หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 359 ลมพัดเมฆเคลื่อน (2)
“หัวหน้าหน่วยสวี นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่น่ะ?”
คนที่ผู้กำกับการโจวเรียกว่าหัวหน้าหน่วยสวีนี้ เป็นหัวหน้าหน่วยรักษาการณ์ในกองทหารรักษาการณ์เกาสง มียศพันเอก อายุสี่สิบต้นๆ เมื่อก่อนก็เคยติดต่อกับผู้กำกับการโจวอยู่หลายครั้ง
เห็นได้ชัดว่า กองอาเจียนบนพื้นนั้นจะต้องมาจากทหารหมู่นี้แน่นอน เพราะผู้กำกับการโจวมองเห็นอย่างชัดเจนว่า ที่มุมปากของนายทหารคนหนึ่งมียังคราบที่ไม่ได้เช็ดออกให้หมดติดอยู่
“เหล่าโจว มาแล้วหรือ เรื่องนี้น่ะ…มีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่!” เมื่อเห็นว่าผู้กำกับการโจวมาถึงแล้ว ผู้พันสวีก็ยิ้มออกมาอย่างฝืนๆ ใบหน้าอันขาวซีดนั้นก็ดูมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง
“ทำไมล่ะ? หรือ…หรือว่าคนที่ชื่อเยี่ยเทียนนั่นตายไปแล้ว?” ผู้กำกับการโจวได้ยินแล้วก็ตื่นตระหนก เพราะเบื้องบนกำชับแล้วกำชับอีกว่า จะต้องรับรองความปลอดภัยของเยี่ยเทียนไว้ให้ได้
พอได้ยินคำถามของผู้กำกับการโจว ผู้พันก็มีสีหน้าประหลาดพิลึก แบมือตอบไปว่า “ตอนนี้ยังไม่รู้หรอก แต่ว่า…บนภูเขานั่นมีคนตายไปไม่ใช่น้อยๆ เลยละ”
“มีคนตายรึ?” ผู้กำกับการโจวขมวดคิ้วแล้วพูดต่อ “อย่างนั้น…อย่างนั้นก็ต้องรีบสืบค้นหาตัวเยี่ยเทียนให้เจอสิ ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ต้องได้ข้อสรุปมาสักอย่างสิ!”
ผู้พันส่ายหน้า “ทางผมขาดคนชันสูตรศพ ก็เลยกำลังรอพวกคุณมาอยู่นี่ไงล่ะ”
“อย่างนั้นยังต้องรออะไรอีกล่ะ? คนตายอยู่บนภูเขาใช่ไหม? งั้นเราก็รีบขึ้นไปดูกันเถอะ!”
ผู้ที่ติดตามผู้กำกับการโจวมาด้วยไม่ได้มีเพียงนักสืบนิติวิทยาศาสตร์จากสถานีตำรวจเท่านั้น ขณะเดียวกันยังมีแพทย์มาด้วยอีกหลายคน เพราะกลัวว่าเยี่ยเทียนจะประสบอุบัติเหตุอะไรเข้า จึงได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า
ผู้พันดึงตัวผู้กำกับการโจวไว้ แล้วพูดอย่างอมพะนำ “เอ่อคือ…เหล่าโจว เราก็เป็นเพื่อนกันมานานแล้ว ผม…ผมขอเตือนว่าคุณอย่าขึ้นไปเลยจะดีกว่านะ”
“จะทำอย่างนั้นได้ยังไงล่ะ?”
ผู้กำกับการโจวหัวเราะเฝื่อนๆ แล้วลดเสียงพูดให้เบาลงเช่นกัน “เหล่าสวี บอกคุณตรงๆ นะ เบื้องบนน่ะกดดันน่าดูเลย ถ้าคนที่ชื่อเยี่ยเทียนนั่นเป็นอะไรไปจริงๆ ละก็ ผมเองก็คงเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน”
ผู้พันพาพวกผู้กำกับการโจวเดินขึ้นเขาไปพลาง พูดคุยไปพลางว่า “ผมก็ยังไม่ได้ขึ้นไปบนเขานั่น แต่เคยเห็นพวกที่ตายไปก่อนหน้านี้มาแล้ว คุณต้องเตรียมใจไว้ดีๆ ล่ะ!”
ก่อนหน้านี้ผู้พันเดินทางไปถึงแค่ตรงปากทางขึ้นเขา ก็ไม่กล้าเดินขึ้นไปต่อแล้ว เพราะภาพที่เห็นนั้นช่างน่าสยดสยองเหลือเกิน ทำเอาพวกนายทหาร ยามสันติที่ไม่เคยสู้รบเหล่านี้ต่างก็ตื่นกลัวกันไม่ใช่น้อยๆ เลย
“แค่คนตายจะไปมีอะไรน่ากลัว? ผมเคยเห็นมาเยอะแล้วน่ะ หลายวันก่อนยังเห็นพวกแก๊งนักเลงตีกันจนแขนด้วนขาขาดไปตั้งหลายคนแน่ะ”
ผู้กำกับการโจวไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของผู้พันเลย ขณะที่พูดสายตาก็ยังเหลือบแลไปที่อาเหลียงอีก ที่เขาพูดมานี้เพราะตั้งใจจะกระทบกระเทียบอาเหลียงด้วย จะได้คุมลูกน้องของตัวเองช่วงนี้ให้ทำตัวเรียบร้อยหน่อย
เมื่อเดินไปถึงหน้าทางขึ้นเขา แพทย์คนหนึ่งที่ตามมาข้างหลังก็พลันเอ่ยขึ้นว่า “เอ๊ะ? ทำไมพื้นถึงได้เหนียวแบบนี้ล่ะ?”
“ฝนเพิ่งจะตกไป อาจจะเป็นโคลนก็ได้มั้ง?” อีกคนหนึ่งตอบไปโดยไม่ได้คิดอะไร
“มะ…มะ…ไม่ใช่โคลนหรอก นี่…นี่มันเลือด!”
แพทย์คนที่พูดขึ้นมาเมื่อครู่ส่องไฟฉายลงไปบนพื้น แล้วก็หน้าซีดเผือดไปทันที เพราะบนพื้นที่ปูด้วยแผ่นหินนั้น ถึงกับเต็มไปด้วยเลือด!
ควรทราบว่า ตอนนั้นฝนเพิ่งจะหยุดตกไปได้ไม่ถึงสิบนาที ทั้งที่ฝนตกหนักขนาดนี้ แต่ก็ยังชะล้างคราบเลือดไปไม่หมด อย่างนั้นมิแปลว่าเลือดต้องหลั่งไหลออกมาจนหมดร่างเลยรึ?
แต่ละคนยังไม่ทันได้ตื่นกลัว ผู้พันก็หยุดฝีเท้าลงแล้วพูดขึ้นว่า “ดูสิ อยู่ตรงนี้นี่แหละ!”
เมื่อได้ยินผู้พันบอก แต่ละคนก็ส่องไฟฉายไปข้างหน้าพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย และพบผ้าปูที่นอนสีขาวหลายผืนปูคลุมอยู่บนพื้น แต่ตอนนี้ผ้าเหล่านั้นถูกย้อมเป็นสีแดงไปหมดแล้ว
ไฟฉายเจ็ดแปดกระบอกรวมถึงไฟสปอตไลท์ที่ใช้กันในกองทหารอีกสองดวง สาดส่องบริเวณนั้นจนสว่างโร่ไปหมด ทุกคนจึงสังเกตเห็นว่า พื้นดินบริเวณที่พวกเขายืนอยู่นี้ในรัศมีสิบกว่าเมตร ล้วนเต็มไปด้วยโลหิตที่สีเริ่มดำคล้ำขึ้นมาแล้ว
นอกจากนั้น ตอนนี้กลิ่นเหม็นคาวฉุนจมูกก็โชยมาเข้าจมูกของทุกคนแล้วเช่นกัน ความรุนแรงของกลิ่นนั้น ทำให้ผู้กำกับการโจวซึ่งยังไม่ทันได้เห็นศพรีบยกมือขึ้นมาปิดจมูกทันที และเกือบจะสำรอกกับข้าวที่กินไปตอนมื้อเย็นออกมาหมดแล้ว
ผู้กำกับการโจวล้วงกระดาษโทรสารแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋า ข้อมูลที่ส่งมาเป็นรูปถ่ายของเยี่ยเทียน หลังจากฝืนทนกลิ่นเหม็นคาวเดินเข้าไปถึงหน้าผ้าขาวนั้นแล้ว เขาก็สั่งผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งว่า “เสี่ยวหลี่ เลิก…เลิกผ้านั่นขึ้นมาที!”
ในฐานะที่เป็นนักสืบนิติวิทยาศาสตร์ซึ่งต้องข้องเกี่ยวกับคนตายมานานปี เสี่ยวหลี่จึงคุ้นชินกับกลิ่นในสถานที่เกิดเหตุแล้ว เมื่อได้ยินผู้กำกับการสั่ง ก็เข้าไปเลิกผ้าขาวออกมาทันที
ใบหน้าอันซีดเผือดไร้โลหิตหน้าหนึ่งปรากฏแก่สายตาของผู้กำกับการโจว ที่หว่างคิ้วมีรอยถูกของมีคมกรีดหนึ่งรอย และยาวไปจนถึงท้องน้อย เสื้อผ้าบนร่างก็ถูกกรีดขาดไปด้วย
เพียงเท่านี้ก็ยังถือว่าไม่เท่าไร แต่ที่ข้างๆ ร่างนั้น เต็มไปด้วยอวัยวะภายในที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมา สีสันบาดตาเป็นกองโต ได้กลิ่นแล้วชวนให้อยากอาเจียนยิ่งนัก
“อุแหวะ…อุแหวะ!”
เมื่อเห็นสภาพภายใต้ผ้าขาวนั้น ผู้กำกับการโจวก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป หันหน้าไปแล้วอาเจียนออกมาคำโต ปกติเขามีหน้าที่ออกคำสั่งอยู่แต่ในสำนักงาน เคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อนที่ไหนกัน?
พวกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ติดตามมากับผู้กำกับการโจวก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาเช่นกัน บางคนรีบหนีออกไปด้านข้างหลายก้าว แล้วอาเจียนลงไปบนถนนเป็นการใหญ่ สองคนในนั้นที่เป็นหญิงสาวถึงกับตกใจจนอาเจียนไปร้องไห้ไป น้ำตาเปรอะเปื้อนทั่วใบหน้า
“คนนี้ไม่ใช่เยี่ยเทียนครับผู้กำกับ”
นักสืบนิติวิทยาศาสตร์ที่อยู่ข้างๆ เขากลับท่าทางสุขุมอย่างยิ่ง และรับกระดาษโทรสารจากมือผู้กำกับการไปเทียบดูกับร่างของผู้ตาย
ผู้กำกับการโจวอาเจียนพลางชี้ไปทางศพอีกร่างที่อยู่ไม่ห่างไปนัก “แล้ว…แล้วคนนั้นล่ะ?”
“เดี๋ยวผมไปดูครับ” นักสืบนิติวิทยาศาสตร์คนนั้นตอบ แล้วเดินตรงไปยังอีกจุดหนึ่งที่มีผ้าขาวคลุมไว้ แต่ผ่านไปนานแล้วก็ยังไม่มีเสียงตอบอะไรกลับมา
“เสี่ยวหลี่ ทำไมหรือ?” ผู้กำกับการโจวอดกลั้นความรู้สึกคลื่นไส้ในท้อง แล้วหันหน้าไปมองทางนั้นแวบหนึ่ง แค่มองนี่ยังไม่เท่าไร แต่อาหารที่เหลืออยู่ในกระเพาะอีกน้อยนิดนั้นกลับพุ่งอาเจียนลงไปบนพื้นอีกครั้ง
ศพร่างนี้ก็ไม่ได้น่าขยะแขยงอะไรขนาดนั้น บนร่างปราศจากรอยแผลใดๆ แต่ตั้งแต่ตำแหน่งลำคอขึ้นไปเรื่อยๆ นั้น ส่วนที่ควรจะมีศีรษะอยู่กลับว่างเปล่า
จนกระทั่งเมื่อผู้กำกับการโจวมองไปเห็นศีรษะที่ดวงตากำลังเบิกโพลงนั้น ในกระเพาะก็ไม่เหลืออาหารอะไรอยู่แล้ว เพราะแม้แต่น้ำย่อยเขาก็อาเจียนออกไปจนหมดเกลี้ยง อีกนิดเดียวก็แทบจะอาเจียนน้ำดีออกมาด้วยแล้ว
ตอนนี้ผู้กำกับการโจวถึงเพิ่งจะเข้าใจว่า ทำไมเมื่อครู่นี้หัวหน้าหน่วยสวีและพวกนายทหารถึงได้มีสีหน้าย่ำแย่กันขนาดนั้น บรรดาทหารที่ยังไม่เคยได้สู้รบเหล่านี้ หากกล่าวในบางมุมแล้วก็อาจจะทนรับได้น้อยยิ่งกว่าเขาเสียอีก
ส่วนอาเหลียงที่อยู่ข้างๆ นั้นก็กำลังแอบนึกดีใจอยู่ว่า โชคดีที่ทหารพวกนี้ยืนกรานไม่ให้คนของเขามาขึ้นภูเขาด้วย เพราะถ้าน้องๆ พวกนั้นมาเห็นภาพฉากนี้เข้าละก็ สงสัยเก้าในสิบคนคงได้ขอลาออกไปก่อนแน่นอน
“ผู้กำกับครับ อาวุธที่ฆาตกรใช้นั้นมีความคมมาก ศีรษะนี่ก็ถูกฟันขาดในมีดเดียวครับ!” นักสืบนิติวิทยาศาสตร์ตรวจดูศพโดยคร่าวๆ ตามหน้าที่ แล้วรายงานต่อผู้กำกับการโจว
“พอแล้ว เสี่ยวหลี่ คุณพาทีมนักสืบนิติวิทย์ขึ้นไปบนเขานะ ดูซิว่าบนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
ผู้กำกับการโจวโบกมือให้เสี่ยวหลี่หยุดพูด แล้วหันหน้าไปพูดกับผู้พัน “หัวหน้าหน่วยสวี รบกวนคุณส่งทหารสักกลุ่มไปกับพวกเขาทีนะ เรายังไม่รู้ว่าตอนนี้ฆาตกรยังอยู่บนภูเขารึเปล่า”
จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีใครคาดคิดว่าผู้ตายสองคนนี้จะตายด้วยน้ำมือของเยี่ยเทียน เพราะไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่อาจเชื่อมโยงชายหน้าตาอ่อนเยาว์บนกระดาษโทรสารนั้นเข้ากับฆาตกรได้เลย
“ครับ!”
สำหรับนักสืบนิติวิทยาศาสตร์แล้ว สภาพศพที่สยดสยองยิ่งกว่านี้ก็เคยเห็นมาแล้วทั้งนั้น เสี่ยวหลี่จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรกับสภาพในสถานที่เกิดเหตุมากนัก เมื่อได้ยินผู้กำกับการโจวสั่งการแล้ว ก็พาทีมนักสืบนิติวิทยาศาสตร์เดินขึ้นเขาไปพร้อมกับนายทหารกลุ่มนั้นทันที
เมื่อนักสืบนิติวิทยาศาสตร์ขึ้นเขาไปแล้ว ผู้กำกับการโจวก็หันไปสั่งอีกคนหนึ่งว่า “เสียวเลี่ยว คุณพาคนไปเยี่ยมตามวัดที่อยู่ในบริเวณนี้ทีนะ ดูว่าพอจะถามข่าวคราวได้บ้างไหมว่า ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว ผู้กำกับการโจวก็ไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป กลับไปที่ปากทางขึ้นเขาพร้อมกับหัวหน้าหน่วยสวีทันที สีหน้าก็ย่ำแย่พอๆ กับพวกกลุ่มทหารเมื่อก่อนหน้านี้เลย
ภูเขาฝอก่วงซานแม้จะไม่ได้ใหญ่โตนัก แต่ก็สูงถึงร้อยสองร้อยเมตร ยิ่งภูเขาลูกนี้ยังได้รับการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมดั้งเดิมไว้ ป่าบนเขาก็รกทึบไปหมด การเสาะหาจึงดำเนินไปอย่างยากลำบากยิ่ง
หลังจากส่งทีมค้นหาออกไปอีกสามทีมติดต่อกัน ใช้เวลาไปถึงสิบกว่าชั่วโมง จนกระทั่งถึงช่วงเที่ยงของวันถัดมา ก็นับว่าสืบค้นไปจนทั่วภูเขาทั้งลูกแล้ว และสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของทุกคนนั้น ก็ทำให้แต่ละคนต่างอดรู้สึกพรั่นพรึงขึ้นมาไม่ได้
ศพทั้งหมดยี่สิบสองร่าง ขณะนี้ถูกวางไว้บนทางลาดแห่งหนึ่งที่เชิงเขา นักสืบนิติวิทยาศาสตร์ทำงานยุ่งกันตลอดทั้งคืน และก็พอจะสรุปสาเหตุการตายของคนเหล่านี้ได้โดยคร่าวๆ แล้ว ซึ่งผลนั้นก็เป็นที่น่าสยดสยองสุดจะจินตนาการได้
ไม่ว่าจะเป็นคนที่เสียชีวิตจากการถูกปาดคอหรือตัดศีรษะ แต่ละคนต่างก็เสียชีวิตในพริบตาเดียวทั้งนั้น แต่พวกที่ลำตัวแหลกเละนั้นอนาจยิ่งกว่า ดูจากแผลที่บริเวณอกของพวกเขาแล้ว ราวกับถูกหัวรถไฟชนก็ไม่ปาน
แม้ว่าในใจทุกคนจะรู้กันดีว่านี่เป็นฝีมือของคน แต่พวกเขาก็อยากจะเชื่อว่านี่เป็นฝีมือของผีสางนางไม้บนภูเขาเสียมากกว่า ไม่อย่างนั้นฆาตกรคนนี้ก็คงจะต้องวิตถารยิ่งกว่าสตอลโลนในหนัง ‘แรมโบ้’ เสียอีก
ศพสภาพอเนถอนาจยี่สิบกว่าร่างวางเรียงรายอยู่บนพื้น ทำให้อุณภูมิที่นั่นลดลงไปทันที
ผู้กำกับการโจวมีสีหน้าย่ำแย่สุดขีด แม้ว่าในบรรดาศพเหล่านี้จะไม่มีเยี่ยเทียนอยู่ด้วย แต่เมื่อเกิดคดีอุกฉกรรจ์ถึงเพียงนี้ขึ้นภายในเขตที่เขาดูแลอยู่ ไม่ว่าอย่างไรผู้กำกับการโจวก็คงไม่อาจปัดความรับผิดชอบไปได้
“สมาชิกสภาเฉินมาแล้ว…” ขณะที่ผู้กำกับการโจวกำลังรู้สึกว่าสถานการณ์นี้ใหญ่เกินกว่าที่เขาจะควบคุมได้นั้นเอง พนักงานตำรวจหลายคนก็พาคนอีกสองคนเดินเข้ามา
เหล่าสมาชิกสภาในสภานิติบัญญัติของไต้หวันนั้นมี ‘อำนาจทางการเงิน อำนาจทางกฎหมาย และอำนาจในการไต่สวน’ อยู่ กระทั่งยังมีอำนาจในการถอดถอนหรือฟ้องร้องประธานาธิบดีได้อีกด้วย นับว่าเป็นกลุ่มคนชนชั้นสูงที่สุดในสังคมไต้หวันเลยทีเดียว
เมื่อต้องพบกับสมาชิกสภาเฉินผู้มักจะโต้ฝีปากในการประชุมสภาอยู่บ่อยๆ และก็เป็นฝ่ายชนะมาตลอดท่านนี้ ผู้กำกับการโจวก็ไม่กล้าชักช้า รีบเข้าไปต้อนรับทันที
“หาเยี่ยเทียนเจอรึยัง?”
ที่ทำให้ผู้กำกับการโจวอึ้งไปเลยก็คือ สมาชิกสภาเฉินยังไม่ทันได้พูดอะไร ชายวัยกลางคนที่ดูอายุเพียงสี่สิบกว่าปีที่มากับท่านนั้นกลับเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน
“ท่านนี้คือ…” ผู้กำกับการโจวมองไปทางสมาชิกสภาเฉินอย่างลังเลสงสัย
เมื่อเห็นผู้กำกับการโจวท่าทางลังเล สมาชิกสภาเฉินก็ตอบว่า “ท่านนี้คือคุณจั่วที่มาจากฮ่องกงน่ะ ผู้กำกับการโจว ไหนเล่าสิ่งที่คุณรู้มาให้ฟังหน่อยซิ!”
ผู้ที่มากับสมาชิกสภาเฉินก็คือจั่วเจียจวิ้นนั่นเอง แม้ว่าเมื่อวานจะนั่งเครื่องบินมาข้ามคืน แต่เพราะที่เกาสงมีพายุฝนฟ้าคะนอง เครื่องบินจึงไม่สามารถลงจอดได้ สุดท้ายจึงได้แต่ไปจอดที่สนามบินอีกแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นจึงเร่งรุดมาที่นี่
……….