หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 182
“อาจารย์หลัว เยี่ยเทียนอายุยังน้อย ไม่เคยเจอคนเก่งกาจจากต่างแดน แต่ว่าเขาเองก็มีความสามารถอยู่จริงเช่นกัน ในเมืองปักกิ่งนี้ ผู้คนมากมายต่างรู้จักเขา…”
เยี่ยเทียนเป็นคนที่เกาเฉียนจิ้นพามา อาจารย์หลัวพูดกับเยี่ยเทียนอย่างนั้น เท่ากับว่าไม่ไว้หน้าคุณชายเกา เมื่อเสียงของอาจารย์หลัวเงียบลง เกาเฉียนจิ้นจึงเอ่ยปากรอมชอม
“นั่นสิ คุณหลัว คุณจะไปโต้เถียงกับเด็กคนหนึ่งทำไมกัน? เยี่ยเทียนเพียงรู้สึกสงสัยเรื่องการคิดเงินของเส้นทางธุรกิจนี้ ในต่างประเทศ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย…”
ถังเหวินหย่วนมาปักกิ่งคราวนี้ ความจริงมีเรื่องขอร้องเยี่ยเทียนเช่นกัน จึงไม่อยากให้เขาลำบากใจเกินไป “เยี่ยเทียน อาจารย์หลัวเป็นยอดฝีมือในปัจจุบัน จะเป็นการเสี่ยงทาย นรลักษณ์ศาสตร์ ฮวงจุ้ย ภูมิลักษณ์พยากรณ์ ล้วนเชี่ยวชาญทุกด้าน มาดูดวงชะตากับเขา ก็ต้องราคานี้แหละ!”
ถังเหวินหย่วนยื่นฝ่ามือออกมา พลิกโบกไปมาข้างหน้าเยี่ยเทียน
“ห้าหมื่น?” เยี่ยเทียนเอ่ยถาม ราคานี้ไม่สูงหรือ? ดูท่าตาแก่ลวงโลกคนนี้กลับไม่โลภมากเสียเท่าไหร่
“ฮึ!กบในกะลา……” พอเสียงของเยี่ยเทียนเงียบลง อาจารย์หลัวก็แค่นหัวเราะเสียงเย็นออกมา
“หนึ่งแสน และเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ!”
ถังเหวินหย่วนหัวเราะชมขื่นหนึ่งเสียง ตัวเองอยู่เฉยๆ จะไปหลอกล่อทำไม เป็นแบบนี้ อาจารย์หลัวยิ่งทำให้เยี่ยเทียน ไม่พอใจอีก อีกประเดี๋ยวตัวเขาบอกเรื่องนั้นกับเยี่ยเทียน กลับจะทำให้ยิ่งวุ่นวายขึ้นไปอีกแค่ไหน
“อะไรนะ? หนึ่งแสนดอลลาร์สหรัฐ?”
เยี่ยเทียนถลึงตาเบิกกว้าง ดูท่าพระต่างชาติคนนี้คงจะท่องมนต์เก่ง ตัวเขาเองก่อนหน้านี้กำหนดราคาไว้ ตอนเปิด บริษัท เสี่ยงทายดวงชะตาราคาอยู่ระหว่างห้าพันถึงห้าหมื่นเท่านั้น ตาแก่นี่กลับคิดราคาสูงกว่าเขาถึงสิบกว่าเท่า
“เห็นโลกน้อยก็เลยประหลาดใจ ฉันลอบมองความลับสวรรค์ เดิมถือเป็นการทำผิดกฎสวรรค์ คิดเงินมากหน่อยแล้ว จะเป็นไร?” พอเห็นเยี่ยเทียนตกใจอย่างนั้น อาจารย์หลัวก็แอบรู้สึกพอใจ สมกับเป็นด้วงดินอยู่แต่ในประเทศ ถึงทำเหมือนไม่ เคยเห็นเงินอย่างนั้น
“ทำผิดกฎสวรรค์?”
เมื่อได้ยินอาจารย์หลัวพูดอย่างนั้น เยี่ยเทียนก็มองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ ตาแก่นี่ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีคลื่นพลังชี่ที่ น่าหวาดหวั่นอะไรเลย เยี่ยเทียนจึงไม่รู้ว่าเขาฝ่าฝืนความลับสวรรค์อย่างไร
ควรทราบว่า ไม่ว่าจะเป็นการเสี่ยงทายดวงชะตาหรือฮวงจุ้ย ภูมิลักษณ์พยากรณ์ ล้วนเป็นการใช้วิชาปั่นป่วนความ ลับสวรรค์ แล้วลอบมองความจริงน้อยนิดภายใน อาจารย์หลัวผู้นี้พูดจาอย่างสวยหรู ทว่าความจริงเยี่ยเทียนไม่แน่ใจจริงๆ ว่า ลำพังอาศัยแค่ปากก็สามารถสร้างปาฏิหารย์ปั่นป่วนความลับสวรรค์ได้แล้วหรือ?
เยี่ยเทียนเริ่มศึกษาวิชาตั้งแต่อายุห้าขวบ จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาครบสิบห้าปีแล้ว ระหว่างนั้นยังได้รับสืบทอดวิชา จากอาจารย์ปู่ ล่วงรู้แตกฉานในวิชาพลิกดวงชะตา
สามารถพูดได้ว่าโลกยุคปัจจุบัน ไม่มีใครศึกษาวิชาพยากรณ์ทะลุปรุโปร่งมากไปกว่าเขาอีกแล้ว กระทั่งหลี่ซั่นหยวน ที่อยู่มาเกือบหนึ่งร้อยสามสิบปียังไม่อาจเทียบ มาตอนนี้อาจารย์หลัวผู้นี้พูดถึงวิชาพยากรณ์ จึงทำให้เยี่ยเทียนอดนึกขำไม่ได้
“เสี่ยวเกา คนไม่รู้จักมารยาทอย่างนี้ คราวหลังอย่าพามาอีกล่ะ…”
ได้เห็นรอยยิ้มเย็นบนใบหน้าเยี่ยเทียน หลัวจื้อไม่รู้ว่าเหตุใดจึงข่มอารมณ์โกรธเอาไว้ไม่อยู่ หากว่าตามลำดับอาวุโส ของเขากับเยี่ยเทียนแล้ว นั่นออกจะเป็นการหยามเกียรติกัน
น้องเยี่ย นาย เอ่อ ถ้ายังไง นายไปคุยเป็นเพื่อนท่านผู้เฒ่าก่อนไหม?”
เกาเฉียนจิ้นก็ไม่คิดว่าพอเยี่ยเทียนมาถึงที่นี่แล้ว จะไม่ลงรอยกับอาจารย์หลัว ฝ่ายหนึ่งเป็นท่านอาจารย์ที่ตัวเองใช้ เส้นสายเชิญมาจากต่างประเทศอย่างยากลำบาก อีกฝ่ายคือสหายที่เพิ่งรู้จักกัน เกาเฉียนจิ้นเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
“พี่เกา ไม่เป็นไรหรอก ผมแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับท่านอาจารย์หลัวสักหน่อยเท่านั้น”
เยี่ยเทียนยิ้มตอบ แต่กลับไม่ยอมจากไป ตอนแรกเขากำลังยุ่ง ถูกเกาเฉียนจิ้นเรียกให้มาพบท่านอาจารย์สักคน ไม่นึกว่าจะกลายเป็นพวกสิบแปดมงกุฎ
แต่ละธุรกิจต่างมีกฎเกณฑ์ของตัวเอง ทีแรกเยี่ยเทียนไม่คิดจะเปิดโปงเขา แต่ว่าตาแก่นี่หลอกลวงคนเกินขอบเขต ถึงกับอ้างความเป็นอาวุโสชี้หน้าด่าทอต่อหน้าผู้สืบทอดสำนักเสื้อป่านเทพพยากรณ์ สิ่งนี้ทำให้ “อาจารย์เยี่ย” เองก็ไม่อาจทน ได้
“เจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ฉันกับแกมีอะไรให้แลกเปลี่ยนกันได้หรือ? เสี่ยวเกา วันนี้อารมณ์ไม่ดี เรื่องช่วยแกทำนาย ไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกันเถอะ!”
คำพูดของอาาจารย์หลัวดูหมิ่นเยี่ยเทียน ในสายตาของเขา อายุประมาณเยี่ยเทียน เกรงว่ากระทั่งสัจจคาถาส่วนหนึ่ง ในบทสวดก็คงท่องได้ไม่จบ แต่กลับบังอาจมาท้าทายตัวเอง?
ด้วยภาพลักษณ์อาจารย์ ต้องทำเป็นหงุดหงิดอยู่เสมอและทางที่ดีที่สุดต้องให้คุณชายเกาผู้นั้นกังวล จนรีบจ่ายเงิน
เพิ่มจากความฉุนเฉียวของตน การกระทำแบบนี้จะเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว อาจารย์หลัวใช้เล่ห์กลนี้อย่างง่ายดาย
จนคุ้นชิน
เป็นไปตามคาด เมื่ออาจารย์หลัวพูดออกมาอย่างนั้น เกาเฉียนจิ้นก็ลนลานขึ้นมา กล่าวโทษเยี่ยเทียน “น้องเยี่ย ฉันอุตส่าห์ชวนนายมาพบท่านผู้เฒ่า นายดูสินายทำเรื่องอะไรให้ฉัน?”
ได้ยินเกาเฉียนจิ้นพูดแบบนั้นแล้ว สีหน้ายิ้มแย้มของเยี่ยเทียนก็สลายไปทันใด สายตาจ้องตรงยังเกาเฉียนจิ้น กล่าวว่า “พี่เกา พี่พูดคำพูดเมื่อกี้อีกทีสิ? ผมสร้างปัญหาให้พี่เหรอ?”
“ฉัน…ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เฮ้อ เรื่องนี้จบแค่ตรงนี้ได้ไหม?”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายตาของเยี่ยเทียน เกาเฉียนจิ้นกลับรู้สึกหัวใจเต้นผิดจังหวะ สายตานั้น ช่างคล้ายกับบรรพบุรุษของตัวเองที่ผ่านศึกสงครามมานับไม่ถ้วน ชวนให้ผู้คนไม่กล้าสบตา
“ช่างเถอะ น่าเบื่อ อาจารย์หลัว ขึ้นเขาสุดท้ายย่อมต้องเจอเสือ ผู้เฒ่าอย่างท่านลดราวาศอกลงมาเสียบ้างเถอะ เงินน่ะหาเท่าไหร่ก็ไม่หมด อย่าใจดำให้มากนัก…”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าลุกขึ้นยืน ก้าวตรงจะออกไปยังด้านนอกโดยไม่กล่าวลาผู้คนที่อยู่ภายในห้อง
“ช้าก่อน!”
“เสี่ยวเยี่ย หยุดก่อน!”
เสียงสองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน แบ่งเป็นมาจากปากถังเหวินหย่วนกับอาจารย์หลัวผู้มีสีหน้าโกรธขึ้ง
“เสี่ยวเยี่ย ที่นี่มีอะไรเข้าใจผิดกันหรือเปล่า?” ถังเหวินหย่วนยังคิดจะซื้อของขลังจากเยี่ยเทียนอีกสักชิ้น จึงไม่ยอม ให้เยี่ยเทียนหุนหันจากไป
“เยี่ยเทียนสินะ คำพูดของแกเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไร?”
หลัวจื้อถูกคนในวงการพาตัวจากประเทศจีนไปต่างประเทศตั้งแต่แปดขวบ พออายุสิบห้าก็ยืนหยัดได้โดยลำพัง
ทำนายดวงชะตาให้ผู้คนมาสี่สิบกว่าปีไม่มีพลาดวันนี้ชื่อเสียงแข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้าถูกเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมผู้หนึ่ง คลางแคลงใจอาจารย์หลัวรู้สึกว่าความภาคภูมิใจของตนถูกทำลายลงอย่างรุนแรง
เยี่ยเทียนหันกลับมา ยิ้มตาหยีมองยังหลัวจื้อ พูดว่า “อาจารย์หลัว ขอถามท่านเปียเฮ่าเอ๋อร์ (ชื่ออะไร) ของท่านคือ
อะไร?!!!”
ขณะที่พูดถึงเปียเฮ่าเอ๋อร์ เยี่ยเทียนเพิ่มน้ำเสียงให้ยิ่งใหญ่ดุดัน คำว่า “คืออะไร” สามคำนี้ ดังกึกก้องราวอัสนีบาต อยู่ข้างหูอาจารย์หลัว
พุทธศาสนามีสิงห์คำราม ศาสนาเต๋ามี มันตราเก้าอักษรว่า “ผู้เผชิญสงคราม เดินทัพตามลำดับ” เมื่อครู่เสียงที่เยี่ย เทียนตวาด ใช้มันตราอักษร “ทัพ” เพื่อสะกดจิตหลัวจื้ออย่างฉับพลัน
“พูดมา เปียเฮ่าเอ๋อร์คืออะไร?!” เยี่ยเทียนตวาดขึ้นอีกครั้ง
“หลัวจื้อปิ่ง!” อาจารย์หลัวตอบกลับอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ เขาไม่สามารถควบคุมปากตัวเองได้อีกต่อไป
“ว่อปิ่ง (รังกิ่งก้าน) อยู่ที่ไหน?!” เยี่ยเทียนไต่สวน
“เล่อซานเสฉวน!”
“พ่อของอาจารย์คือใคร?”
“ปีแรกฉินไป่ฉวนกลางฉวน ปัจจุบันอยู่เหนือน้ำสายลม……”
ระหว่างที่ถามตอบ ดวงตาของอาจารย์หลัวเผยให้เห็นถึงความหวาดหวั่น แต่ว่าคำพูดของเยี่ยเทียนราวกับมีมนต์ สะกด ทำให้เขาต้องพูดต่อไปแม้ใจจะไม่ยินยอม
“คันจ่าย (สืบปี)?” เยี่ยเทียนยังคงสอบสวนต่อ
“เจ๋อจวี๋หลิว (กฎขอบเขตรินไหล)” สีหน้าของหลัวจื้อทรมาน ราวกับกำลังต้านทานความเจ็บปวดใหญ่หลวง
“พีตั่งโฝ่ว(แยกพรรคหรือไม่)?!”
“พรวด!”
ขณะที่เยี่ยเทียนถามประโยคสุดท้ายออกมานั่นเอง อาจารย์หลัวพลันกัดลิ้นตัวเอง เลือดสดๆ พวยพุ่งออกมา หมด สิ้นเรี่ยวแรงทิ้งเนื้อตัวอยู่บนโซฟา
แต่เพราะอย่างนี้ เขาถึงรอดพ้นจากความหวาดหวั่นในมันตราของเยี่ยเทียน ใบหน้าซีดขาวจดจ้องเยี่ยเทียนราวกับ เห็นผี รหัสลับประจำสำนักที่ซุกซ่อนในใจมาหลายสิบปี กลับถูกเยี่ยเทียนเปิดเผยในคำเดียว
ที่เยี่ยเทียนถามถึง “เปียเฮ่าเอ๋อร์” ครั้งแรก คือถามชื่อจริงของปรมาจารย์หลัวว่าคืออะไร “ว่อปิ่ง” นั้นคือถามว่าเขาเป็น คนที่ไหน
ส่วน “พ่อปรมาจารย์” เยี่ยเทียนถามว่าผู้นำของเขาคือใครคำตอบของหลัวจื้อคือช่วงปีแรก
อยู่สำนักของฉินไป่ชวนในมณฑลเสฉวน จากนั้นก็ไม่มีสำนัก ร่อนเร่ก่อคดีตามลำพัง
“คันจ่าย” ช่วงท้าย ถามว่าหลัวจื้อกระทำการเช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว หลัวจื้อตอบว่าสี่สิบเอ็ดปี ตัวอักษร “เจ๋อ” หมายถึงเลขสี่ “จวี๋” และ “หลิว” แบ่งความหมายเป็นสิบและเอ็ด ทั้งหมดนี้คือรหัสลับที่ใช้เฉพาะในสำนักของหลัวจื้อ
สุดท้ายที่เยี่ยเทียนถามถึง “พีตั่งโฝ่ว” นั้นถามปรมาจารย์หลัวว่าเคยฆ่าคนหรือไม่ แต่เห็นได้ชัดว่าหลัวจื้อต่อต้าน คำถามนี้อย่างหนัก ยอมกัดลิ้นขาด แต่ไม่ยอมตอบคำถามเยี่ยเทียน
“ออกจากประเทศไม่กี่ปี ก็ลืมรากเหง้าว่าอยู่ที่ไหนแล้วหรือ?”
เยี่ยเทียนยังคงยิ้มหยัน จากบทสนทนาก่อนหน้า ทำให้เขารู้สถานภาพที่มาของคนคนนี้แต่แรก เขาไม่ใช่หมอดูฮวงจุ้ย อะไรหรอก แต่เป็นเศษเดนของสำนักเจียงเซียงในประเทศจีนที่ถูกกดดันและกวาดล้างจนเกือบสิ้นซากในอดีต
“สำนักเจียงเซียง” ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์มาเกือบสามร้อยปี ก่อกำเนิดในยุคสมัยจักรพรรดิ์คังซี จักรพรรดิเฉียน หลงแห่งราชวงศ์ชิง รุ่งเรืองช่วงปลายยุคราชวงศ์ชิงและสาธารณรัฐประชาชนจีน จากนั้นหลังสงครามปลดแอกก็ค่อยๆ ถูก กวาดล้างจนสิ้นเป็นสำนักในยุทธภพที่อาศัยป้ายทำนายดวงชะตา หลอกหลวงเงินทองจากผู้คน
องค์กรนี้เริ่มแรกคือฟางเจ้าอวี๋หนึ่งในห้าบรรพบุรุษสมาคมหงเหมินก่อตั้งขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อ “ล้มชิงฟื้นหมิง” ถือว่าเป็นสาขาหนึ่งของพรรคฟ้าดินในยุคนั้น และเป็นสำนักหนึ่งของสมาคมหงเหมิน
แต่ตามประวัติศาสตร์ พอถึงยุคปลายราชวงศ์ชิงและยุคสาธารณรัฐประชาชนจีนแล้ว กลุ่มนี้ก็ค่อย ๆ สูญเสียจุดยืน จุดประสงค์ที่ดำรงอยู่เพื่อ “ล้มชิงฟื้นหมิง” ก็กลับกลายเป็นหลอกลวงผู้คนไปโดยสมบูรณ์
หลังจากก่อตั้งสาธารณรัฐจีนในปี 1950 ขณะที่รัฐบาลมีการรณรงค์ปราบปราม “พวกฮุยเต้าหเมิน (พวกศาสนาที่มอมเมาประชาชน)” ต่างๆ ทำให้ลูก ศิษย์ของสำนักเจียงเซียงนับพันนับหมื่นถูกกำจัดไปจนหมด แต่เนื่องจากสาวกนั้นกระจัดกระ จายอยู่ทั่วประเทศ จึงมีที่หนีไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองจำนวนไม่น้อย โดยอาศัยการสนับสนุนจากสำนักหงเหมินเมื่อในอดีตจึง สามารถดำรงอยู่ต่อไป
ตอนนี้เยี่ยเทียนสามารถตัดสินได้ว่า อาจารย์หลัวที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ คือหนึ่งในสมาชิกเจียงเซียง ที่หนีออกไปต่างประ เทศเมื่อตอนนั้น แต่ดูจากวัยของเขาแล้ว ตอนหนีไปน่าจะมีอายุราวเจ็ดแปดขวบ มีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นลูกหลานรุ่นหลัง ของอาจารย์สักคน
หลังจากถูกเยี่ยเทียนสะกดจิต สอบสวนอย่างดุเดือดรุนแรง หลัวจื้อก็ไม่กล้ายกตนข่มท่านอีกต่อไป อดกลั้นความเจ็บ ปวดที่ลิ้นในปาก ลุกขึ้นยืนถามเยี่ยเทียนอย่างพินอบพิเทา “น้อง…น้องเยี่ยที่แท้เป็นผู้อยู่ใน “ความมืด” เช่นเดียวกันหรือ?”
“น้องเยี่ย? แกคู่ควรเรียกฉันว่าน้องด้วยเรอะ?!”
เยี่ยเทียนที่เก็บงำถ่อมตน ตอนนี้กลับเปิดเผยความสามารถที่แท้จริง ไม่ไว้หน้าแก่หลัวจื้อเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่รู้ว่า เขาคือหนึ่งในสำนักเจียงเซียง ไฟโทสะของเยี่ยเทียนก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนถึงขีดสูงสุด