หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 281 ทำลายสนาม (3)
“พี่เหว่ย เกิดเรื่องแล้วจริงๆ นะ หวงเหมา…พวกเขา…”
หนุ่มน้อยที่พูดอยู่ตอนนี้คือน้องชายของคนที่อยู่ดูแลคนที่ใช้วิธี “กลเจ็บกาย” ที่อยู่ที่โรงพยาบาล แต่เนื่องจากวอร์ดผู้ป่วยที่ไม่เหมือนกัน เขาจึงไม่รู้ตั้งแต่แรกว่าหวงเหมาและคนอื่นๆ เกิดเรื่องขึ้นแล้ว
ช่วงกลางวันที่เขาออกมาตักข้าวกิน เขาได้ยินคนพูดถึงเหตุการณ์นองเลือดของแผนกผู้ป่วยนอก ตอนแรกได้ยินว่าหนึ่งต่อสี่ หนึ่งคนฟันสี่คนจนล้มลงทั้งหมด เขายังชมคนนั้นว่าเก่งสุดยอดอยู่เลย
แต่หลังจากไปสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับหน้าตาของคนที่ถูกฟันพวกนั้นเสร็จ เจ้าหนุ่มคนนี้รู้สึกตกใจขึ้นมาทันทีจนไม่มีเวลาคิดถึงคนที่รอกินข้าวอยู่ที่ห้องพักผู้ป่วย แต่เขาตรงไปหาพี่ใหญ่อย่างเร่งรีบและแจ้งให้รู้เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“แกนี่แม่งพูดดีดีไม่เป็นเหรอ? หวงเหมาเป็นอะไร? ไอ้หนุ่มนั้นชกตีกับคนอื่นที่โรงพยาบาลอีกแล้วเหรอ?”
พี่ใหญ่เฟ่ยดูคนนั้นพูดติดๆ ขัดๆ จนรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที จุดประสงค์การส่งหวงเหมาไป คือต้องการให้ไปข่มขู่เว่ยหงจวิน ถ้าหากจะทำให้ปลาตายแหขาดอย่างนั้น มันไม่มีผลดีอะไรต่อเขาเลย
หวงเหมาเคยมีตัวอย่างตามไปตีลูกค้าที่ต้องการรื้อถอนถึงที่โรงพยาบาล ดังนั้นเวลาที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เฟ่ยเฮ่อเหว่ยจึงนึกว่าหวงเหมาสร้างปัญหาที่โรงพยาบาลอีกตามเคย
“พี่เว่ย หวง…หวงเหมาไม่ได้ไปตีใคร แต่ฟันคน…” เจ้าหนุ่มคนนี้วิ่งตรงมาจากที่โรงพยาบาล เพื่อรายงานเหตุการณ์ให้ทราบ เขาเหนื่อยจนไม่สามารถพูดเป็นประโยคในครั้งเดียวได้
“ฟันคนเหรอ?”
เฟ่ยเฮ่อเหว่ยอึ้งไปสักครู่ และด่าว่า “แม่งเอ้ย ความสามารถที่จะทำให้งานสำเร็จไม่เคยมี แต่ความสามารถที่จะทำลายงานนั้นมีอยู่เหลือเฟือ รีบไปหาตัวหวงเหมาและพวกสารเลวมาให้ฉันเดี๋ยวนี้ ให้พวกมันหลบไปก่อน!”
เจ้าหนุ่มที่มารายงานเหตุการณ์โบกมือไปมา และหยิบเบียร์ที่วางบนโต๊ะขึ้นมาดื่มไปอึกใหญ่ จากนั้นใจของเขาก็สงบนิ่งลงและพูดออกมาว่า “พี่เหว่ย ไม่ใช่พี่ คือพวกซานจีถูกหวงเหมาฟัน ฟัน…ฟันจนตายหมดเลย หวงเหมาถูกตำรวจยิงจนตายแล้วเหมือนกัน!”
“อะไรนะ!” หลังจากเฟ่ยเฮ่อเหว่ยได้ยินแบบนั้นเขาลุกขึ้นยืนอย่างรุนแรง โต๊ะที่อยู่ข้างหน้าถูกเปิดออกจนไพ่ปายโกวหล่นลงที่พื้นเต็มไปหมด
“ซานจีถูกหวงเหมาฟัน? ตัวเองถูกตำรวจยิงตายแล้ว?”
เฟ่ยเฮ่อเหว่ยดูเป็นคนใจกล้าแต่หลังจากได้ยินข่าวนี้ไปเขาเองก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว ถามต่อว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แกพูดให้เข้าใจหน่อย แม่งเอ้ย ซื่อสี่ ไปเตรียมเงินไว้ พวกฉันจะเตรียมตัวหนีแล้ว!”
ความรู้สึกแรกของเฟ่ยเฮ่อเหว่ยก็คือการหนี และในความคิดของเขา เรื่องที่เกิดขึ้นมีความเป็นไปได้ว่าเว่ยหงจวินรวมหัวกับตำรวจแน่นอน นี่มันคิดจะเอาให้ถึงตายเลยนิหว่า!
เฟ่ยเฮ่อเหว่ยกล้าเล่นงานเว่ยหงจวินแต่เขาไม่กล้าต่อต้านกับคนของรัฐ ถ้าทางรัฐต้องการหาเรื่องเขาจริง มันง่ายยิ่งกว่าบีบมดตาย เพราะหลายปีที่ผ่านมา กิจการรื้อถอนที่เขาทำอยู่ทำให้หลายครัวเรือนต้องบ้านแตกสาแหรกขาด
“พี่เหว่ย เราจะหนีทำไมเหรอ?”
คนที่มารายงานสถานการณ์รู้สึกงุนงงและพูดต่อว่า “ฉันไม่รู้ว่าเหตุการณ์เป็นยังไง เหมือนกับว่าหวงเหมาออกจากแผนกผู้ป่วยนอกแล้วจู่ๆก็ชักมีดขึ้นมาฟันพวกซานจีจนตาย จากนั้นตำรวจก็มาจับเขา แต่เขาถูกยิงจนตาย เรื่องนี้…ไม่เกี่ยวกับพวกเราหรือเปล่า?”
ปกติเวลากินเหล้ากินเนื้อด้วยกันไอ้หนุ่มเร่ร่อนพวกนี้จะนับพี่นับน้องกันหมด แต่ที่จริงแล้วพวกเขาไม่มีความรู้สึกอะไรต่อกันเลย และยังแบ่งพรรคแบ่งพวกอีกด้วย คนที่สนิทกับหวงเหมาก็ตายหมดแล้ว ดังนั้นคนที่เหลืออยู่ตรงนี้คงไม่มีใครไว้ทุกข์ให้เขาแน่นอน
หลังจากได้ยินว่าตำรวจนั้นมาทีหลัง พี่ใหญ่เฟ่ยก็ใจเย็นลง เขาใช้มือจับหนวดที่โกนไว้ และพูดพึมพำเองว่า “เรื่องนี้แปลกๆ นะ คนที่สนิทกับหวงเหมาสามารถนอนกับผู้หญิงคนเดียวได้ ทำไมมันถึงฆ่าพวกซานจีละ?”
เฟ่ยเฮ่อเหว่ยยังพูดไม่จบ ก็มีคนที่อยู่ข้างๆ พูดแทรกขึ้นว่า”พี่เหว่ย มันน่าแปลกตรงไหน? ไอ้นั่นมันดูดยาเมื่อวาน แล้วยังนอนกับผู้หญิงทั้งคืน ตอนเช้าฉันเห็นมันออกไปข้างนอกก็ยังสูบอีก ยามันคงออกฤทธิ์ตอนนั้นพอดีแหละ!”
เฟ่ยเฮ่อเหว่ยเหมือนตื่นจากฝันเลยทีเดียวหลังจากได้ยินคนนั้นพูดออกมา เตะโต๊ะที่อยู่ข้างหน้าจนกลับหัว ด้วยขาข้างเดียวและตะโกนด่าว่า “แม่งเอ้ย เป็นอย่างนั้นแน่ๆ เหอะ หวงเหมาตายแล้วตำรวจต้องตามมาที่นี่แน่ๆ พวกแกทั้งหมด รีบเอายาพวกนั้นไปทิ้งซะ ต้าหลง แกมากับฉัน!”
คำพูดของเฟ่ยเฮ่อเหว่ยทำให้คนในห้องวุ่นวายขึ้นมาทันที ทุกคนต่างวิ่งเข้าห้องของตนเอง ดูเหมือนว่าจะเป็นพวกขี้ยาเกือบทั้งหมดด้วยซ้ำ และในทุกๆ ห้องก็จะมียาอยู่ไม่มากก็น้อย
เฟ่ยเฮ่อเหว่ยไม่ดูดยาพวกนี้แต่ในห้องเขากลับมียาเยอะที่สุด นั่นเป็นเพราะว่าเขาใช้ยาและเงิน มาควบคุมลูกน้องของเขานั่นเอง และถ้ายาเหล่านั้นถูกค้นเจอ เขาคงถูกยิงเป็นสิบๆ ครั้งยังได้
การตัดสินใจอย่างเด็ดขาดของพี่ใหญ่เฟ่ย ทำให้เขาพ้นผิดไปได้หนึ่งครั้ง เพราะว่าหลังจากที่พวกเขาเอายาทิ้งลงที่ชักโครก ไม่นานก็มีรถตำรวจหลายคันขับมาจอดที่บริษัทรื้อถอน
สำหรับกรณีการฆาตกรรมครั้งสำคัญครั้งนี้ ความพยายามในการตรวจสอบของตำรวจก็มีความแข็งแกร่งเช่นกัน และหลังจากการชันสูตรศพและตรวจสอบเลือดของหวงเหมาเสร็จ ตำรวจพบว่าหวงเหมามีการสูบยาปริมาณมากเมื่อสองชั่วโมงก่อนหน้านี้
ต้องรู้ว่าความผิดปกติทางจิตที่โดดเด่นที่สุดที่เกิดจากการใช้ยาคือภาพหลอนและความผิดปกติทางความคิดซึ่งคล้ายกับความบ้าคลั่งอย่างฉับพลันของหวงเหมา
ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่ตำรวจคาดเดามีความใกล้เคียงกับด้านของเฟ่ยเฮ่อเหว่ยที่สุด และหลังจากการสอบสวน เด็กที่เสียมือคนหนึ่งเสร็จ ตำรวจก็รวมกำลังล้อมรอบบริษัทรื้อถอนทันที
แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานการกินยาซื้อขายยา แต่คนกลุ่มนี้ก็ถูกตำรวจับไปแล้ว เพราะมัวแต่เก็บยาเหล่านั้น ทำให้ไม่ทันเก็บไพ่ปายโกวกับเงินสดในห้อง และการมั่วสุมเล่นการพนันก็เพียงพอให้พวกเขาถูกจำคุกสิบวันหรือครึ่งเดือนแล้ว
……………………
“อาจารย์ เราไปกันเลยเหรอ?”
วันรุ่งขึ้นเยี่ยเทียนเพิ่งมาถึงเรือนเก่า โจวเซี่ยวเทียนพุ่งเข้ามาต้อนรับทันที วันนี้เขาใส่เป็นชุดออกกำลังกาย ลูบหมัดลูบฝ่ามือรอเยี่ยเทียนตั้งแต่เช้าแล้ว
“ไปเลย ฉันว่า แกเป็นพวกบ้ากำลังหนิ!” โจวเซี่ยวเทียนยืนยิ้มด้วยความตื่นเต้น ทำให้เยี่ยเทียนก็ยิ้มตามไปด้วย
เห็นลูกชายจะพาโจวเซี่ยวเทียนไปข้างนอกอีกแล้ว เยี่ยตงผิงไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่เดินมาพูดว่า “นี่ วันนี้พวกเธอจะไปทำอะไรอีกแล้ว? เยี่ยเทียน เซี่ยวเทียนยังต้องไปทำงานนะ!”
“เถ้าแก่ ผมกับอาจารย์จะไป……”
เยี่ยเทียนกลัวโจวเซี่ยวเทียนจะหลุดพูดออกไป จึงรีบพูดแทรกขึ้นมาว่า “พ่อ ผมจะพาเซี่ยวเทียนไปธุระหน่อย พ่อเป็นเถ้าแก่จะไปแต่โรงน้ำชาก็ไม่ได้เหมือนกัน ว่างๆ ก็ไปดูร้านหน่อย…”
“ใครบอกว่าฉันไม่ได้ไปที่ร้าน? เดี๋ยว ฉันบอกให้หยุดไง ไอ้เด็กนี่กล้าดียังไงมาสั่งสอนฉัน?” เยี่ยตงผิงอึ้งกับคำที่ลูกชายพูด หลังจากได้สติ เยี่ยเทียนพาโจวเซี่ยวเทียนออกจากเรือนสี่ประสานไปเรียบร้อย
“อาจารย์ ที่นี่เหรอ?”
ทั้งสองคนเดินทางมาถึงหน้าประตูเรือนสี่ประสานติดถนนแห่งนึงที่อยู่ในซอยของเขตซีเฉิงแถวทะเลสาบโฮ่วไห่ โจวเซี่ยวเทียนมองดูป้ายที่แขวนอยู่ตรงประตู ยิ้มมุมปากอย่างไม่ตั้งใจและพูดขึ้นว่า”ชมรมอันเต๋อวู เต๋อบ้าอะไร มีแต่พวกคนถ่อยที่แทงข้างหลัง!”
พ่อของชิวเหวินตง ชื่อชิวอันเต๋อ รุ่นเก่าในเมืองปักกิ่งถือว่าเป็นอาจารย์สอนมวยที่มีชื่อเสียงพอสมควร และในตอนนั้นเขามีมิตรภาพกับตู้ซินวูวีรบุรุษแห่งภาคเหนือและภาคใต้อยู่บ้าง
ชิวเหวินตงได้นำชื่อของพ่อมาตั้งเป็นชื่อของชมรมศิลปะการต่อสู้ สาเหตุหนึ่งก็เพื่อรำลึกถึงพ่อของตนเอง และอีกสาเหตุหนึ่งก็เพื่อใช้ชื่อเสียงของพ่อผูกมิตรกับวงการวูซูของภาคเหนือ และเพื่อให้ตระกูลชิว สามารถตั้งตัวขึ้นอีกครั้งในยุทธภพภาคเหนือ
“เห้ ไอ้หนุ่ม พูดอะไรนะ?” มีคนอยู่สองคนเดิมทีกำลังยืนคุยกันอยู่ที่หน้าประตู แต่ได้ยินสิ่งที่โจวเซี่ยวเทียนพูด ทันใดนั้นพวกเขาก็เดินมาด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรและล้อมพวกเขาไว้
“จะทำอะไร? พวกแกเป็นคนเปิดชมรมการต่อสู้ แต่ฉันจะมาทำลายสนามที่นี่!” ระหว่างที่เดินทางเยี่ยเทียน ได้บอกกับเขาไปแล้วว่าให้สร้างเรื่องให้ใหญ่ที่สุด แขนขาดขาหักไม่เป็นไรขอแค่ไม่ทำให้ใครเสียชีวิต
“ไอ้หนุ่ม ไม่มีตารึไง? สนามของเถ้าแก่แปด แกกล้าหาเรื่องเหรอ?”
ปีนี้อายุของชิวเหวินตงใกล้จะห้าสิบแล้ว สมัยก่อนพวกที่ติดตามเขาต่างก็เรียกขานเขาว่าพี่ตง แต่คนรุ่นหลังๆ กลับเรียกขานเขาว่าเถ้าแก่แปด
ถึงแม้จะวางมือไปเรียบร้อย แต่ชื่อเสียงของชิวเหวินตงในสมัยนั้นยังคงอยู่ คนกลุ่มนี้ที่เรียนการต่อสู้กับเขา แต่ละคนเวลาเดินจะยกไหล่ทั้งสองข้างและทำท่าหยิ่งกันทั้งนั้น
ตอนที่ได้ยินว่าจะมีคนมาทำลายสนาม สองคนนั้นไม่คิดจะถามที่มาที่ไป แต่กลับยกมือขึ้นตบหน้าโจวเซี่ยวเทียน ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา
“ฝ่ามือแปดทิศ? อย่าบอกว่าเป็นผู้สืบทอดของต๋งไห่ชวน?” เยี่ยเทียนมองปุ๊ปก็รู้วิชามวยของฝ่ายตรงข้ามออกทันที
จากการตรวจสอบและยืนยัน ฝ่ามือแปดทิศมีต้นกำเนิดมาจากกลางถึงปลายราชวงศ์ชิง ผู้คิดค้นคือต๋งไห่ชวน และเนื่องจากต๋งไห่ชวนเคยเป็นอาจารย์สอนมวยอยู่ที่ตำหนักท่านอ๋องหวังสมัยราชวงศ์ชิง ทำให้ฝ่ามือแปดทิศ เริ่มเป็นที่รู้จักในเมืองปักกิ่งก่อนเป็นอันดับแรก ในศตวรรษที่ผ่านมาได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศและทั่วโลก
ในเขตเมืองปักกิ่ง คนที่ฝึกฝ่ามือแปดทิศมีแปดเก้าคนในสิบคนเป็นสายเดียวกันกับต๋งไห่ชวน และฝ่ามือแปดทิศเป็นหนึ่งในสามของมวยภายในที่มีชื่อเสียง ถึงแม้ท่าของสองคนที่อยู่เบื้องหน้าจะหยาบกระด้างไปบ้าง แต่สำหรับเยี่ยเทียนแล้วก็เพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกต้องระมัดระวังมากขึ้น
“มาได้ดี” เยี่ยเทียนคอยสังเกตท่าหมัดของสองคนนั้นอยู่ข้างๆ ส่วนโจวเซี่ยวเทียนนั้นพุ่งเข้ารับหมัดโดยตรง
มวยปาจี๋เป็นมวยที่หมัดสั้นและอยู่ในระยะใกล้ตัว การเคลื่อนไหวมีความดุดัน สิ่งสำคัญคือการใช้นิ้วจับนิ้ว เก็บ ตีและเปิดอย่างมั่นคง จึงตั้งรับหมัดของสองคนได้ ขาขวาของโจวเซี่ยวเทียนที่อยู่ด้านหลังกับการออกแรงแค่ขยับตัวเล็กน้อย ร่างกายเอนตัวออกไปเหมือนดั่งธนูขนาดใหญ่
การเคลื่อนไหวของโจวเซี่ยวเทียนรวดเร็วอย่างมาก หมัดของชายหนุ่มสองคนยังไม่ได้ตีเขา เขาก็กระแทกเข้าที่แขนของพวกเขาแล้ว
ทั้งไหล่ซ้ายและไหล่ขวาของโจวเซี่ยวเทียนสั่นสะเทือน และสองคนนั้นก็ส่งเสียงร้องออกมา เท้าของพวกเขาไม่มั่นคงและก้าวถอยหลังออกไปอย่างต่อเนื่อง เดิมทีลานบ้านของเรือนสี่ประสานสูงอยู่แล้ว พอสองคนนี้ไม่ระวังครู่เดียวก็สะดุดล้มลงหงายหน้าอยู่หน้าประตูเลยทีเดียว
“เกิดอะไรขึ้น? เกิดเรื่องอะไร”
ผู้คนในเรือนมีจำนวนไม่น้อย หลังจากได้ยินเสียงดังจากด้านนอก ประมาณ 4 ถึง 5 คนก็กรูกันมาถึงหน้าประตู พวกเขาเห็นชายสองคนที่อยู่ที่พื้นคลานลุกขึ้นมาพอดี ไหล่ซ้ายแนบชิดกับร่างกายอย่างอ่อนแรง ส่วนใบหน้าเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเม็ดใหญ่
“เซี่ยวเทียน ท่าต้านภูผา ของนายไม่เลวนิ ตอนเด็กๆคงฝึกอิงกับต้นไม้ไม่น้อยเลยละสิ?” เยี่ยเทียนเห็นท่าของโจวเซี่ยวเทียนแล้วพยักหน้าชื่นชม
ศิษย์ของปาจี๋เวลาฝึกท่า “ต้านภูผา” มักจะใช้ลำตัวอิงกำแพง อิงต้นไม้ อิงเสา และโจวเซี่วเทียนคงใช้ เวลาฝึกท่านี้ไม่น้อยทีเดียว
……