หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 283 ชิวเหวินตง
“ดี!” เห็นกระบวนท่าอิงเขาของโจวเซี่ยวเทียนที่ออกมา เยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ด้านข้างก็อดไม่ไหวต้องตะโกนออกมา
โจวเซี่ยวเทียนใช้กระบวนท่าต้านภูผาออกมาใกล้กับหลักของมวยแปดทิศมากที่สุด อย่าว่าแต่อู่เฉิน เปลี่ยนเป็นเยี่ยเทียนถ้าถูกโดนท่าต้านภูผานี่เข้าไป ก็จะต้องใช้ท่าการสลายพลังนี้ออกไป
จากการที่เยี่ยเทียนร้องตะโกนว่าดี ร่างกายของอู่เฉินกลับลอยกระเด็นไกลออกไปสามถึงสี่เมตร หลังจากขาสองข้างลงมาถึงพื้นแล้ว ยังกระเด็นต่อไปอีกหลายสิบก้าว ก้นก็ลงไปจ้ำเบ้า
มวยแปดสุดยอดถึงแม้จะไม่ได้มีความร้ายแรงเหมือนหมัดเหล็ก แต่เมื่อซักครู่นั้นดูไร้เทียมทาน ทั่วทั้งร่างกายล้วนส่งออกพลังได้ อู่เฉินที่นั่งอยู่บนพื้นใบหน้าก็เปลี่ยนจากสีเลือดเป็นสีขาวซีด หลังจากนั่งลำบากอยู่นาน ก็กระอักเลือดออกมา
“พี่อู่!”
“ศิษย์พี่…”
การเปลี่ยนแปลงที่มาอย่างกระทันหันนี้ ทำให้พวกศิษย์ของสำนักที่ยืนรายล้อมอยู่รอบด้านตกตะลึงตาค้าง ทำไมอู่เฉินเดินรอบโจวเซี่ยวเทียนอยู่นานกลับไม่สามารถรับกระบวนท่าได้แล้วกลับล้มลงกระอักเลือดกัน
คนเหล่านี้เป็นพวกศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในสำนัก และมีบางส่วนที่เป็นคนจากบริษัทรักษาความปลอดภัย ของชิวเหวินตงส่งมาอบรม วิชาติดตัวไม่ได้มีเท่าไหร่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการมอง
พวกนั้นปกติดูหนังต่อสู้จากละครและภาพยนต์ ล้วนแต่เป็นแบบต่อสู้แลกอาวุธกันไปมา อย่างน้อยที่สุดก็ต้องต่อสู้กันหลายสิบยกจึงจะตัดสินแพ้ชนะได้ แต่ที่เห็นเมื่อซักครู่ กลับทำให้คนมุงเหล่านี้ตกตะลึงกันไปเป็นแถบ
จริงๆแล้วคนที่มีฝีมือสูงมักจะไม่มาทำท่าต่อสู้โชว์ แท้จริงแล้วก็ไม่ได้เหมือนที่พวกเขาคิดขนาดนั้น หาโอกาสต่อสู้ศัตรูให้ล้มในคราวเดียว แบบนี้ถึงเป็นรูปแบบของผู้มีฝีมือที่สูงส่งที่แท้จริง
โดยเฉพาะมวยแปดสุดยอด ที่มีกระบวนท่าเรียบง่ายไม่ซับซ้อน และรุกได้แรงและสร้างความเสียหาย ออกแรงซ้ำโดยกระบวนท่าไม่ซ้ำ ศรีษะ ไหล่ ข้อศอก มือ สะโพก เข่า เท้า ก้น แปดตำแหน่งของร่างกาย ล้วนแต่เป็นจุดอันตรายที่โค่นศัตรูได้
“อาจารย์ เขาเป็นคนที่กึ่งออกบวชฝึกมวยแปดสุดยอด ให้ความสำคัญกับพลังของมือ แต่ฐานการยืนไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่”
หากเทียบกับความอ่อนแอของอู่เฉิน โจวเซี่ยวเทียนกลับไม่ได้ถอนหายใจออก หลังจากออกแรงโจมตีไปแล้ว ก็เปลี่ยนการตั้งท่าของมวยแปดสุดยอด กลับมายืนอยู่หน้าของเยี่ยเทียน
“อืม เซี่ยวเทียน วิชามวยภายนอกของนายฝึกปรือจนถึงขั้นสุดยอดแล้ว แบบนี้ นายย้ายไปอยู่ที่บ้านของฉันเถอะ ตั้งใจฝึกฝนเคล็ดวิชาพลังภายในของบ้านนายอย่างจริงจัง ฉันเห็นว่านายฝึกไม่เกินหนึ่งปี พลังของนายจะเข้าสู่ระดับ ลมปราณแฝงแน่นอน”
สายตาของเยี่ยเทียนระดับไหน แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าระดับมวยแปดสุดยอดของโจวเซี่ยวเทียนถึงขั้นไหนแล้ว หากฝึกไปอีกขั้นแล้ว ก็จะกลายเป็นระดับปรมาจารย์ได้อย่างไม่ขัดเขิน
เยี่ยเทียนติดตามอาจารย์ไปเยี่ยมเยียนสำนักวิชามีชื่อมากมาย นอกจากตัวเขาเองแล้ว ก็ต้องนับพรสวรรค์ของโจวเซี่ยวเทียนเข้าไปด้วย แต่เยี่ยเทียนตั้งแต่เด็กก็แช่ยาเติบโตมา ถ้าจะว่ากันในเรื่องของความยากลำบาก เขาเทียบไม่ได้กับโจวเซี่ยวเทียน
เพียงแต่ว่ามวยแปดสุดยอดสร้างความเสียหายมาก หลังจากฝึกถึงระดับสุดยอดแล้ว ความเสียหายต่อร่างกาย ก็มากตามไปด้วย โจวเซี่ยวเทียนถึงจะมีพลังเคล็ดวิชาภายในช่วยอยู่ แต่จุดชีพจรในระบบลำไส้ ก็มีความเสี่ยง ในการเกิดโรคอยู่เหมือนกัน
เยี่ยเทียนให้โจวเซี่ยวเทียนอาศัยอยู่ที่บ้านสี่ประสานของตัวเอง ก็เพราะจะอาศัยพลังธาตุที่มีอยู่มาช่วยรักษา อาการบาดเจ็บภายในของเขา
แต่ความเข้มข้นของพลังธาตุจะมากหรือไม่นั้น สำหรับการฝึกเคล็ดวิชาภายในแล้วนับว่ามีประโยชน์เป็นอย่างมาก ถึงแม้วิชาสืบทอดของตระกูลของโจวเซี่ยวเทียนจะขาดหายไม่สมบูรณ์ แต่ก็ยังมีโอกาสเป็นอย่างมากที่จะเข้าสู่ขั้นลมปราณแฝง
นี่ก็เป็นสาเหตุที่ผู้ฝึกวรยุทธ์ในยุคโบราณอาศัยอยู่ตามหุบเขาลำเนาไพรไม่ออกมายุ่งกับโลกภายนอก ก็เพราะตามสถานที่แห่งนั้น ถึงจะมีพลังธาตุที่เพียงพอในการช่วยฝึกกระบวนวิชา
“พวกนายลงมือหนักเกินไปหน่อยแล้ว แค่ประมือเท่านั้น ทำไมถึงทำให้ศิษย์พี่ของฉันเป็นอย่างนี้” ในตอนที่เยี่ยเทียนอาจารย์และศิษย์ทั้งสองกำลังยืนคุยกัน คนหนุ่มที่ประคองอู่เฉินก็ก้าวออกมา
“เขาบาดเจ็บไม่มาก รักษาตัวครึ่งเดือนก็เป็นปกติแล้ว”
เยี่ยเทียนมองไปที่ชายผู้นั้นครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “จะว่าไป การประลองวิชาต่อสู้ ยากที่จะหลีกหนีการบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต ไม่เห็นมีอะไรน่าแปลกเลย กลัวบาดเจ็บก็เลิกเรียนวิชาต่อสู้ไปเรียนวิชาวรรณกรรรมไปสิ…”
ในแวดวงการต่อสู้ ที่มีความแค้นและบุญคุณเกิดขึ้นมากมายก็มาจากตรงนี้แหละ เรียนไม่เข้าขั้น เวลามีเรื่องขึ้นมาก็ยากที่จะไม่ถูกทำให้บาดเจ็บ ง่ายที่จะเกิดอาการบาดเจ็บล้มตาย ความโกรธแค้นก็ค่อยๆ สั่งสมมาเรื่อยๆ
ชายหนุ่มถูกคำพูดของเยี่ยเทียนทำให้หมดปัญญาตอบโต้ ใบหน้าขึ้นสีเลือด ด้วยความอารมณ์ร้อนร้องตะโกนขึ้นว่า “นาย…พวกนายรังแกคนเกินไปแล้ว พวกเรา สู้กับพวกเขาให้สุดตัวไปเลย!”
เสียงที่โจวเซี่ยวเทียนปล่อยออกมาเมื่อซักครู่นั้น ราวกับเสียงเสือคำรามอยู่ในป่า ทำให้พวกมือใหม่ ที่หัดฝึกวิชามวยแปดสุดยอดพวกนี้ตกใจขวัญเสียกันไปไม่น้อย แต่พอมีคนชักนำ พวกคนหนุ่มเหล่านั้นก็ทยอย วิ่งไปทีชั้นวางอาวุธ
“แม่งเอ้ย หมาหมู่!”
เยี่ยเทียนชะงักไปชั่วครู่ สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา ภาษิตโบราณว่าไว้ อาวุธไม่มีตา หากถูกคนไม่ระวังแทงเข้า หรือฟันลงมา นั่นก็ไม่น่าสนุกเท่าไหร่
อู่เฉินที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนพืันถึงจะมีใจอยากจะห้ามปรามแต่ก็ตะโกนไม่ออก คาวเลือดที่อยู่ตรงลูกกระเดือกพร้อม จะออกมาตลอด ได้เพียงแต่ยกมือขึ้นทำท่าห้ามเท่านั้น
ในตอนที่คนพวกนั้นจับอาวุธจะพุ่งเข้ามาหาเยี่ยเทียนและโจวเซี่ยวเทียนนั้นเอง ที่หน้าประตูก็มีบุคคลสองคนเดินเข้ามา เห็นฉากเบื้องหน้าที่ชุลมุนวุ่นวาย พลันชะงักค้างไปชั่วครู่
“หยุด จะล้างสำนักเหรอไง!”
ชายที่ยืนอยู่ด้านหน้าอายุราวสี่สิบกว่าตะโกนขึ้น เสียงของเขานั้นมีพลัง ทำให้พวกลูกศิษย์ที่ กำลังโมโหเหล่านั้นได้สติขึ้นมา
“อาจารย์ อาจารย์มาแล้ว!”
“อาจารย์ พวกนี้มาหาเรื่อง แล้วยังทำร้ายศิษย์พี่จนได้รับบาดเจ็บ!”
ลูกศิษย์กลุ่มใหญ่ที่ยืนอยู่เห็นผู้มาถึง สีหน้าปรากฏแววดีใจ วิ่งเข้าไปหาพร้อมอาวุธที่อยู่ในมือ แย่งกันพูดเรื่องราวที่เกิดเมื่อซักครู่
“เสี่ยวอู่ นายไม่เป็นไรนะ”
ชิวเหวินตงเห็นอู่เฉินที่นอนอยู่บนพื้น รีบเดินเข้าไปอย่างเร่งรีบ รีบยื่นมือเข้าไปจับชีพจรของเขา รู้สึกว่าชีพจรของเขายังปกติดี ถึงได้วางใจยืนขึ้นมา
อู่เฉินหัวเราะพลางลุกขึ้นมานั่งกล่าวว่า “อาจารย์…อาจารย์ เป็นผมเองที่ฝึกได้ยังไม่เข้าขั้น!”
“ไม่เป็นไร อาจารย์จะกู้ชื่อเสียงของนายกลับมาเอง!” ชิวเหวินตงตบไหล่ของลูกศิษย์ ให้คนมาประคองเขาไปนั่งบนเก้าอี้
ในตอนที่ชิวเหวินตงมองไปทางเยี่ยเทียนและลูกศิษย์ ในตาเต็มไปด้วยประกายของความโกรธ เขาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหลวงปักกิ่งมาสามสิบปี แต่ไหนแต่ไรมีแต่เขาที่ทำร้ายคนอื่น และไม่เคยมีเรื่องที่ คนมาหาเรื่องเขาถึงที่แบบนี้
และอู่เฉินเป็นลูกศิษย์เอกของเขา ผ่านการฝึกสอนหลายปีมานี้ ชิวเหวินตงเตรียมตัวส่งต่อสำนักให้กับเขา มาเห็นอู่เฉินถูกทำร้ายจนบาดเจ็บขนาดนี้ หมัดขวาของเขาเริ่มกำจนมีเสียง “ครึก ครึกแล้ว”
ต้องรู้ก่อนว่า ลูกศิษย์ที่รักมากนี้บางครั้งอาจจะมากกว่าลูกของตัวเองอีก เพราะคนก็ต้องมีแก่ตัวลงไป แต่ในแวดวงการต่อสู้ มีรุ่นหลังบางคนชอบเหยียบหัวผู้อาวุโสขึ้นไปมีชื่อเสียง นี่เป็นตอนที่ลูกศิษย์ออกหน้ารับศึกแทนอาจารย์
ดังนั้นเรื่องที่อู่เฉินบาดเจ็บ ในใจของชิวเหวินตงนั้น มันร้ายแรงซะมากกว่า เยี่ยเทียนและลูกศิษย์สองคน มาหาเรื่องเสียอีก
“พี่เฝิง ขอโทษจริงๆ ให้พี่มาเห็นเรื่องน่าอายพวกนี้ เชิญนั่ง รอให้ผมจัดการเรื่องวุ่นวายพวกนี้เรียบร้อยแล้วจะไปหาพี่!”
ถึงแม้ในใจจะเต็มไปด้วยไฟแค้น แต่ชิวเหวินตงก็ยังต้อนรับแขกข้างกายตัวเอง คนนี้เป็นยอดมวยขึ้นชื่อคนหนึ่งของ ยุทธภพ ชื่อว่าเฝิงเหิงหยู่
อาจารย์ของเฝิงเหิงหยู่และพ่อของชิวเหวินตงเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่รุ่นก่อน ทั้งสองคนในตอนนี้ก็ไปมาหาสู่กัน อยู่เรื่อยๆ เดิมทีชิวเหวินตงกำลังจะเชิญเฝิงเหิงหยู่ดื่มชาตอนเช้าด้วยกัน พอได้ยินว่ามีคนมาหาเรื่องทั้งสองก็เลยรีบมา
“อาจารย์ คนที่สวมชุดกีฬานั่นเป็นมวยแปดทิศยอดเยี่ยม ฝึกจนฝีมือเข้าขั้น อาจารย์ต้องระวังตัวหน่อยนะ!” อู่เฉินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เตือนชิวเหวินตง
อู่เฉินเป็นวิชามาก่อนที่จะไหว้ชิวเหวินตงเป็นอาจารย์ เดิมทีวิชาติดตัวก็ไม่ได้อ่อนกว่าชิวเหวินตงซักเท่าไร่ แต่แม้แต่กระบวนท่าเดียวของโจวเซี่ยวเทียนก็รับไว้ไม่ได้ เขากลัวว่าอาจารย์ถ้าไม่ระวังจะถูกดูถูกเอาได้
“มวยแปดสุดยอด”
ชิวเหวินตงได้ยินก็ตะลึงไป หน้าตาประหลาดมองไปทางเฝิงเหิงหยู่ เพราะว่าเขาเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ในมวยแปดสุดยอด และเขายังเป็นสำนักสืบทอดมาจากรุ่นลูกของปรมาจารย์หลี่ซูเหวินอีกด้วย นับว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ในวิชามวยแปดสุดยอดชั้นนำคนหนึ่ง
ดังนั้นพอได้ยินว่าคนที่มาก่อกวนใช้วิชามวยแปดสุดยอด ชิวเหวินตงก็เลยใช้สายตาส่งคำถามมองไปยังเฝิงเหิงหยู่ ความสัมพันธ์ในแวดวงต่อสู้นั้นซับซ้อน ไม่แน่ว่าทั้งสองอาจจะมีความสัมพันธ์กัน
เห็นสายตาของชิวเหวินตง เฝิงเหิงหยู่หัวเราะแกนๆ กล่าวว่า “พี่ชิว บรรพบุรุษส่งต่อให้กับลูกศิษย์ลูกหา มากมายหลายพันคน ผมก็คงจำไม่ได้หมดหรอกว่าใครเป็นใคร”
บรรพาจารย์ที่เฝิงเหิงหยู่พูดถึง ก็คือปรมาจารย์หลี่ซูเหวิน
ปรมาจารย์หลี่ซูเหวินนั้นเป็นคนสง่าผ่าเผย เกียจความอยุติธรรมเข้าเส้น ลูกศิษย์ลูกหาของเขานั้น ในประเทศและนอกประเทศ มีนับไม่ถ้วน ทุกปีก่อนวันเช็งเม้ง มักจะมีมาจากไม่ซ้ำประเทศ คนสีผิวก็มีบินข้ามน้ำ ข้ามทะเลมากราบไหว้ถึงชางโจว ตรงไปที่หลุมฝังศพของหลี่ซูเหวินเพื่อแสดงความเคารพ
ดังนั้นถึงแม้เฝิงเหิงหยู่จะเป็นคนสืบทอดสายตรงจากลูกคนโตของปรมาจารย์หลี่ซูเหวิน แต่ก็ไม่ได้รู้จักผู้สืบทอด ทั้งในและนอกประเทศทั้งหมดที่มีมากมาย
หลังจากได้ฟังเฝิงเหิงหยู่กล่าวจบ ชิวเหวินตงก็พยักหน้า กล่าวว่า “งั้นก็ดี พี่เฝิงคอยดูลาดเลาให้ผม ผมจะไปลองดูฝีมือเจ้าคนหนุ่มนั่นซักหน่อย เห็นแก่ที่ว่าเรียนวิชามวยแปดสุดยอด แค่ให้กระอักเลือดเบาะๆ ก็พอ!”
นี่เป็นความน่าเสียดายที่ใต้ปกครองไม่มีลูกศิษย์ที่มีฝีมือ มิเช่นนั้นชิวเหวินตงที่อายุใกล้ห้าสิบแล้ว ต้องลงมือเอง แต่อายุขนาดเขาตอนนี้ถือว่าอยู่ในช่วงเวลาทองของมวยภายใน เลือดลมไม่ได้ด้อยไปกว่าโจวเซี่ยวเทียนเลย
“น่าแปลก ชายวัยกลางคนนั่นทำไมดูคุ้นตาจังเลย”
ในตอนที่เฝิงเหิงหยู่กำลังสนทนากับชิวเหวินตงนั่นเอง เยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้ว เพราะเค้ารู้สึกคุ้นหน้าเฝิงเหิงหยู่ที่สวมใส่ ชุดฝึกสีขาวตลอดร่างนั้น แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
สำหรับคนที่ความจำดีแบบเยี่ยเทียนนี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากมาก เยี่ยเทียนมั่นใจว่า ในตอนนั้นที่ตาม นักพรตเฒ่าออกไปท่องยุทธภพนั้น จะต้องได้พบกับคนคนนี้แน่นอน
“ทั้งสองท่าน ผมชิวเหวินตงพอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้างในเมืองหลวง ทำเรื่องถูกต้องมาตลอด ไม่ทราบว่าที่ทั้งสองท่าน มาถึงที่นี่ เป็นเพราะถูกคนจ้างวานมาหรือว่ากระผมแซ่ชิวคนนี้ทำอะไรให้คับข้องหมองใจกัน”
ชิวเหวินตงเมื่อก่อนนั้นอารมณ์ดุร้าย แต่หลังจากได้เข้าไปนอนในคุกอยู่สองครั้ง นิสัยก็ถูกกล่อมเกลาจนเป็นปกติแล้ว ดังนั้นแม้ตอนนี้ในใจจะเดือดดาลเพียงใด แต่ก็ยังยึดตามพิธีของยุทธภพ
“กระทำการถูกต้อง”
เยี่ยเทียนกล่าวแล้วก็หัวเราะ “งั้นดี ผมขอถามท่าน ท่านก็ถือว่าเป็นคนฝึกวรยุทธ์คนหนึ่ง ทำไมถึงลงมือกับคนธรรมดา ผมรู้สึกไม่พอใจ ถึงได้มาขอประมือด้วย!”
……