หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 203
หลังจากปีนเขาไปได้หนึ่งชั่วโมงกว่า แสงอาทิตย์ก็เหมือนจะหมดความสามารถในการแผ่ความร้อนไปแล้ว อากาศหนาวเย็นบนภูเขาหิมะพัดปะทะใบหน้า ทำให้เยี่ยเทียนสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
ท้องฟ้าสีครามตัดกับยอดภูเขาหิมะขนาดมหึมาสูงตระหง่าน ภายใต้แสงอาทิตย์นั้น เมฆสีขาวหลายกลุ่มทอดเงาลงไปบนยอดภูเขาหิมะ ราวกับลวดลายสีเทาเงินที่ปักอยู่บนผ้าแพรสีขาว
บริเวณระหว่างเชิงเขาและยอดภูเขาหิมะที่ไม่เคยละลายมานานแสนนานแล้ว มีป่าดึกดำบรรพ์สีเขียวมรกตที่ทอดยาวคดเคี้ยวอย่างไร้ที่สิ้นสุดคั่นกลางอยู่
ต้นสนไซเปรสแน่นขนัดราวกับร่มขนาดยักษ์ที่กางชูขึ้นฟ้า กิ่งก้านซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ปล่อยแสงอาทิตย์ลอดผ่านลงมาเพียงจุดเล็กๆ ลายพร้อย ขณะที่เยี่ยเทียนเดินอยู่ในป่า ก็ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าของตัวเองที่เหยียบย่ำลงบนเศษใบไม้เหลืองแห้ง เพิ่มความเงียบวังเวงให้ป่าทึบแห่งนี้ยิ่งกว่าเดิม
บนภูเขาหิมะและในป่าไม้มีสิ่งชีวิตอาศัยอยู่หลายชนิด อย่างเช่นฝูงแพะป่า และกวางทุ่งซึ่งมักจะวิ่งผ่านหน้าเยี่ยเทียนไปเป็นครั้งคราว ถึงแม้ที่นี่จะยังไม่ใช่เขตหวงห้าม แต่ก็เป็นสถานที่พบร่องรอยของมนุษย์ได้น้อยมาก
หลังจากเดินผ่านป่าทึบที่เป็นดงแน่นขนัด ก็สามารถมองเห็นชั้นน้ำแข็งบนพื้นดินและหิมะที่ทับถมกันจนเป็นกองสูง อุณหภูมิในอากาศลดลงจนเกือบถึงศูนย์องศาอย่างฉับพลัน เยี่ยเทียนจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดกันหนาวสำหรับปีนเขาที่ซื้อมาจากด้านล่างเรียบร้อยแล้ว
โบราณกล่าวว่า ภูเขาแม้ดูเหมือนใกล้ แต่แท้จริงแล้วไกลจนม้าอาจเหนื่อยตายได้ เยี่ยเทียนนึกไม่ถึงเลยว่า แค่เดินมาที่เชิงเขา เขาก็ต้องใช้เวลาไปนานถึงสามชั่วโมงกว่าแล้ว เมื่อทอดสายตาไปยังยอดภูเขาหิมะที่สูงตระหง่านเสียดฟ้า เยี่ยเทียนก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาจะสามารถปีนขึ้นไปถึงข้างบนได้หรือไม่
“พวกนั้นจะทำอะไรกันแน่เนี่ย?”
เมื่อรู้สึกได้ว่ากลุ่มคนที่อยู่บนภูเขานั้นไม่ได้คิดจะหยุดพักเลยสักนิด แม้แต่เยี่ยเทียนที่เพิ่งจะปีนขึ้นมาบนภูเขาหิมะ ก็เริ่มโอดครวญขึ้นมาไม่หยุด
ถึงเยี่ยเทียนจะเคยไปมาหลายที่แล้ว แต่เขาก็ไม่เคยมีประสบการณ์ในการปีนภูเขาหิมะมาก่อนเลย ความรู้ในการปีนเขาที่มีอยู่เพียงน้อยนิด ก็ได้มาจากการสอนแบบเร่งด่วนของโค้ชปีนเขาที่ไม่มีความรับผิดชอบคนนั้นเมื่อก่อนหน้านี้นั่นเอง
เกี่ยวกับเป้าหมายของพวกกลุ่มของ ‘เถ้าแก่เจี่ย’ นั้น ตอนนี้เยี่ยเทียนก็กำลังสนใจอยากรู้เต็มแก่
เยี่ยเทียนมั่นใจมากว่า บนภูเขาหิมะแห่งนี้จะต้องมีสิ่งที่ล้ำค่ามากพอที่จะดึงดูดสายตาของพวกเขาได้อย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าอย่างไรเยี่ยเทียนก็ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่า โจรปล้นสุสานมืออาชีพอย่างพวกนั้นจะเปลี่ยนวงการไปเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการไต่เขาแทนได้
เยี่ยเทียนวางกระเป๋าปีนเขาลงบนพื้น แล้วนั่งพักผ่อนบนกระเป๋าครู่หนึ่ง เขารู้สึกว่า การเดินทางครั้งนี้ยากเย็นกว่าที่ตัวเองคิดไว้จริงๆ
เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้ใกล้จะตกกลางคืนแล้ว อาหารที่ให้พลังงานสูงในกระเป๋าไม่กี่ชิ้นก็คงไม่พอให้เขาอิ่มท้องแน่ๆ แม้ว่าในการเดินทางครั้งนี้จะพกอาหารมาไม่น้อย แต่อาหารพวกนั้นก็ดันไม่ได้อยู่บนหลังม้าของเยี่ยเทียน เขาจึงได้แต่หยิบเครื่องปรุงต่างๆ อย่างเกลือและน้ำมันมา
ท้องของเยี่ยเทียนส่งเสียงร้องออกมาดัง “จ๊อกๆ” อย่าว่าแต่จะปีนเขาต่อเลย ถ้ายังไม่สามารถแก้ไขปัญหาปากท้องได้ เยี่ยเทียนก็คงได้แต่เดินทางกลับบ้านเท่านั้น
“เอาวะ อย่างมากก็แค่ใช้ชีวิตแบบคนป่าไปสองสามวัน เราก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยผ่านมาก่อนนี่หว่า!”
เยี่ยเทียนมีนิสัยดื้อรั้นอยู่แล้ว ปกติไม่ว่าเรื่องไหน ถ้าเขาตัดสินใจไปแล้ว ก็จะต้องเดินไปจนสุดทาง ตอนที่ช่วยอาจารย์ฝืนลิขิตพลิกชะตาก็เป็นแบบนี้ จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ยอมถอนตัวกลางคันเพราะอุปสรรคที่อยู่ตรงหน้า
เรื่องอาหารนั้นที่จริงก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเยี่ยเทียน หลังจากหยิบของขลังซึ่งเป็นหยกหกชิ้นออกมาจากกระเป๋า เยี่ยเทียนก็แยกย้ายฝังหยกเหล่านั้นไว้ที่ชายป่าทั้งหกทิศ
เพื่อการตามล่าพวก ‘เถ้าแก่เจี่ย’ ในครั้งนี้ เยี่ยเทียนนำสมบัติประจำตระกูลติดตัวมาด้วยทั้งหมดเลย ค่ายกลที่สร้างขึ้นจากของขลังนี้ มีประสิทธิภาพสูงกว่าที่สร้างจากหยกธรรมดาๆ มากนัก
เวลาผ่านไปไม่นาน กวางทุ่งฝูงหนึ่งก็วิ่งออกมาจากในป่า เยี่ยเทียนจับข้อนิ้วร่ายอาคม แล้วค่ายกลที่ตั้งขึ้นจากของขลังทั้งหกชิ้นก็เริ่มทำงานทันที กวางทุ่งตัวหนึ่งพุ่งฝ่าเข้ามาในค่ายกลแล้วร้องโหยหวน จากนั้นร่างของมันก็แข็งทื่อล้มลงไปกับพื้น
เยี่ยเทียนเก็บของขลังเหล่านั้นกลับมา พลางคิดในใจอย่างรู้สึกผิดว่า ‘ถ้าท่านปรมาจารย์รู้ว่าเราใช้ค่ายกลฆ่ากวางละก็ ไม่รู้ท่านจะโกรธจนผุดขึ้นมาจากหลุมเลยไหมเนี่ย?’
แม้ว่าสมัยที่ใช้ชีวิตอยู่ที่เหมาซาน เยี่ยเทียนก็เคยล่าไก่ป่าที่นั่นไปหลายตัว แต่การใช้ค่ายกลล่าสัตว์แบบนี้เขาเพิ่งเคยทำเป็นครั้งแรกจริงๆ เมื่อก้มหน้าลงไปดูกวางทุ่งตัวนั้น มันก็สิ้นใจไปแล้ว
มือขวาถือแก้วกระดาษ มือซ้ายปรากฏมีดเขาวัวเล่มหนึ่งที่ซื้อมาจากภูเขาด้านล่าง เยี่ยเทียนปักมีดลงไปที่ลำคอของมัน แล้วยื่นแก้วกระดาษเข้าไปรองไว้ เลือดกวางอุ่นๆ ไหลรินลงไปในแก้วทันที
“คาวจังเลย”
เขาบีบจมูกแล้วดื่มเลือดกวางจนหมดแก้ว แม้ว่ากลิ่นคาวนั้นจะเหม็นจนเยี่ยเทียนสุดจะทน แต่ขณะเดียวกันกับที่ดื่มเลือดกวางลงท้องไป ความอบอุ่นก็แผ่ขึ้นมาจากท้องน้อย ทำให้ความหนาวเย็นทั่วร่างลดลงไปมากทันที
หลังจากลอกหนังกวางออกมาเป็นชิ้นๆ แล้ว เยี่ยเทียนก็ไปเก็บเศษไม้และหญ้าแห้งมาก่อเป็นกองไฟ แม้ว่าในกระเป๋าของเขาจะไม่มีอาหาร แต่ก็มีเครื่องปรุงต่างๆ อย่างครบครัน ผ่านไปไม่นาน กลิ่นหอมยั่วยวนก็โชยไปทั่วเชิงเขา
“เป็นธรรมชาติที่ไร้มลพิษเจือปนจริงๆ…” หลังจากได้เนื้อกวางเป็นอาหารหนึ่งมื้อ พลังของเยี่ยเทียนจึงฟื้นฟูกลับมาดังเดิม แต่เมื่อเห็นว่าตะวันใกล้จะตกดินแล้ว เขาจึงเลิกคิดที่จะปีนเขาต่อ
เยี่ยเทียนหาตำแหน่งหลบลมแล้วกางเต็นท์ขึ้น จากนั้นก็นั่งกรรมฐานอยู่ในนั้น เพื่อดูดซับพลังชี่แห่งฟ้าดินที่อยู่โดยรอบ
……………………………………
ณ จุดที่อยู่เหนือจากเยี่ยเทียนขึ้นไปใกล้กับยอดเขา เงาร่างของพวกตี๋วั่งยังคงปีนป่ายด้วยความยากลำบาก บนยอดเขาเริ่มมีเกล็ดหิมะปลิวว่อน เสียงหวีดหวิวของลมทำให้คนเกิดความรู้สึกว่าตนนั้นอยู่ภายใต้อำนาจของฟ้าดินไปโดยไม่รู้ตัว
บนยอดเขาลมแรงมาก ตอนนี้พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็จะถูกลมพัดกระโชกใส่อย่างไม่ทันตั้งตัวจนต้องร่นถอยไปห้าหกก้าวแทบทุกครั้ง แม้ว่าคนเหล่านี้จะมีร่างกายที่แข็งแรงกำยำ และทำงานขุดสุสานมาหลายปี แต่เวลานี้ก็รู้สึกว่าจะสู้ไม่ไหวแล้ว
เพื่อไม่ให้ทุกคนเดินกระจัดกระจาย ตี๋วั่งจึงใช้เชือกปีนเขาผูกไว้ที่เอวของทุกคน ถึงแม้คนที่เดินอยู่ข้างหน้าสุดจะเป็นเปียวจึซึ่งร่างกายแข็งแรงที่สุด แต่คราวนี้เขาก็เริ่มเดินโซเซแล้วเหมือนกัน
“อาจารย์ พวกเราจะถ่อกันมาสถานที่เปล่าเปลี่ยวแบบนี้ทำไมครับเนี่ย? ถ้าเดินขึ้นไปอีกมีหวังได้หนาวตายจริงๆ แน่…”
หวังชุ่นกำลังรู้สึกเสียดาย ถ้าให้โอกาสเขาได้ตัดสินใจใหม่อีกครั้ง เมื่อคืนเขาก็คงเตรียมยานอนหลับใส่ลงไปในน้ำชาของตี๋วั่ง แล้วขโมยหนังสือวิเศษเล่มนั้นหนีหายไปแล้ว
“ถ้าไม่อยากไป แกจะลงไปก็ได้นะ!”
ยามนี้ตี๋วั่งก็รู้สึกเป็นทุกข์อย่างที่ไม่อาจพูดออกมาได้อยู่เหมือนกัน เขาเองก็ไม่คิดว่า การทำธุรกิจครั้งนี้ให้สำเร็จจะยากลำบากถึงเพียงนี้ ทั้งชีวิตของเขาเคยเจอสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายมาไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับเวลานี้ ประสบการณ์เหล่านั้นก็ดูเป็นเรื่องกระจอกไปเลย
แต่พิกัดที่ชาวอังกฤษระบุไว้ก็อยู่ห่างไปเป็นระยะทางเพียงหนึ่งวันเท่านั้น และช่องทางหลังจากลงภูเขาจนถึงออกนอกประเทศเขาก็จัดการให้เรียบร้อยแล้ว เมื่อนึกถึงค่าตอบแทนห้าล้านหยวนนั้นแล้ว ตี๋วั่งจึงได้แต่กัดฟันเดินต่อไป
“ได้ยังไงล่ะครับอาจารย์ ท่านบอกให้ไปต่อ พวกเราก็จะไปต่อ!”
หลังจากได้ยินคำพูดไม่พอใจของตี๋วั่งแล้ว ในใจของหวังชุ่นก็รู้สึกเย็นวาบไปถึงไขกระดูก จึงรีบก้มหน้าปีนขึ้นภูเขาต่อไป
เมื่อความมืดเข้ามาเยือน ในที่สุดตี๋วั่งและพรรคพวกก็ข้ามผ่านยอดเขาโป๋เก๋อต๋าที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 5,445 เมตรไปได้ และเริ่มเดินทางลงภูเขาจากด้านข้าง
แต่จะว่าไปแล้ว ก็ถือว่าพวกเขามีแววในการเป็นนักไต่เขาอยู่จริงๆ อย่างน้อยจากประสบการณ์ในครั้งนี้ ก็ทำให้พวกเขาเหนือกว่าพวกที่ได้ชื่อว่าเป็นนักไต่เขาไปหลายคนแล้ว
“พี่วั่ง มีอะไรแปลกๆ อยู่นะ!”
เปียวจึที่เดินอยู่ข้างหน้าสุดพลันหยุดฝีเท้าลง เพราะเขาพบว่า ที่เบื้องหน้าของตัวเองดูเหมือนจะมีสิ่งก่อสร้างสูงใหญ่กลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นราวกับเงาของผีร้าย ทำให้แม้แต่เปียวจึคนใจกล้าก็ยังรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาในใจ
“นั่นป่าน้ำแข็ง พวกเรามาถึงสถานที่ตั้งแคมป์ในวันนี้แล้วละ!”
ตี๋วั่งหยิบไฟฉายแรงสูงออกมาส่องไปข้างหน้า แล้วร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ ถึงอย่างไรเขาก็อายุห้าสิบกว่าปีแล้ว ความอดทนต่อสภาพอากาศอันย่ำแย่นี้จึงเกือบจะถึงขีดจำกัดแล้ว
“ระวังกันหน่อยนะ ธารน้ำแข็งตรงนี้มีรอยแตกร้าวอยู่ ถ้าตกลงไปละก็ไม่มีใครช่วยพวกแกได้หรอก!”
เมื่อไปถึงอีกด้านหนึ่งของภูเขา หิมะก็หยุดตกแล้ว แต่บนท้องฟ้ายังคงไม่มีแสงดาว เสียงร้องอุทานของตี๋วั่งทำให้คนอื่นๆ ที่เริ่มผ่อนคลายลงแล้วกลับเคร่งเครียดขึ้นมาอีกทันที หลังจากคลำหาทางจนเข้าไปในป่าน้ำแข็งแล้ว ทุกคนต่างก็หย่อนก้นนั่งลงบนพื้น
“รีบหยิบของออกมาเร็วเข้า กินข้าวกันเสร็จแล้วจะได้รีบพักผ่อน! เปียวจึ พรุ่งนี้ต้องปลุกตอนตีห้านะ…”
หลังจากพักหายใจไปครู่หนึ่ง ตี๋วั่งก็ออกคำสั่ง แต่ละคนต่างปลดสัมภาระที่แบกไว้บนหลังลงมา พวกเขามีประสบการณ์การใช้ชีวิตกลางป่าเหนือว่าเยี่ยเทียนอย่างเห็นได้ชัด หลังจากผ่านไปสิบกว่านาที ก้อนน้ำแข็งก้อนหนึ่งก็เริ่มต้มอยู่ในหม้อแล้ว
หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นที่ถือว่าหรูหราสำหรับบนภูเขาหิมะแล้ว ทุกคนก็มุดเข้าไปพักผ่อนในเต็นท์ที่กางไว้เรียบร้อยแล้ว จากนั้นไม่นานก็เข้าสู่ความฝันไปกันหมด
ไม่มีใครรู้ว่า ตอนกลางดึกตี๋วั่งลุกขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ และหลังจากเดินวนอยู่นอกเต็นท์ของหวังชุ่นอยู่พักใหญ่ เขาก็มุดกลับเข้าไปในเต็นท์ของตัวเองอีกราวกับภูตผี
“ตื่น ตื่นได้แล้ว…”
ขณะที่ฟ้าเพิ่งจะเริ่มสว่างขึ้น เปียวจึก็ตะโกนโหวกเหวกขึ้นมา โชคดีว่าที่นี่เป็นเขตธารน้ำแข็งซึ่งไม่มีกองหิมะทับถมกันแล้ว ไม่อย่างนั้นเสียงตะโกนดังลั่นของเขาจะต้องทำให้หิมะถล่มแน่นอน
ทิวทัศน์ของธารน้ำแข็งในตอนกลางวันนั้น แตกต่างจากตอนกลางคืนโดยสิ้นเชิง หลังจากที่พวกเขามุดออกมาจากเต็นท์ ก็พากันตกตะลึงกับทัศนียภาพอันแสนอัศจรรย์ที่อยู่ตรงหน้าไปทันที
ตรงหน้าของทุกคนคือธารน้ำแข็งที่ตัดสลับกันไปมา ปกคลุมไปทั่วเนินเขาขาวดุจหิมะ สีครามเข้มราวกับหยก ธารน้ำแข็งมากมายมาบรรจบรวมกันที่จุดเดียว ราวกับมีเจดีย์มากมายผุดขึ้นมาบนพื้นผิวอันราบเรียบ
กลุ่มเจดีย์เชื่อมต่อกันเป็นกลุ่มใหญ่ และทอประกายเย็นเยียบออกมาภายใต้แสงแดดแรกในยามเช้าตรู่ ส่องสะท้อนให้เห็นใบหน้าของตัวเองอย่างชัดเจนราวกับเป็นกระจก
จนกระทั่งเวลานี้ เปียวจึและคนอื่นๆ จึงเพิ่งจะพบว่า บนพื้นดินบริเวณรอบๆ มีสิ่งของถูกทิ้งไว้ไม่น้อยเลย ตั้งแต่ถังออกซิเจนไปจนถึงถุงพลาสติกต่างๆ สารพัดแบบ ท่าทางที่นี่จะเป็นจุดตั้งแคมป์ของนักปีนเขาจริงๆ
“หวังชุ่น ไอ้หมอนี่มันยังไม่ตื่นอีกเหรอวะ? ต้องให้ลูกพี่อย่างฉันมาปลุกแกใช่ไหม?”
เมื่อเห็นหวังชุ่นยังอ้อยสร้อยอยู่ในเต็นท์ไม่ขยับเขยื้อน เปียวจึจึงหยิบกระป๋องเหล็กเปล่าๆ ใบหนึ่งโยนเข้าไป
“ตื่นแล้ว ตื่นแล้ว มึนหัวนิดหน่อยน่ะ” เสียงของหวังชุ่นดังมาจากในเต็นท์
หวังชุ่นลืมตาอย่างสะลึมสะลือ แล้วรู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อย เมื่อคืนตอนกลางดึกเขานอนหลับไม่ค่อยสนิทดี รู้สึกเหมือนมีลมหนาวพัดมาข้างหูตลอดเวลา และยังฝันถึงคนหลายคนที่เขาเคยฆ่าไปกับมือในอดีตอีกด้วย
หลังจากมุดออกมาจากถุงนอน หวังชุ่นก็ส่ายศีรษะแรงๆ แล้วจึงเปิดเต็นท์เดินออกมา
“นี่…นี่อะไรน่ะ?”
ตอนที่หวังชุ่นเพิ่งจะมุดออกมาจากเต็นท์ ทันใดนั้นเขาก็มองเห็น ‘คน’ ใส่เสื้อผ้าเก่าขาดวิ่น กล้ามเนื้อบนใบหน้าเปื่อยเละไปครึ่งหนึ่ง และมีส่วนที่ยังเกาะติดจมูกอยู่เล็กน้อยคนหนึ่งปรากฏกายขึ้น!
“อาจารย์ พี่เปียว อยู่ไหนกันน่ะ?”
เสียงกรีดร้องของหวังชุ่นดังขึ้นมา แต่เสียงของคนอื่นๆ ที่เขาได้ยินอยู่เมื่อครู่นี้กลับเงียบหายไปในฉับพลัน ราวกับว่าโลกนี้เหลือเพียงตัวเองกับตัวประหลาดที่อยู่ตรงหน้า