หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 163
“อะแฮ่ม…”
เห็นสายตาโกรธเคืองของภรรยา เถ้าแก่เหลยก็กระแอมออกมาสองสามครั้ง พูดด้วยสีหน้าอึดอัดวางตัวไม่ถูกว่า “ความรัก มอบความรักให้เด็กๆ บนภูเขาไงล่ะ”
“ครั้งนี้ละเว้นให้คุณ” หากไม่ใช่เพราะช่วงนี้สามีทำตัวดี เกรงว่าท่าทีชื่นชมนักแสดงหญิงคนนั้นของเถ้าแก่เหลย คงทำให้หญิงสาวอย่างหลงเสวี่ยเหลียนคนนี้ก็เกิดหึงหวงขึ้นมาอีก
“ห้าพันหยวนครับ คุณเหลยเริ่มประมูลที่ห้าพัน มีใครต้องการประมูลเพิ่มหรือไม่ เงินทุกหยวน จะส่งมอบให้กับเด็กยากไร้บนภูเขา”
“แปดพันหยวน”
“ฉันให้หนึ่งหมื่น”
“หนึ่งหมื่นห้าพันหยวน”
พิธีกรที่อยู่ตรงกลางเวทีใช้พละกำลังที่มีปลุกเร้าบรรยากาศ เป็นไปตามคาด ขณะที่เขากำลังพูดก็มีเสียงแทรกเข้ามา แล้วราคาของต่างหูมรกตคู่นั้นก็ค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าตัว
“หนึ่งหมื่นห้าพันหยวน ท่านประธานซุ่นแห่งอุตสาหกรรมการค้าXXเสนอราคาที่หนึ่งหมื่นห้าพันหยวน มีใครต้องการประมูลอีกไหมครับ เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นต่างหูมรกตคู่นี้เป็นของท่านแล้ว ขอบคุณท่านที่ให้การสนับสนุนโครงการแห่งความหวังครับ!”
พอการประมูลผ่านไป สุดท้ายต่างหูราคาหนึ่งหมื่นห้าพันหยวนก็ตกอยู่ในมือของนักธุรกิจท่านหนึ่ง ส่วนเขาจะทำไปเพื่อเอาชนะรอยยิ้มจากสาวงามหรือเพื่อเชิดชูเมตตาธรรมจริงๆ นั้น มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้
หลังจากการประมูลครั้งที่หนึ่งจบลง ภรรยาของเหลยอู้ก็ชูกำไลหยกขาวเจียระไนที่ข้อมือของเธอขึ้นมา กล่าวว่า “คุณอยากแสดงความเมตตากรุณาไม่ใช่หรือ? เอากำไลนี้ไปประมูลสิ”
“ก็ได้ พวกเรายังประมูลกันไม่พอสินะ?” เห็นแรงหึงหวงของภรรยาที่ลุกโชนแล้ว เถ้าแก่เหลยก็ฝืนยิ้มพลางส่งมอบกำไลข้อมือนั้นไปยังเวที
“คุณนายหลง ขอบริจาคกำไลหยกขาวเจียระไนหนึ่งวงครับ ราคาต่ำสุดอยู่ที่หนึ่งหยวน สหายทุกคนเชิญเริ่มประมูลได้”
“สามพันหยวน”
“ห้าพัน”
“หนึ่งหมื่น”
คนภายในงานล้วนรู้จักเหลยอู้ และรู้ว่าเขาเป็นพวกชอบเก็บสะสมของโบราณ อีกทั้งกำไลหยกขาวเจียระไนที่อยู่ภายใต้แสงไฟนั้น เผยให้เห็นรังสีสะท้อนชุ่มฉ่ำรอบทิศทาง จนผู้คนสัมผัสได้ว่าไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป ราคาของมันจึงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หลงเสวี่ยเหลียนผลักสามี พูดว่า “คนอื่นขายของ เธอเสนอราคาประมูล ทีฉันขายบ้างเธอกลับไม่สนใจหรือ?”
“ตกลง ผมจะประมูล!”
แม้เป็นของที่ตัวเองเสนอขึ้นไป แต่ก็ไม่มีกฎว่าห้ามประมูลกลับมาเสียหน่อย? เถ้าแก่เหลยถูกภรรยาบีบจนไม่มีทางเลือก ยกมือขึ้นตะโกนว่า “สามหมื่น!”
“เหล่าเหลย ผมเสนอราคาให้คุณเอง สี่หมื่นหยวน!” เว่ยหงจวินนั่งอยู่ที่เก้าอี้หัวเราะขึ้นมา ตะโกนเสนอราคาประมูลสี่หมื่น
การประมูลการกุศลประเภทนี้ ที่ผู้คนสนใจก็คือของที่ตนเองเอาออกมาจะมีคนเสนอราคาหรือไม่ จะขายออกได้ในราคาสูงหรือเปล่า จึงเต็มไปด้วยความครึกครื้นต่างจากการประมูลตามกฎเกณฑ์ทั่วไป และการกระทำของเว่ยหงจวินก็ได้รับสายตาซาบซึ้งใจจากเหลยอู้
หลังจากคาดไม่ถึงว่าเยี่ยหงจวินจะตะโกนราคานั้นออกไป คุณนายหลงก็ผลักเหลยอู้ซ้ำๆ พูดว่า “ที่รัก ฉัน…ฉัน ชอบกำไลวงนั้นมากนะ…”
“นี่… นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“ตกลง ห้าหมื่นแปดพันหยวน!”
เหลยอู้ได้ยินแล้วงงเป็นไก่ตาแตก หรือว่าต้องการให้เขาประมูลกลับมาจริงๆ เห็นสายตาเฝ้าปรารถนาของภรรยาแล้ว เหลยอู้ก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ประมูลก็ประมูล อย่างไรเสียก็ทำไปเพื่อการกุศล จึงไม่กลัวคนหัวเราะเยาะเอา
หลังจากเสนอราคาออกไป กำไลวงนี้ก็ถูกเหลยอู้ประมูลกลับมาได้ในราคาห้าหมื่นแปดพันหยวน จึงนับว่าซื้อร้อยยิ้มภรรยาด้วยเงินจำนวนมหาศาล
ขณะการประมูลเพื่อการกุศลดำเนินไป คนที่นั่งอยู่แทบทุกโต๊ะ ล้วนต้องชูสินค้าบางอย่างออกมา ถึงแม้ท้ายที่สุดการประมูลมีราคาต่ำและสูง แต่ก็ไม่มีของที่ถูกปล่อยผ่านแม้แต่ชิ้นเดียว ก็ใครบ้างล่ะจะไม่มีคนคอยหวังประจบประแจงอยู่ข้างกาย?
เพียงแต่การประมูลการกุศลลักษณะนี้ สินค้าที่ทุกคนนำออกมาไม่มีมูลค่าสูงเป็นพิเศษอย่างแท้จริง การประมูลราคาสินค้าสูงที่สุดบนเวที ก็คือเตาเผากระเบื้องเคลือบจากยุคกลางราชวงศ์ชิงชิ้นหนึ่ง ตกมาอยู่ในมือของเว่ยหงจวินที่นั่งอยู่ข้างกายเยี่ยเทียนในราคาสามแสนแปดหมื่นหยวน
“เยี่ยเทียน เตาเผากระเบื้องเคลือบนี่เป็นยังไง? ตระกูลเธอศึกษาประวัติศาสตร์ ช่วยลุงเว่ยดูหน่อยได้ไหม?” ยังคงอยู่ในการประมูล แต่ว่าทุกคนไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเหมือนเมื่อตอนเริ่มงานแล้ว เว่ยหงจวินเองก็ก้มหน้ากระซิบกับเยี่ยเทียนเบาๆ
“อย่าเลยครับลุงเว่ย ตระกูลผมไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์แม้แต่น้อย คุณพ่อสะสมของวัตถุโบราณแต่ก็มาเริ่มเอาเมื่อตอนสาย ของชิ้นนี้ผมดูไม่ออกหรอกครับ…”
หลังจากได้ยินคำพูดของเว่ยหงจวิน เยี่ยเทียนก็โบกไม้โบกมือ หากว่าเป็นงานจิตรกรรมร่วมสมัยชั้นปรมาจารย์ เขายังสามารถวิเคราะห์ความสุนทรีย์ได้บ้าง แต่เกี่ยวกับเครื่องปั้นดินเผา เยี่ยเทียนไม่รู้อะไรเลยจริงๆ
“เหล่าเว่ย เขาเพิ่งอายุเท่าไหร่เอง จะไปเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร? พวกวัยรุ่นมาที่นี่เพื่อเปิดหูเปิดตาก็พอแล้ว หากพูดออกไปมั่วซั่วจะขายหน้าคนเอา…”
ฉีอี้ที่นั่งอยู่ข้างกับเว่ยหงจวิน ส่งเสียงหึอย่างไม่พอใจออกมาจากปาก เพราะว่าเหลยอู้อยู่ที่โต๊ะนี้ เขาจึงหาโอกาสระบายอารมณ์ออกมาไม่ได้ ตอนนี้กลับใช้คำพูดของเยี่ยเทียนกระแนะกระแหนขึ้นมา
“หืม? หัวหน้าฉี คุณพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?”
ได้ยินคำพูดของฉีอี้แล้ว เว่ยหงจวินก็ชะงัก เขาฟังออกว่าคำพูดนั้นจงใจกระตุ้นให้เยี่ยเทียนโมโห แต่เขากลับไม่เข้าใจว่าเยี่ยเทียนไปทำให้เจ้าอ้วนฉีที่มักทำเป็นปากปราศรัยน้ำใจเชือดคออยู่เสมอไม่พอใจได้อย่างไร?
ที่เว่ยหงจวินไม่รู้ก็คือ หากไม่ใช่คำพูดของเขาเหล่านั้นที่แสดงว่าสนิทสนมกับเยี่ยเทียน ฉีอี้ก็คงไม่กล้ามายุแหย่เยี่ยเทียน ต้นเหตุที่แท้จริงก็คือเขานั่นเอง
“แฮะๆ ประธานเว่ย ไม่มีอะไรหรอกครับ วันนี้เป็นงานประมูลการกุศล แต่ดูเหมือนบนโต๊ะนี้มีเพียงเสี่ยวเยี่ยที่ไม่ได้นำของออกมาเลยสินะ?”
หัวหน้าฉีโบกใบพัดในมือเล่น ซึ่งก็คือของที่ท่านรองผู้อำนวยการของพวกเขานำออกมาประมูล ถูกเขาประมูลได้ในราคาหกพันหยวน ได้แสดงว่ามีหน้ามีตา แถมยังได้ประจบสอพลอประมูลสิ่งของของท่านรองประธาน
แม้ใบหน้าที่อ้วนพีของฉีอี้จะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ทุกคำที่พูดออกมา กลับพุ่งเป้าไปที่เยี่ยเทียนทุกประโยค เหลยอู้รู้สึกฟังไม่เข้าท่า จึงส่งสายตาเหลือบมองไปที่เจ้าอ้วนฉีอี้
ว่ากันตามเหตุผลฉีอี้เองก็อายุก็ประมาณสี่สิบกว่าปีแล้ว ไม่ควรหาเรื่องทะเลาะกับเด็กหนุ่มอย่างเยี่ยเทียนต่อหน้าผู้คนเยอะแยะ จะแพ้หรือชนะก็เห็นว่าขาดวุฒิภาวะได้อย่างชัดเจน
แต่ว่าหัวหน้าฉีก็ไม่สามารถอดกลั้นเก็บความโกรธนี้ไว้ รอพรุ่งนี้ค่อยไปกลั่นแกล้งชิงหย่าไม่ไหว เขาจึงต้องการทำให้เยี่ยเทียนขายขี้หน้าเสียตอนนี้
” ของประมูลของ…น้องเยี่ย ผมเอาออกมาแล้ว” เหลยอู้ชายตามองฉีอี้ เกือบหลุดเรียกว่าอาจารย์เยี่ย
”หึๆ การประมูลการกุศลหรอ ไม่มีของก็ไม่เป็นไร หยิบเอาไม้จิ้มฟันบนโต๊ะขึ้นไปประมูลก็ได้ เชื่อว่าต้องมีคนเสนอราคาแน่ ใช่ไหม เสี่ยวเยี่ย?“
หากเปลี่ยนเป็นเกาเฉียนจิ้นอยู่ที่นี่ ฉีอี้คงเก็บอาการมากกว่านี้ แต่กับเหลยอู้ หัวหน้าฉีกลับไม่ค่อยไว้หน้าเท่าไหร่ ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ทั้งสองคนนั้นไม่เคยมีความสัมพันธ์ต่อกัน
“ไอ้อ้วนไม่รู้จักตาย!”
เยี่ยเทียนบ่นพึมพำ เสียงไม่ค่อยดังเท่าไหร่ แต่มากพอให้คนบนโต๊ะได้ยิน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของฉี่อี้ พลันเกร็งแข็งขึ้นมาทันที เขาไม่คิดว่าเยี่ยเทียนจะพูดจาก้าวร้าวออกมาตรงๆ
ตามความเข้าใจของหัวหน้าฉี วันนี้ต่อให้เขาพยายามกระแนะกระแหนเยี่ยเทียนแค่ไหน เยี่ยเทียนก็คงไม่กล้าโมโห ยิ่งโดยเฉพาะในสถานการณ์แบบนี้ การใส่อารมณ์หรือด่าทอผู้อื่นคือการแสดงปฏิกิริยาอันไม่ได้รับการอบรม
แต่ว่าหัวหน้าฉีไม่รู้ ว่าตั้งแต่เป็นเด็กเป็นเล็กเยี่ยเทียนก็ไม่ได้เป็นเด็กดีขนาดนั้น อีกอย่าง “ปรมาจารย์เยี่ย” ก็ไม่ชอบวลีที่ว่า “การแก้แค้นของบุรุษ แม้สิบปีก็ยังไม่สาย” เขาเชื่อว่าหากคุณต่อยเขาหนึ่งหมัด ก็จะจัดกลับไปทันที
“แก…แก พ่อแม่ไม่สั่งสอน!” ฉีอี้ถูกคำพูดของเยี่ยเทียนดูหมิ่นจนหน้าแดงก่ำ ทนไม่ไหวสวนกลับไปหนึ่งคำ แต่กลับลดเสียงต่ำมาก จนคนบนโต๊ะที่นั่งข้างๆ ยังไม่มีใครได้ยิน
หลังจากได้ยินคำพูดของฉีอี้ เยี่ยเทียนกระพริบตา ตลอดมามีแต่ผู้เชี่ยวชาญฮวงจุ้ยที่ยั่วโมโหคนอื่น วันนี้กลับถูกคนหาเรื่องถึงที่ เยี่ยเทียนจึงอดขุ่นเคืองขึ้นมาจริงๆ ไม่ได้
“มองอะไร เสี่ยวอวี๋ พรุ่งนี้ตอนเช้ามาหาฉัน จะคุยเรื่องช่วงเวลาในการฝึกงาน แล้วก็… ครั้งหน้าอย่าพาคนแบบนี้มาร่วมงานอีก”
ฉีอี้ยั่วยุเยี่ยเทียน ก็เพื่ออยากให้เขาโมโหจนขาดสติ แต่ว่าหลังจากได้สบตากับเยี่ยเทียน ทันใดก็เกิดความหนาวเหน็บในใจจนไม่สามารถอธิบายได้ คำพูดต่อจากนั้นก็ไม่สามารถเอ่ยออกมา
เห็นสีหน้าที่เคร่งเครียดของเยี่ยเทียน เว่ยหงจวินสัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นภายในใจ จึงรีบพูดออกไปว่า “เยี่ยเทียน อย่า อย่าโมโห ลุงเว่ยจะเอาของให้เธอนำไปประมูลเอง”
เว่ยหงจวินก็ตระหนักได้แล้วว่า ที่เจ้าอ้วนฉีกับเยี่ยเทียนเข้ากันไม่ได้ ดูเหมือนคำพูดของตัวเองเมื่อครู่จะมีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่อย่างนั้นคนอย่างเจ้าอ้วนฉีที่มีนิสัยรอบคอบ คงไม่พูดคำพูดเหล่านี้ออกมาทั้งที่ไม่รู้จักเรื่องราวของเยี่ยเทียนโดยละเอียด?
”ลุงเว่ย เพียงแค่หมาบ้าตัวหนึ่งเห่าหอน ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอกครับ…“
เยี่ยเทียนหัวเราะขึ้นมาทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความขุ่นเครียด โบกมือไปมาพูดว่า ”ชิงหย่า เอาของชิ้นนี้ไปประมูลให้คนที่ชอบดูถูกคนอื่นมันเห็นสิ“
ขณะที่พูด เยี่ยเทียนเอาชิ้นหยกออกมาจากเอว ตัวหยกทั้งชิ้นเป็นสีขาว แกะสลักรูปหัวมังกร ส่วนหัวมังกรกลับเป็นสีเหลือง เห็นได้ชัดว่าช่างฝีมืออาศัยใช้คุณสมบัติของหยกหินสองสีที่ต่างกันมาแกะสลัก
“เสแสร้งตลบแตลง!”
ฉีอี้ส่งเสียงเยือกเย็นแสดงความไม่พอใจออกมา ทว่าภายในใจนั้นเดือดดาลอย่างรุนแรง เพราะเห็นได้ชัดว่าหมาบ้ากับไอ้อ้วนที่เมื่อกี้เยี่ยเทียนเอ่ยถึง ทั้งหมดล้วนกล่าวถึงเขา เพียงแค่เยี่ยเทียนไม่ได้พูดถึงชื่อแซ่ หัวหน้าฉีจึงทำได้แค่กัดฟันกรอดๆ
“เยี่ยเทียน ของ…ของชิ้นนี้เธอก็จะประมูลหรือ?” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนกำลังแกะหยก แววตาของเว่ยหงจวินก็เป็นประกายแวววาบขึ้นมา
“ลุงเว่ย ทำบุญทำกุศลมากหน่อยก็ไม่เลวนักหรอก” เยี่ยเทียนเหลือบมองฉีอี้ พูดว่า “ทำเรื่องเลวมาเยอะแล้ว ระวังกรรมจะตามสนอง…”
คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้หัวหน้าฉีหน้าเขียว แต่กลับไม่มีคำพูดโต้แย้ง เขาเองก็ดูออกว่า หากมีปากเสียงกับเยี่ยเทียนตอนนี้ คนที่เสียเปรียบก็จะเป็นตัวเองอย่างแน่นอน
อีกทั้งพอเห็นท่าทางที่เว่ยหงจวินและเหลยอู้มีต่อเยี่ยเทียน หัวหน้าฉีก็เข้าใจ ว่าวันนี้คงไม่สามารถทำให้เยี่ยเทียนขายหน้าได้ เพราะต่อให้หยกชิ้นนี้ของเยี่ยเทียนจะไร้มูลค่า ทั้งสองคนนั้นก็จะพร้อมจะยื่นมือเข้ามาช่วยเสนอราคา
อวี๋ชิงหย่าส่งหยกชิ้นนั้นขึ้นไป ให้พอดีว่ามีของก่อนหน้าถูกประมูลออกไป พิธีกรจึงตะโกนขึ้นมา “สินค้าที่กำลังจะประมูลต่อไปนี้ คือของคุณเยี่ย เยี่ยเทียนนำออกมา พวกเราต้องขอขอบคุณคุณเยี่ยเทียนที่ให้การสนับสนุนการประมูลเพื่อการกุศลของเรานะครับ เริ่มการประมูลหยกชิ้นนี้กันเลย เริ่มต้นที่ราคาหนึ่งหยวนเช่นเดิม!”
“คนนี้คือใครกัน ทำไมมีแต่ผมขาว?”
”ดูจากหน้าตาแล้วยังดูวัยรุ่นอยู่เลย อาจเป็นผมหงอกในวัยหนุ่มหรือเปล่า?“
เมื่อได้ยินพิธีกรประกาศชื่อของตัวเองออกมา เยี่ยเทียนยืนขึ้นแล้วค่อยๆ หันไปรอบด้าน อายุของเขากับผมขาวที่หงอกเต็มหัว ทำให้คนโดยรอบส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์
………………