หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 539 ลอบเข้าอย่างง่ายดาย
ต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมแม่น้ำนั้น กิ่งก้านโล้นเกลี้ยงไปหมดแล้ว
ลมหนาวพัดโชยมาจากผิวน้ำ ราวกับจะพัดผ่านเสื้อผ้าเข้าไปถึงไขกระดูกก็ไม่ปาน แม้ว่าบนกำแพงกั้นน้ำจะยังมีดวงไฟสว่างอยู่ แต่กลับมองไม่เห็นเงาคนเลยแม้แต่คนเดียว
“อาจารย์ครับ จี๋เหล่าต้ามันจะซ่อนอยู่ที่ไหนกันแน่นะ?”
วรยุทธของโจวเซี่ยวเทียนยังไม่ถึงระดับที่ไม่สะทกสะท้านต่อความร้อนความหนาว ลมหนาวอันเย็นเฉียบพัดผ่านลำคอไป ทำให้เขาอดหนาวจนสมองหดไม่ได้ และซุกมือทั้งสองข้างไว้ในกระเป๋ากางเกง
“ถ้าฉันทำนายไว้ไม่ผิดละก็ น่าจะอยู่ทางทิศนั้นนั่นแหละ”
เยี่ยเทียนยกมือชี้ไปข้างหน้า บริเวณนั้นเป็นตำแหน่งที่แม่น้ำเลี้ยวโค้งพอดี ราวกับว่าแม่น้ำสายนั้นเว้าแคบเข้าไป ส่วนแผ่นดินที่ยื่นออกมานั้น ก็เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
ไม่ทราบเป็นเพราะคนรวยมีชีวิตกลางคืนที่รุ่มรวยกว่าหรืออย่างไร ในขณะที่อาคารหลังอื่นๆ มืดกันไปหมดแล้ว แต่บ้านหลายหลังในหมู่บ้านนั้นกลับยังมีแสงไฟสว่างอยู่
ลมหนาวพัดมาหอบหนึ่ง เกล็ดหิมะเล็กละเอียดปลิวอยู่บนท้องฟ้า แสงไฟสีเหลืองมัวๆ ยิ่งดูสลัวลงกว่าเดิม เงาร่างของเยี่ยเทียนและโจวเซี่ยวเทียนหายเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความมืดอย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่านไปเจ็ดแปดนาที ทั้งสองก็มาถึงที่ทางเข้าหมู่บ้าน
อาจเป็นเพราะต้องการให้หมู่บ้านนี้ดูโดดเด่นกว่าที่อื่นๆ บริเวณห่างจากทางเข้าประมาณห้าหกเมตรจึงปลูกต้นสนขนาดสูงใหญ่ไว้สองต้น เป็นที่กำบังร่างของทั้งสองได้พอดี
“อาจารย์ จะเข้าไปยังไงครับ?”
ในฐานะที่เป็นหมู่บ้านชั้นสูงอันดับหนึ่งในหนานชาง ระบบต่างๆ ของที่นี่ต่างก็เทียบได้กับตามเขตเมืองชายฝั่งที่พัฒนาแล้ว แม้แต่ในคืนที่หิมะตกเช่นนี้ ที่ประตูทางเข้าก็ยังคงมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยเฝ้ายามอยู่
เยี่ยเทียนมองดูกำแพงอันสูงลิ่วที่ล้อมรอบหมู่บ้านนั้น แล้วอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ ถ้าจะม้วนตัวข้ามกำแพงนั้นไปก็ถือว่าง่ายอยู่ แต่ถ้าอยากจะหลบกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่บนกำแพงหลายตัวนั้นด้วยละก็ คงจะเป็นเรื่องยุ่งยากทีเดียว
ส่วนที่ประตูใหญ่นั้นถึงจะมีคนเฝ้ายามอยู่ แต่ก็มีกล้องวงจรปิดอยู่เพียงตัวเดียว เทียบกันแล้วเข้าไปจากทางนั้นน่าจะง่ายกว่าหน่อย
เมื่อคิดได้ดังนั้น เยี่ยเทียนก็เก็บใบไม้แห้งใบหนึ่งขึ้นมาจากพื้น แล้วเงยหน้ามองไปที่กล้องวงจรปิดซึ่งอยู่ห่างออกไปสิบกว่าเมตร
เยี่ยเทียนหายใจเข้าลึกๆ สะบัดข้อมือข้างขวาอย่างรวดเร็ว ใบไม้แห้งใบนั้นก็พุ่งผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างรวดเร็วราวกับใบมีด ตรงไปติดอยู่บนเลนส์กล้องวงจรปิดตัวนั้น
ที่ลือกันว่า ดอกไม้บินใบไม้ร่วงล้วนทำร้ายคนได้นั้น ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องที่นักเขียนนิยายแต่งขึ้นมาเท่านั้น เมื่อวรยุทธพัฒนาจนถึงขั้นพลังแฝง และสามารถแผ่พลังแท้ออกสู่ภายนอกได้แล้ว การที่จะทำเรื่องเช่นนี้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
อย่างนักฆ่าอันดับหนึ่งในยุคสาธารณรัฐจีน หวังย่าเฉียว ใครๆ ต่างก็รู้กันว่าอาวุธที่เขาใช้คือขวานและทวน เขาพกขวานไปช่วยต่อสู้ที่เมืองเซี่ยงไฮ้จนโด่งดังเป็นที่กล่าวขวัญขึ้นมา
สมัยนั้นแม้แต่พวกหวงจินหรงหรือตู้เยวี่ยเซิง ถ้าเจอกับหวังย่าเฉียวก็ยังต้องหลีกทางให้เหมือนกัน ซินแสเจี่ยงท่านนั้นยิ่งถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ พอเอ่ยถึงคนผู้นี้ก็ถึงกับปวดฟันปลอมขึ้นมาเลยทีเดียว
แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า หวังย่าเฉียวเดิมทีเป็นยอดฝีมือวิชาพลังภายใน มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่เขากำลังดื่มชาอยู่ที่โรงน้ำชา ก็เคยถูกศัตรูล้อมกักไว้ในนั้น
ตอนนั้นหวังย่าเฉียวม้วนหนังสือพิมพ์ที่ถืออยู่ในมือเป็นรูปกรวย และใช้แทงคนไปได้ถึงสามคนติดๆ กัน บนหนังสือพิมพ์แม้จะมีโลหิตแปดเปื้อน แต่กลับแข็งเหมือนมีดสั้น ศึกครั้งนี้ยิ่งทำให้หวังย่าเฉียวมีชื่อเสียงโด่งดังมากขึ้น
ฝีมือของหวังย่าเฉียวครั้งนั้น ก็มีความวิเศษทำนองเดียวกับฝีมือใช้อาวุธลับของเยี่ยเทียน เพียงแต่ในด้านการควบคุมพลังแท้นั้น เยี่ยเทียนยังเหนือกว่าไปอีกขั้นหนึ่ง
หมู่บ้านแห่งนี้ถูกเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ตลอด 24 ชั่วโมง เมื่อใบไม้แห้งใบนั้นไปติดอยู่บนเลนส์กล้องวงจรปิด วิทยุสื่อสารของยามรักษาความปลอดภัยที่ประตูก็ดังขึ้นมาทันที
ขณะที่ยามรักษาความปลอดภัยคนนั้นเดินไปตรวจดูกล้องวงจรปิด เยี่ยเทียนก็ลากโจวเซี่ยวเทียน เท้าขวาถีบลงไปบนพื้นอย่างแรง ถึงจะดูเหมือนเขาถีบลงไปแรงมาก แต่เมื่อเท้ากระทบถึงพื้นแล้วกลับไม่เกิดเสียงขึ้นเลย
แต่เมื่อฝ่าเท้าของเยี่ยเทียนสัมผัสกับพื้น สายลมแรงก็พัดขึ้นมาจากพื้น
หิมะที่ทับถมอยู่บนพื้นปลิวกระจายขึ้นมา ปะปนกับเกล็ดหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมาจากฟ้า ทัศนวิสัยบริเวณทางเข้าหมู่บ้านต่ำลงมากไปชั่วขณะ โดยเฉพาะเกล็ดหิมะที่ปลิวว่อนอยู่กลางลมแรงนั้น พอกระทบถูกใบหน้าก็ถึงกับรู้สึกเจ็บขึ้นมานิดๆ
“อ้าวเฮ้ย อะไรกันวะเนี่ย?”
เกล็ดหิมะท่ามกลางสายลมแรงพุ่งเข้าใส่ปากและจมูกไม่หยุด ทำให้ยามรักษาความปลอดภัยคนนั้นต้องหลับตาลง ในใจก็นึกสงสัยว่า ทำไมอยู่ดีๆ ลมบ้านี่ถึงหอบมาได้นะ?
ขณะเดียวกับที่ยามรักษาความปลอดภัยหลับตาลง เยี่ยเทียนและลูกศิษย์ก็แอบเดินผ่านข้างตัวเขาไป แล้วเลี้ยวหายไปข้างหลังบ้านหลังหนึ่ง
“อาจารย์ นี่…นี่ไปเรียนวิชานี้มาจากไหนครับเนี่ย?”
หลังจากเข้ามาในหมู่บ้านแล้ว โจวเซี่ยวเทียนก็อดมองไปที่เยี่ยเทียนด้วยสายตาแปลกๆ ไม่ได้ อาศัยทักษะนี้ของเยี่ยเทียนแล้ว คงแอบเข้าบ้านโน้นออกบ้านนี้ได้เป็นว่าเล่นอย่างแน่นอนเลยทีเดียว
“ไม่ต้องพูดมาก แกคอยเฝ้านะ ฉันจะทำนายดูอีกหนึ่งตา!”
เยี่ยเทียนคงจะบอกลูกศิษย์ไม่ได้อยู่แล้วว่า เขาเคยเล่นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยไปเรียนที่ปักกิ่งแล้ว และในช่วงที่ติดตามพรตเฒ่าอยู่หลายปีนั้น ความรู้ในวิชาการต้มตุ๋นเยี่ยเทียนก็รู้มาหมดแล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่มีโอกาสให้ใช้เท่านั้นเอง
“อยู่ทางนั้น…”
หลังจากผ่านไปสองสามนาที เยี่ยเทียนก็ยืดตัวตรง ดวงตามองไปยังบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้ริมแม่น้ำ แล้วเงาร่างทั้งสองเงาก็หายเข้าไปท่ามกลางความมืดอีก
……
“เวรเอ๊ย วิปริตจริงๆ เลย เอามีดแทงให้ตายทีเดียวแล้วทิ้งลงแม่น้ำซะก็สิ้นเรื่องแล้ว ทำไมจะต้องมาทรมานมันอยู่ได้ทุกวัน!”
ต้าหู่ที่เฝ้าประตูหน้าอยู่ก็เหมือนกับหลินเซวียนโย่ว คือเป็นเด็กกำพร้าที่จี๋เหล่าต้ารับเลี้ยงไว้เหมือนๆ กัน แต่กับจี๋เหล่าต้าที่พวกเขาเรียกว่าลูกพี่ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเป็นพ่อบุญธรรมนั้น ในใจพวกเขาไม่ได้รู้สึกเคารพเลย กลับมีเพียงแต่ความหวาดกลัวเท่านั้น
ตั้งแต่ตอนอายุเจ็ดแปดขวบ ต้าหู่ก็ถูกจี๋เหล่าต้าไล่ไปเป็นคนล้วงกระเป๋าที่สถานีรถไฟแล้ว แต่ละวันถ้าขโมยเงินมาไม่ถึงจำนวนที่กำหนดละก็ ไม่ได้ข้าวกินยังเป็นเรื่องเล็ก เพราะปกติมักจะถูกตบตีจนน่วมไปทั้งร่าง
หลังจากจี๋เหล่าต้าเปลี่ยนอาชีพไปเป็นนักต้มตุ๋น พวกที่แขนขาเติบโตแต่สมองไม่ซับซ้อนอย่างต้าหู่และเอ้อร์หนิว ก็ถูกจัดให้เป็นขุนพลลมและขุนพลไฟในบรรดาแปดขุนพลสำนักต้มตุ๋น ซึ่งก็คือเป็นอันธพาลรับจ้างดีๆ นี่เอง
อย่างเรื่องในวันนี้ ต้าหู่ก็ใช่ว่าเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก
เพียงแต่เหยื่อในครั้งก่อนๆ ต่างก็เป็นคู่แข่งทางธุรกิจของจี๋เหล่าต้าทั้งนั้น แต่นี่หลิวเหล่าเอ้อร์เป็นพวกเดียวกันเอง ถึงต้าหู่จะไม่ได้สมองดีอะไรมาก ในใจก็ยังเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจอยู่เหมือนัน
ต้าหู่บี้ดับก้นบุหรี่ในมือ แล้วยื่นมือไปหยิบขวดเหล้าขาวที่วางอยู่บนโต๊ะ กรอกลงท้องไปรวดเดียวดัง “อึกๆๆ” หยิบถั่วลิสงมากำหนึ่งยัดเข้าปากเคี้ยวอย่างมูมมาม แล้วลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซ
ถึงในบ้านจะมีห้องน้ำอยู่ แต่สำหรับต้าหู่แล้ว การปัสสาวะรดลงไปบนพื้นหิมะนั้นยังจะสนุกเสียกว่า ต้าหู่จึงเปิดประตูบ้านเดินออกไปในสวน แล้วเริ่มวาดลวดลายอย่างกับแผนที่บนพื้นหิมะ
“อึ๊ก…”
ต้าหู่สะอึกอย่างมึนเมา ทั้งร่างก็กระเพื่อมตามไปด้วย ขณะที่กำลังจะดึงกางเกงขึ้นมา ก็พลันเห็นว่าบนพื้นหิมะตรงหน้านั้น มีเงาร่างสองร่างปรากฏขึ้นอย่างน่าตกใจ
‘ผี…ผีโว้ย!’
ความคิดนี้เกิดขึ้นในสมองของต้าหู่เป็นอันดับแรก แต่เขายังไม่ทันจะร้องออกมา ก็รู้สึกชาที่ต้นคอด้านหลัง แล้วก็ทั้งร่างก็หมดความรู้สึกไปเลย
เยี่ยเทียนส่ายหน้า คว้าคอเสื้อของต้าหู่ลากเข้าไปในบ้านที่ประตูเปิดอยู่ ต้าหู่ซึ่งมีน้ำหนักสองร้อยกว่าชั่งเมื่อมาอยู่ในมือเขาแล้วกลับดูเหมือนไร้น้ำหนัก
“หือ? น้ำเต้านี่ไม่เลวเลยนี่นา!” เมื่อเดินไปถึงหน้าประตู เยี่ยเทียนก็เพ่งสายตามองไปยังน้ำเต้าฮวงจุ้ยที่แขวนไว้ในโถงทางเข้าหลังประตูใบนั้น
เยี่ยเทียนโยนต้าหู่ไปไว้หลังประตู แล้วเริ่มตั้งจิต มือขวาจับนิ้วร่ายอาคม กระแสปราณพิฆาตในสวนถูกเขาชักนำให้แผ่เข้ามาในบ้านทันที
ขณะที่ปราณพิฆาตกำลังเข้ามาในบ้าน น้ำเต้าฮวงจุ้ยที่สลักรูปผังแปดทิศไว้นั้นก็หมุนติ้วขึ้นมาในฉับพลัน และกลับดูดรับกระแสปราณพิฆาตนั้นเข้าไปจนหมด
“ไม่เลว ของดีนะเนี่ย ในบ้านที่ฮ่องกงก็ยังขาดน้ำเต้าแบบนี้อยู่”
เยี่ยเทียนก้าวผ่านประตูเข้ามา พร้อมกับปิดประตูลง แล้วหยิบน้ำเต้าใบนั้นมาพิจารณาดูอย่างละเอียดโดยปราศจากความเกรงใจ
นี่เป็นน้ำเต้าธรรมชาติใบหนึ่ง ก้นใหญ่ปากเล็ก รูปร่างสมดุลอย่างยิ่ง ลักษณะก็ได้มาตรฐาน
ผิวน้ำเต้าหนาหนัก สลักรูปผังแปดทิศไว้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง และยังมีกลิ่นธูปหอมติดอยู่จางๆ คาดว่าเมื่อก่อนคงถูกตั้งไว้ให้ผู้คนสักการะบูชาเป็นแน่ แม้จะยังไม่ถึงมาตรฐานของขลังในความคิดของเยี่ยเทียน แต่ก็ถือว่าเป็นวัตถุหายากชิ้นหนึ่ง
“ต้าหู่ เอ็งสูบบุหรี่ให้มันน้อยๆ หน่อยสิวะ บ้านจะไฟไหม้อยู่แล้วเนี่ย”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังพิจารณาน้ำเต้าที่ถือในมือ ประตูห้องนอนห้องหนึ่งที่อยู่ข้างหลังโซฟาก็พลันเปิดออก ชายหนุ่มใส่แว่นคนหนึ่งก่นด่าพลางเดินออกมา
“แก…แกเป็นใคร?”
หลินเซวียนโย่วเพิ่งจะคุยโทรศัพท์กับเหล่าชู้รักเสร็จ ไฟราคะยากจะดับลงได้ จึงแก้ปัญหาทางกายภาพไปจนเสร็จสิ้นด้วยน้ำมือของตัวเอง และตอนนี้ก็กำลังอ้าปากหวอมองไปยังเยี่ยเทียนที่อยู่ตรงหน้า
เนื่องจากติดตามจี๋เหล่าต้ามาหลายปี หลินเซวียนโย่วจึงพอจะต่อสู้เป็นอยู่นิดหน่อย หลังจากถามออกไปแล้ว มือขวาก็คลำไปที่เอวทันที หลังจากนิ้วมือสัมผัสโดนด้ามปืนอันเย็นเฉียบแล้วก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก
แต่หลินเซวียนโย่วยังไม่ทันล้วงปืนออกมา คนชุดดำที่ตอนแรกอยู่ห่างจากเขาไปสิบกว่าเมตรนั้นก็มาอยู่ตรงหน้าเขาในฉับพลันราวกับภูตผี
“กรอบแกรบ…กรอบแกรบ!” เกิดเสียงดังขึ้นหลายครั้ง แขนขาของหลินเซวียนโย่วถูกเยี่ยเทียนหักไปหมดแล้ว เขายังไม่ทันร้องออกมา เยี่ยเทียนก็ถอนขากรรไกรของเขาออกมาก่อน
ตอนแรกเยี่ยเทียนนึกว่าจะทำให้ชายคนนี้สลบไปเลย แต่พอเข้าไปถึงหน้าตัวมันแล้วถึงจะพบว่า บนร่างของชายคนนี้ก็มีปราณพิฆาตเยอะเหมือนกัน คาดว่าปกติคงจะทำเรื่องชั่วอยู่ไม่น้อย ดังนั้นถึงได้ให้มันรับความทรมานไปเสียบ้าง
“ลูกพี่! อ๊าก…”
พอเยี่ยเทียนทิ้งหลินเซวียนโย่วไว้บนโซฟา ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังมาจากทางหลังบ้าน แม้จะตะโกนเสียงสั้นกระชั้น แต่ก็เสียงดังไม่ใช่น้อยเลย
“เสี่ยวเทียนยังประสบการณ์ไม่พอจริงๆ แฮะ…”
เยี่ยเทียนนิ่งอึ้ง มองซ้ายมองขวา แต่ก็ไม่ได้เดินไปที่บันไดข้างๆ เขาใช้เท้าถีบลงไปบนโซฟาหนึ่งที ร่างทะยานขึ้นไปกลางอากาศ มือขวาฟาดลงไปบนราวเฉลียงชั้นสอง ทั้งตัวตีลังกาขึ้นไป
เยี่ยเทียนขยับร่างวูบไปถึงหน้าประตูห้องห้องหนึ่ง แล้วถีบไปที่กลอนประตูอย่างปราศจากความลังเล
จี๋เหล่าต้าที่อยู่ในห้องเพิ่งจะเปิดไฟสว่าง มีดสั้นอันคมปลาบเล่มหนึ่งปาดผ่านข้างแก้มเขาไป แล้วปักจมลงไปบนหัวเตียงเสียงดัง “ตึง”
ประกายเย็นวาบที่แผ่ออกมาจากมีดสั้นนั้น ทิ่มแทงไปกระทบผิวหนังที่ลำคอของจี๋เหล่าต้าจนรู้สึกเจ็บนิดๆ แม้ว่าใต้หมอนของเขาจะมีปืนพก 54 ซ่อนอยู่กระบอกหนึ่ง แต่จี๋เหล่าต้ากลับไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่นิ้วมือนิ้วเดียว
………………………………………