปยังเซี่ยงไฮ้ จากนั้นก็เหมารถจากเซี่ยงไฮ้กลับปักกิ่ง ใช้เวลาอยู่บนถนนสองวันกว่า
หากไม่ใช่ว่าเป็นเพราะเยี่ยเทียนอยากเดินทางแบบนี้ สำคัญคือพกทองมากขนาดนั้น ไม่สะดวกนั่งเครื่องบินจริง ๆ ในการเดินทางเยี่ยเทียนหาธนาคารกดเงินในบัตรสองใบนั่น พบว่าจี๋เหล่าต้านั้นไม่ได้มีการเล่นกลกับรหัส สามารถตรวจสอบยอดเงินในบัตรได้ว่าเหลือสองล้านหยวน และยังมีกำไรเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งล้านหยวน
แต่ว่าการเดินทางในครั้งนี้นั้นสิ่งที่ได้มากกว่าเงินไม่กี่ล้านหยวน ไม่ว่าจะเป็นน้ำเต้าฮวงจุ้ย และยังมีตำราเคล็ดวิชาลับของตระกูลโจวหลายเล่ม พวกนี้ไม่สามารถตีเป็นมูลค่าเงินได้
เยี่ยเทียนพูดไม่ผิด หลังจากที่พวกเขาออกจากหนานชางในตอนเช้าได้ไม่นาน เมืองนี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นวุ่นวายขวักไขว่ มีคดีคนตายและคนบาดเจ็บ เรียกได้ว่าเป็นคดีใหญ่
และสภาพในห้องลับนั้น ทำให้ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นหรือหน้างานนั้นล้วนแต่อาเจียนออกมา แม้แต่หมอชันสูตรที่มีประสบการณ์ก็ยังไม่รอด สวมหน้ากากกันพิษทำงานทั้งคืน ถึงได้ดำเนินงานตรวจสอบหน้างานต่อไปได้
จากการสืบค้นของตำรวจที่เป็นลมล้มพับไป ตัวตนของจี๋เหล่าต้าก็ปรากฏความจริงขึ้นมา แต่นี่ก็ทำให้คดีนี้เปลี่ยนไปในแนวทางที่แปลกพิสดารขึ้น
หากมองจากภาพทั่วไป จี๋เหล่าต้าถูกหลิวเหล่าเอ้อกัดตาย แต่หลิวเหล่าเอ้อที่ถูกมัดเอาไว้ที่เสาไม้นั้นสามารถแก้มัดได้อย่างไร บาดแผลที่แขนของจี๋เหล่าต้านั้นมาได้อย่างไร และการหายไปของทรัพย์สินเงินทองในตู้เซฟ นี่เป็นหลักฐานที่บ่งบอกชัดเจนว่าในตอนนั้นห้องนี้มีบุคคลที่สามอยู่ด้วย.
แต่ที่ทำให้ฝั่งตำรวจจนปัญญาก็คือ พวกเขาตรวจสอบพื้นทุกตารางนิ้วของคฤหาสน์แห่งนี้แล้ว แต่ก็ไม่พบรอยเท้าหรือรอยนิ้วมือที่มีค่าพอที่จะเก็บหลักฐานได้ ดึงบันทึกกล้องวงจรปิดของคฤหาสน์ แต่ก็ไม่พบบุคคลที่น่าสงสัยเข้าออก เหมือนกับว่าอีกฝ่ายลอยหายออกจากคฤหาสน์ไปในอากาศ
สำหรับคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น นอกจากเอ้อหนิวเห็นเงาคนแล้ว ต้าหู่ก็รู้แต่ว่าตอนที่ไปฉี่นั้นเจอผี จากคำให้การของวายร้ายสองคนนี้ ทำให้ทิศทางของคดีนี้เผชิญกับอุปสรรค
คดีที่เกิดขึ้นนั้นรูปคดีได้แตกต่างจากคดีฆาตกรรมตามปกติที่จะทำความเข้าใจ เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไร เทศบาลเมืองก็ได้ส่งคำร้องขอกำลังช่วยเหลือจากจังหวัด จากการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญหน่วยงานระดับจังหวัดและรายงานผลการชันสูตรศพของหลินซวนโย่ว ได้ข้อสรุปว่าคดีนี้เกิดจากฝืมือของบุคคลที่มีวรยุทธ์สูงในยุทธภพ
ถึงแม้ฟังดูแล้วจะเหมือนกับหนึ่งพันราตรีนิทานของอาหรับ แต่บาดแผลจากมีดบินที่แม่นยำและสาเหตุการเสียชีวิตของอีกคนหนึ่ง ล้วนแต่ชี้มาในทิศทางนี้ ร่วมกับความสัมพันธ์ในสังคมและภูมิหลังของจี๋เหล่าต้า บทสรุปนี้ได้รับความเห็นพ้องจากหลายฝ่าย
แต่คดีนี้เมื่อได้บทสรุปแล้วก็ดำเนินการต่อไปไม่ได้ เพราะว่าเยี่ยเทียนตอนที่อยู่หนานชางนั้นใช้บัตรปลอมทั้งหมด พวกเขาไม่สามารถสืบค้นจากคนเป็นพันล้านคนจนมาได้เบาะแสอะไรที่เกี่ยวกับเยี่ยเทียนได้
ดีที่ว่าคดีนี้ถึงแม้จะดูโหดร้าย แต่ไม่ได้ผู้เคราะห์ร้ายอยู่ ร่วมกับจี๋เหล่าต้าที่เคยกระทำความผิดมาก่อนหน้านั้น ก็คือไม่ตายก็ถูกจับ ใช้ปืนยิงสิบรอบก็พอแล้ว ดังนั้นจึงได้ตั้งใจล็อคบางส่วน ที่คดีนี้ไม่ได้ถูกปล่อยข้อมูลออกไป ต่อมาก็กลายเป็นคดีฆ่าคนตาย เอกสารคดีก็ถูกทิ้งเอาไว้ที่มุมหนึ่งของห้องเก็บแฟ้มคดีไปแล้ว
…
“จือจือ…”
เมื่อเยี่ยเทียนแบกเอากระสอบป่านที่ไม่มีที่มาที่ไปเข้าไปในเรือนสี่ประสานนั้น เดิมทีตัวเฟอเรตที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนอกของซ่งเวยหลันก็เดินออกมา ใช้ขาหน้าตะกุยกระสอบป่าน ในตอนนั้นกระสอบป่านก็ถูกกรงเล็บข่วนขาดเป็นรอยใหญ่
“เจ้าตัวเล็กนี่ รู้จักเก็บของที่ดีเอามานะ!”
เห็นทองเป็นก้อนที่หล่นลงมาเต็มพื้นและน้ำเต้าฮวงจุ้ยที่ถูกเจ้าตัวมีขนกอดเอาไว้ในอ้อมอก เยี่ยเทียนพลันก็ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะ เจ้าตัวนี้เกือบจะกลายเป็นปีศาจแล้ว ทิ้งทองพวกนี้ไม่เอาไป ถูกใจแต่น้ำเต้านั่น
“เยี่ยเทียน กลับมาแล้วเหรอ”
ซ่งเวยหลันเดินตามเจ้าตัวมีขนมาจากกลางลาน เห็นบนพื้นมีทองคำร่วงเต็มไปหมด ก็ตกตะลึงไปกล่าวว่า “ นี่มันเรื่องอะไรกัน สีของทองคำพวกนี้เหมือนกับตอนก่อนปลดแอกนี่นา”
เหมือนกับปลาสีเหลืองตัวน้อยหนักสามร้อยกรัมนี้ มีแต่ตอนก่อนที่จะปลดแอกที่ได้รับความนิยม ซ่งเว่ยหลันแค่พริบตาก็ดูออก
“เหอะๆ ผมไม่ได้ออกไปทวงของเราคืนเหรอ อีกฝ่ายหาเงินได้ไม่พอ ก็เลยเอาทองมาค้ำประกันไว้”
เยี่ยเทียนเก็บทองที่ตกบนพื้นขึ้นมา เงยหน้าขึ้นเห็นพ่อเดินตรงมา รีบเอากระสอบป่านขาดๆ ยัดเข้าไปที่อก มือขวาหยิบบัตรธนาคารออกมา กล่าวริมหูว่า “เงินเอากลับมาหมดแล้ว ผมยังมีธุระ ที่เหลือพ่อก็แก้ตัวเอาเองนะ”
หลังจากทิ้งทองคำและบัตรเอาไว้ เยี่ยเทียนก็เดินตัวปลิวกลับไปที่เรือนพักของตนเอง มีแม่นี่ถึงแม้จะรู้สึกว่าไม่เลว แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ใส่ใจสอบถามไปเสียหมด นี่ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกลำบากใจ
เยี่ยตงผิงอธิบายกับซ่งเวยหลันอย่างไร เยี่ยเทียนไม่ทราบ แต่ว่าในตอนที่กินข้าวเย็นนั้น ซ่งเวยหลันก็ไม่ได้ซักไซร้ถามเรื่องนี้อีกเป็นครั้งที่สอง ทำให้เยี่ยเทียนลอบถอนหายใจ
หลังจากหารือกับโก่วซินเจียที่อยู่ที่เกาะฮ่องกงรอบหนึ่ง เยี่ยเทียนก็ตัดสินใจรับโจวเส้าเทียนเป็นลูกศิษย์จริงๆของลัทธิเสื้อป่าน
ในตอนหนึ่งสัปดาห์ก่อนจะถึงวันปีใหม่ โก่วซินเจียและจั่วเจียจวินก็บินตรงไปที่จินหลิง มาพบกับเยี่ยเทียนศิษย์อาจารย์สองคนแล้วก็บินไปที่เหมาซาน จัดพิธีรับเข้าสำนักที่ด้านหน้าหลุมศพของนักพรตเฒ่า
ปีใหม่สุดท้ายของศตวรรษที่ยี่สิบ ท้องฟ้ามีเมฆล่องลอย ตลอดทั้งปักกิ่งก็ถูกห่อหุ้มไปด้วยหิมะสีขาวนวลที่ปกคลุม แต่ว่าภายในเรื่อนสี่ประสานของเยี่ยเทียนนั้น กลับครึกครื้นอย่างแปลกประหลาด เสียงหัวเราะขบขันลอยออกมาไม่หยุด
“เยี่ยเทียน ชิงหย่า นี่เป็นเงินอั่งเปาที่แม่เตรียมไว้ให้พวกเธอ!” หลังจากที่ทั้งครอบครัวล้อมวงกินข้าวเรียบร้อยแล้ว ซ่งเวยหลันก็หยิบซองอั่งเปาสองซองออกมา ส่งให้กับลูกชายและลูกสะใภ้ที่หน้าแดงกล่ำ
เงินในซองอั่งเปานั้นมีไม่เยอะ เป็นแบงค์ใหม่ตั้งแต่ห้าสิบสตางค์ไปจนถึงหนึ่งร้อย นี่เป็นหลังจากที่ได้ฟังสามีเล่าว่าลูกชายตอนเด็กนั้นมักจะอิจฉาคนอื่นที่ได้อั่งเปา จึงได้ไปแลกที่ธนาคารมาโดยเฉพาะ ก็นับได้ว่าใส่ใจอยู่มากทีเดียว
……………………………………….