หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 405 เรียกวิญญาณ (1)
ที่เขตภูเขาฉางไป๋นั้นในปีหนึ่งๆ จะมีฤดูกาลที่หิมะปกคลุมไปทั้งภูเขาเป็นเวลานานสี่ถึงห้าเดือน หูหงเต๋อจึงชินกับการเดินทางกลางหิมะมานานแล้ว
ด้วยในใจกำลังนึกพะวงถึงหลานสาว แม้ว่าแต่ละก้าวจะจมลงไปในกองหิมะที่สุมกันขึ้นมาจนถึงหัวเข่า แต่หูหงเต๋อก็ยังคงเดินต่อไปอย่างเร็วมาก แต่ละก้าวที่สาวเท้าไปนั้นพาเกล็ดหิมะฟุ้งกระจายขึ้นมามากมาย และเกิดเป็นเส้นทางเดินขึ้นบนพื้นหิมะ
ตอนแรกเขานึกว่าเยี่ยเทียนจะตามฝีเท้าของเขาไม่ทัน แต่พอมองไปข้างๆ หูหงเต๋อก็มีสีหน้าตกตะลึงขึ้นมาทันที ในใจก็รู้สึกช็อกไปเลย
เยี่ยเทียนเก็บกิ่งไม้ยาวราวๆ หนึ่งเมตรเศษมาสองกิ่งจากไหนไม่ทราบ แล้วถือไว้มือละกิ่ง ระหว่างที่เดินหน้าไปก็ยื่นกิ่งไม้ออกไปแตะยันพื้นเบาๆ แล้วร่างก็ลอยละลิ่วไปข้างหน้าอย่างเบาหวิว
หูหงเต๋อหันไปมองข้างหลัง ฝีเท้าของเยี่ยเทียนที่จมลงไปบนหิมะนั้น เป็นรอยลึกเพียงราวๆ นิ้วเดียวเท่านั้นเอง แม้จะไม่ถึงขนาดเดินบนหิมะได้โดยไร้ร่องรอย แต่ก็ถือว่าใกล้เคียงแล้ว
ทั้งสองต่างเดินทางกันด้วยความเร็วสูงยิ่ง หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่าๆ ก็มาถึงไร่ที่เดินทางผ่านไปเมื่อวานแล้ว
เมื่อผลักเปิดประตูไม้ของห้องสำนักงานกรมป่าไม้ กระแสความร้อนก็พุ่งมาปะทะหน้าทันที ในห้องนั้นกำลังจุดเตาผิงไว้ ด้านนอกแม้จะเต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง แต่ภายในกลับอบอุ่นแสนสบาย
หูหงเต๋อโยนขาหมูป่าตากแห้งสองขาที่อยู่บนบ่าลงไปลงโต๊ะ “เสี่ยวซ่ง วันนี้มีรถเข้าเมืองรึเปล่า? ฉันขอติดรถไปทีสิ!”
ปกติจะยืมรถม้าของเขตกรมป่าไม้ก็ได้ แต่ตอนนี้หิมะตกหนักจนถนนใช้ไม่ได้ จึงจำเป็นต้องใช้รถจี๊ปของเขตกรมป่าไม้เท่านั้น ล้อของรถจี๊ปนั้นทำขึ้นพิเศษ เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนไปบนพื้นหิมะได้โดยเฉพาะ
เมื่อได้ยินหูหงเต๋อถามแบบนั้น ซ่งฉ่างฉางก็ยิ้มออกมา “ตาหู มาได้จังหวะพอดีเลยนะครับ นี่ผมกำลังเตรียมจะเข้าไปในเมืองอยู่พอดี เราไปด้วยกันก็ได้นะ!”
หูหงเต๋อปัดหิมะบนร่าง แล้วตอบว่า “อย่างนั้นก็ดีน่ะสิ ไป เดี๋ยวพอไปถึงในเมืองแล้วฉันจะเลี้ยงซุปแพะแกนะ!”
“ตาหูครับ ถ้าจะเลี้ยงซุปแพะละก็ ไม่สู้อีกสองสามวันไปล่ามังกรบินมาให้กินดีกว่าน่า รสชาติมันเยี่ยมไปเลยละ!”
ซ่งฉ่างฉางคุยกับหูหงเต๋อพลางหยิบกระเป๋าเอกสารใบหนึ่งเดินออกจากประตูไป เมื่อหิมะตกหนักไปทั้งภูเขาเช่นนี้ งานที่เขตกรมป่าไม้ก็ต้องหยุดลงเช่นกัน เขาเลยจะเข้าเมืองไปรายงานเสียหน่อย
“อยากได้มังกรบินน่ะไม่มีปัญหาหรอก แต่แกน่ะคอยคุมปากตัวเองไว้ให้ดีเถอะ คราวก่อนแค่ล่าไปสามตัว ก็โดนพี่ใหญ่แกบ่นไปตั้งหลายวันแล้ว”
ที่เรียกว่ามังกรบินนั้น อันที่จริงแล้วก็คือไก่ป่าหางลายนั่นเอง เป็นนกประจำถิ่นพันธุ์หนึ่งในเขตป่าไม้ของสามมณฑลตะวันออก มังกรบินมีเนื้อขาวและนุ่ม อุมดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ รสชาติสดอร่อย เป็นวัตถุดิบอาหารแปลกที่หายากชนิดหนึ่งของโลก
อย่างที่มักจะกล่าวกันว่า ‘บนฟ้ามีเนื้อมังกร บนดินมีเนื้อลา’ นั้น คำว่า ‘เนื้อมังกร’ ในที่นี้ก็หมายถึงเนื้อไก่ป่านี่เอง
แต่ปัจจุบันนี้มังกรบินถูกจัดเป็นสัตว์อนุรักษ์ของประเทศแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ประกาศเรื่องนี้กับพวกนักล่าบนภูเขาอยู่บ่อยไป พี่ชายคนโตของซ่งฉ่างฉางก็เป็นถึงหัวหน้าศูนย์ป่าไม้ท้องถิ่น คราวก่อนพอรู้ว่าหูหงเต๋อล่าไปหลายตัวก็แทบจะระเบิดโทสะใส่เขา
ซ่งฉ่างฉางหัวเราะ “เขาก็แค่พูดไปเท่านั้นแหละ ที่เหลืออยู่ครึ่งตัวนั่นผมเอาไปให้พี่สะใภ้ตุ๋นเป็นซุป พี่แกก็กินเสียอเร็ดอร่อยอย่างกับอะไรดีแน่ะ”
ขณะที่คุยกันไป พวกเขาก็เดินมาถึงหน้ารถจี๊ปคันหนึ่ง รถคันนี้ผ่านการดัดแปลงมาแล้ว ท้องรถยกขึ้นจนสูงมาก บนยางรถก็มีห่วงโซ่อยู่ด้วย สำหรับป้องกันรถลื่นเวลาขับไปกลางหิมะ
ตำแหน่งหัวหน้าเขตกรมป่าไม้นี่ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก ซ่งฉ่างฉางจึงไม่มีคนขับรถให้เป็นธรรมดา คันที่ขับอยู่นี้ก็เป็นรถจี๊ปเก่าที่ผลิตตั้งแต่ปีไหนแล้วก็ไม่ทราบ เขาขับพาพวกเยี่ยเทียนมุ่งหน้าสู่ตัวเมือง
หูหงเต๋อควานหากล้องยาสูบที่พกติดตัวไว้ออกมา และเคาะกับหน้าต่างรถ แล้วจู่ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงเอ่ยขึ้นว่า “จริงสิ เสี่ยวซ่ง ช่วงนี้มีพวกหน้าใหม่ขึ้นมาอยู่บนเขาบ้างรึเปล่า? ฉันเห็นมีกับดักวางอยู่ทางทิศเหนือของภูเขาหลายที่เลย เป็นแบบที่เอาไว้ดักเสือโคร่งไซบีเรียกับหมีควายเลยนะ!”
จากป่าฝั่งที่หูหงเต๋ออาศัยอยู่ขึ้นภูเขาเขาไปนั้น ระหว่างทางจะต้องผ่านเขตของกรมป่าไม้ และบนภูเขานั้นก็เป็งสังคมปิด ทุกคนจึงรู้จักกันหมดแล้ว ถ้ามีคนต่างถิ่นโผล่มาละก็ ซ่งฉ่างฉางก็ต้องจำได้แน่นอน
ซ่งฉ่างฉางส่ายหน้า “ไม่มีนะ ปีนี้อากาศหนาวลงเร็วมาก หิมะก็ตกเร็วกว่าปกติ ในเขตกรมป่าไม้ก็ไม่มีคนต่างถิ่นเข้ามาเลย”
หูหงเต๋อมีแววตาเย็นชา พึมพำกับตัวเองว่า “อย่างนั้นก็คงเป็นพวกที่มาจากฝั่งของไอ้บอดเมิ่งละสินะ? ไว้พอเสี่ยวเซียนหายดีแล้ว ฉันคงต้องไปเยี่ยมทางนั้นสักเที่ยวแล้วละ!”
คนที่หูหงเต๋อเรียกว่าไอ้บอดเมิ่งนั้น ก็แค่มีตาขาวมากหน่อยเท่านั้นเอง แต่ที่จริงแล้วเป็นคนตาแหลมมาก ฝีมือยิงปืนก็ไม่เป็นสองรองใครในเขตภูเขาฉางไป๋ อายุน้อยกว่าหูหงเต๋อไปสิบกว่าปี ปกติไม่ค่อยจะถูกชะตากับหูหงเต๋อเท่าไรนัก
แต่พ่อของไอ้บอดเมิ่งนั้น สมัยก่อนเคยเป็นลูกน้องของหูอวิ๋นเป้า รุ่นพ่อทั้งสองจึงพอจะนับว่ามีไมตรีต่อกันอยู่บ้าง ถึงไอ้บอดเมิ่งจะเคยทำเรื่องไม่ถูกทำนองคลองธรรมอยู่หลายครั้ง แต่หูหงเต๋อก็ไม่อยากลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยวด้วย
แต่คราวนี้ไอ้บอดเมิ่งกลับฝ่าฝืนข้อห้ามของหูหงเต๋อ เรื่องลักลอบล่าสัตว์นั้นไม่จำเป็นต้องพูดถึง แต่กับดักที่วางไว้เหล่านั้นไม่ได้ทำเครื่องหมายใดๆ ไว้เลย แสดงให้เห็นว่าจงใจหาเรื่องเขานั่นเอง หูหงเต๋อผู้ไม่เคยยอมเสียท่าให้ใครก็ต้องไม่ยอมอยู่แล้ว
นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของหูหงเต๋อ ตอนนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรอีก แต่เปลี่ยนไปสนทนาเรื่องอื่นกับซ่งฉ่างฉางแทน
ตอนที่ออกจากเมืองมาเมื่อวานนั้นนั่งรถม้า ซึ่งใช้เวลาวิ่งไปประมาณสองชั่วโมงกว่า วันนี้ทั้งๆ ที่นั่งรถยนต์ไป แต่กลับต้องนั่งส่ายคลอนไปตามถนนนานถึงสามชั่วโมงกว่าๆ จึงจะมาถึงเขตเมือง
ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายสองโมงแล้ว ซ่งฉ่างฉางต้องรีบไปรายงานผลการทำงานกับหัวหน้า จึงปล่อยเยี่ยเทียนและหูหงเต๋อไว้หน้าโรงพยาบาล แล้วก็ขับรถจากไป
เยี่ยเทียนและหูหงเต๋อไปนั่งอยู่ที่ร้านหมี่ร้านเดียวกับเมื่อวานอีกแล้ว แต่คราวนี้ทั้งสองกลับไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก ต่างคนต่างกินหมี่ไปสองชาม แล้วก็เข้าไปในโรงพยาบาล
“ไอ้ลูกเวรนี่มันก็มาด้วยเรอะ เยี่ยเทียน เดี๋ยวนายไม่ต้องพูดอะไรนะ ฉันจะไปไล่พวกมันออกมา!” เมื่อหูหงเต๋อมองเห็นรถที่จอดอยู่ในโรงพยาบาล สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
“เหล่าหู ทำไมหรือ?” เยี่ยเทียนได้ยินหูหงเต๋อพูดอย่างนั้นก็ชักจะแปลกใจ
“พ่อของเสี่ยวเซียนมันมาน่ะ ไอ้สารเลวนี่พอปีกกล้าขาแข็งขึ้นมา มันก็ไม่ค่อยจะเชื่อฟังฉันแล้ว”
หูหงเต๋อเป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียว เขาพูดขึ้นมาตาเขียว “เยี่ยเทียน นายไม่ต้องห่วงนะ ฉันรับรองว่า ตอนที่นายทำพิธีน่ะจะไม่มีใครอยู่ในห้องเลยสักคน พอเห็นพ่อไม่วางอำนาจเข้าหน่อย มันก็นึกว่าฉันจะต้องยอมพวกมันรึไง?”
“อย่าเลยน่า เหล่าหู วิชาเรียกวิญญาณของผมน่ะยังไงก็ใช้ตอนกลางวันไม่ได้อยู่แล้ว ต้องรอจนถึงตอนกลางคืนถึงจะทำพิธีได้ คุณอย่าเข้าไปทำให้บรรยากาศตึงเครียดเลยน่ะ พวกคุณมีความแค้นอะไรกันละเนี่ย ถึงได้เป็นเอาขนาดนี้?”
เยี่ยเทียนฟังหูหงเต๋อพูดแล้วไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ตัวก็อายุตั้งหกสิบเจ็ดสิบปีแล้ว ยังจะมาประชันอะไรกับลูกชายอีกล่ะ? ดูจากท่าทางของหูหงเต๋อแล้ว เหมือนกำลังคิดจะใช้กำลังข่มขู่เลยด้วยซ้ำ
“อย่างนั้นก็ได้ ฉันจะบอกมันว่าคืนนี้จะมาอยู่เป็นเพื่อนหลาน ให้พวกมันไสหัวไปซะ!”
หูหงเต๋อพยักหน้า ที่จริงเขาเองก็รู้สึกผิดต่อลูกชายอยู่บ้างเหมือนกัน สมัยก่อนถ้าไม่ใช่เพราะเขาดึงดันไม่ยอมให้ภรรยาไปโรงพยาบาล ตอนนี้คู่ชีวิตของเขาก็อาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้
“ลูกชายคุณเขาทำงานอะไรครับ?” เยี่ยเทียนเอ่ยถามขึ้น เพราะรถคันที่จอดอยู่ข้างนอกนั้นเป็นถึงรถโตโยต้ารุ่นคัมรี่ ซึ่งเป็นรถยนต์นำเข้าชนิดที่ถ้าไม่ใช่คนมีตำแหน่งในระดับหนึ่งก็คงไม่มีทางได้นั่ง
“ไอ้สารเลวนั่นเมื่อก่อนมันเป็นครู แล้วก็ทะเยอทะยานใช้สมองปีนป่ายขึ้นไป ตอนนี้อยู่ที่ศึกษาธิการมณฑล เหมือนจะเป็นรองศึกษาธิการอะไรเนี่ยแหละ” ถึงหูหงเต๋อจะเรียกลูกเป็นไอ้สารเลว แต่เยี่ยเทียนก็ดูออกว่า เขายังห่วงใยต่อลูกชายคนนี้อยู่เหมือนกัน
เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องคนไข้ อวี๋ชิงหย่าและเว่ยหรงหรงต่างก็อยู่ที่นั่นครบ นอกจากนางหูและเจ้าหน้าที่พยาบาลแล้ว ก็ยังมีชายวัยกลางคนรูปร่างสุงใหญ่อยู่อีกคนหนึ่ง
“เยี่ยเทียน เมื่อวานหิมะตกหนัก มือถือนายก็ไม่มีสัญญาณ ฉันเป็นห่วงแทบแย่แน่ะ” พอเห็นเยี่ยเทียนเข้ามา อวี๋ชิงหย่าก็รีบเข้าไปหา เมื่อวานหิมะตกหนักเหลือเกิน จนเธอนอนไม่หลับทั้งคืนเลย
เยี่ยเทียนกุมมือของอวี๋ชิงหย่าไว้ แล้วตอบเสียงเบา “ฉันไม่เป็นไร บนเขาน่ะอยู่สบายมากเลยละ”
“พ่อ พ่อมาหรือครับ?”
เมื่อหูหงเต๋อเดินเข้ามาในห้องคนไข้ ชายวัยกลางคนผู้นั้นก็ลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า “พ่อครับ ปีนี้หิมะตกหนักกว่าทุกปีเลย ผมว่าพ่อกลับมาอยู่ที่บ้านดีกว่านะครับ…”
หูหงเต๋อทำหน้าบึ้งตึง แล้วตอบอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “จะกลับมาอยู่ทำไม? ให้พวกแกยั่วโมโหตายเรอะ? ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้นละ อยู่บนเขาเนี่ยแหละดีออกจะตายไป!”
ที่จริงแล้วความสัมพันธ์ของหูหงเต๋อกับลูกชายก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เพียงแต่เขาเป็นคนหัวแข็งมาทั้งชีวิต ในความคิดของเขา ถ้าไปอาศัยอยู่ที่บ้านของลูกชาย ก็เท่ากับว่าตัวเองก้มหัวให้ลูกชาย ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาทำไม่ได้จริงๆ
“พ่อครับ พ่อ…”
ชายวัยกลางคนก็เริ่มขึ้นเสียงขึ้นมาบ้าง แต่เมื่อเห็นในห้องคนไข้นั้นมีคนอื่นอยู่ด้วย สุดท้ายจึงถอนหายใจ แล้วหันหน้าไปพูดกับเยี่ยเทียน “เธอคงจะเป็นเสี่ยวเยี่ยสินะ? ขอบคุณนะที่มาเยี่ยมเสี่ยวเซียน ฉันชื่อหูต้าจวิน เป็นพ่อของเสี่ยวเซียนน่ะ!”
“สวัสดีครับ ผมชื่อเยี่ยเทียนครับ!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วจับมือกับหูต้าจวิน ถ้าไม่ใช่เพราะคำนึงถึงหูหงเต๋อ เขาก็อาจจะเรียกอีกฝ่ายว่าลุงหูไปแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เรียกแบบนั้นไม่ออกจริงๆ
“ฮ่ะๆ เสี่ยวเยี่ยมาจากเมืองหลวง กิริยามารยาทเลยดูไม่ธรรมดาจริงๆ นะเนี่ย!”
หูต้าจวินเป็นผู้นำมาจนชินแล้ว เขาจึงรู้สึกได้ถึงความน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาจากตัวเยี่ยเทียนโดยธรรมชาติ ตอนนั้นยังนึกว่าเยี่ยเทียนเป็นคุณชายมาจากบ้านไหนด้วยซ้ำไป
ว่ากันตามเหตุผล หูต้าจวินก็ถือว่าวางตัวอย่างถ่อมตนพอสมควรแล้ว แต่หูหงเต๋อกลับยังไม่พอใจ พูดดุขึ้นมาจากด้านข้างว่า “แกมีสิทธิ์อะไรไปเรียกเขาว่าเสี่ยวเยี่ย? ต้องเรียกนายน้อยสิ ขนาดพ่อแกยังมีลำดับต่ำกว่าเขารุ่นหนึ่งเลย!”
หูต้าจวินได้ยินพ่อพูดแบบนั้นก็ทั้งนึกขำทั้งนึกฉุน เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น เขาก็ไม่อยากจะมาทุ่มเถียงกับหูหงเต๋อ ยามนั้นจึงพูดไปว่า “พ่อ พูดอะไรของพ่ออีกแล้วครับเนี่ย? เสี่ยวเยี่ยเขามาจากปักกิ่ง แล้วจะมาเกี่ยวข้องอะไรกับพ่อได้ยังไงล่ะ?”
หูหงเต๋อตอบอย่างขุ่นเคือง “มาจากปักกิ่งแล้วไม่มีสิทธิ์เกี่ยวข้องกันรึไง? ศิษย์พี่ของเยี่ยเทียนกับปู่แกน่ะเคยสาบานเป็นพี่น้องกัน แล้วแกว่าแกควรจะเรียกเขาว่าอะไรดีล่ะ?”
“พี่…พี่น้องร่วมสาบานของคุณปู่?” หลังจากได้ยินพ่อพูด หูต้าจวินก็นิ่งอึ้งไปทันที เขาไม่นึกเลยจริงๆ ว่า เยี่ยเทียนจะมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลหูแบบนี้ด้วย
หูต้าจวินเคยพบคุณปู่มาก่อน และสมัยเด็กยังเคยไปอยู่บนเขากับหูอวิ๋นเป้าเป็นเวลาสองปีด้วย จึงรู้ดีว่าหูอวิ๋นเป้ามีชีวิตที่ยิ่งใหญ่กึกก้องปฐพีเพียงใด และที่หูต้าจวินมีวันนี้ได้ ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งก็เพราะได้อิทธิพลจากคุณปู่นี่เอง
เมื่อครั้งกระโน้นหูอวิ๋นเป้าเร้นกายอยู่ในป่าเขา ส่วนพี่น้องใต้บัญชาของเขาส่วนหนึ่งก็ไปเข้าร่วมการปฏิวัติ หลังจากสามมณฑลตะวันออกได้รับการปลดปล่อย คนเหล่านั้นก็โยกย้ายไปตามที่ต่างๆ และได้รับตำแหน่งกันในระดับหนึ่ง
จนกระทั่งเหตุกลียุคที่กินเวลานานสิบปีนั้นยุติลง บางคนก็ได้นั่งตำแหน่งผู้นำในระดับที่สูงพอสมควร แม้ว่าต่อมาจะถอนตัวกันไปแล้ว แต่ก็ยังคงมีอำนาจในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่มาก
การที่หูต้าจวินสามารถก้าวจากอาชีพครูธรรมดาๆ คนหนึ่งมาถึงจุดนี้ได้นั้น เขาเองก็รู้ดีว่า จะขาดการเกื้อหนุนจากอดีตผู้ใต้บัญชาของคุณปู่เหล่านั้นในช่วงปีแรกๆ ไปไม่ได้เลย ดังนั้นในก้นบึ้งของหัวใจจึงรู้สึกเคารพคุณปู่อย่างยิ่ง