หนุ่มเศรษฐีลึกลับ - ตอนที่ 398 ความลับที่ไม่สามารถเปิดเผยได้
บทที่ 398 ความลับที่ไม่สามารถเปิดเผยได้
เป็นเสียงของหวังเสว่
ก่อนหน้านี้ที่ออกนอกสถานที่ เพราะซุนยีเฉินใช้งูหลามปลอมแกล้งหวังเสว่ ตั้งแต่นั้นมาเธอจึงโกรธเขาและไม่ยอมคุยกับเขาอีก
แต่ซุนยีเฉินเป็นคนด้านได้อายอด หลังจากกลับมาเขาตามตื๊อหวังเสว่ไม่ปล่อย จนในที่สุดเธอทนไม่ไหวและตัดสินใจให้โอกาสเขาไป
ถึงอย่างไรแล้วเป็นคำสั่งของพ่อแม่ หวังเสว่กับซุนยีเฉินถือว่าเป็นคู่มั่นกันแล้ว และในอนาคตเธอก็ต้องแต่งงานกับซุนยีเฉินอยู่ดี
ในคืนนี้ ซุนยีเฉินนัดหวังเสว่มาเดินถนนคนเดิน หวังเสว่จัดการเรื่องคดีเสร็จก็เข้ามาตามนัด แต่ทันทีที่มาถึงเธอก็เห็นภาพที่ปรากฏบนหน้าจอ อีกทั้งยังเห็นซุนยีเฉินกับไป๋เหวินปางกำลังจะหลบหนีไปอย่างลับๆ ล่อด้วย เธอจึงอดไม่ได้ที่จะตะโกนเรียกซุนยีเฉินหยุด
เมื่อซุนยีเฉินได้ยินเสียงของหวังเสว่ก็หยุดลงและหันกลับไปยิ้มพูดกับเธอ “เสว่เอ๋อ คุณมาแล้วเหรอ?”
หวังเสว่แสดงสีหน้าเคร่งขรึมแล้วถามเขาอย่างเย็นชา “บนหน้าจอนั่นมันหมายถึงอะไร?”
กล่าวกันว่าคบคนพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล ซุนยีเฉินกับเซี่ยงหยู่โม่มีความสัมพันธ์ที่ดีมาโดยตลอด ถ้าเซี่ยงหยู่โม่สามารถทำสิ่งนี้ได้ แล้วซุนยีเฉินก็คงไม่ต่างอะไรกันแล้วล่ะ
เมื่อเห็นสีหน้าของหวังเสว่ ซุนยีเฉินก็รู้สึกผิดทันที เพราะเขาผ่านผู้หญิงมากมายนับไม่ถ้วน แต่มันเป็นเรื่องที่ทำลับหลังหวังเสว่ก่อนที่เขาจะมาที่ในเมืองปินเหอนี้
แน่นอนว่าเรื่องแย่ๆ ในอดีตซุนยีเฉินไม่มีทางยอมรับมันอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงตอบหวังเสว่อย่างมั่นใจว่า “ผมจะรู้ได้ไงล่ะ เป็นเรื่องชั่วๆ ที่เซี่ยงหยู่โม่ทำเองทั้งนั้น ถ้าผมรู้ว่าเขาเป็นคนแบบนี้ ผมเลิกคบไปตั้งนานแล้ว”
เป็นคำพูดที่ฟังดูน่าเชื่อถือมาก ทำให้คนฟังแล้วยากที่จะตั้งคำถามต่อ
หวังเสว่จึงได้แต่พยักหน้าและรู้สึกพึงพอใจกับซุนยีเฉินมากขึ้นอีกครั้ง
แม้ว่าปกติแล้วผู้ชายคนนี้จะเป็นคนขี้กลัว รักศักดิ์ศรี แต่เขาไม่ได้เป็นคนเลวอย่างที่คิด อย่างน้อยเขาไม่ได้มีนิสัยชู้สาว
หลังจากนั้นทั้งสองจึงไม่ได้คุยเรื่องนี้ต่อ หวังเสว่เห็นเย่สวนยืนอยู่ตรงหน้า เธอจึงเดินเข้าไปทักทายเย่สวนด้วยรอยยิ้ม
เธอทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีกันอยู่แล้ว เมื่อเห็นหน้ากันก็เริ่มกล่าวทักทายอย่างสนิทสนม แม้โอหยางรั่วสุ่ยจะเพิ่มมาอีกคน แต่ไม่ใช่ปัญหาของพวกเธอเลย เพราะในไม่ช้าทั้งสามก็รู้จักกันแล้ว
ท้ายที่สุดแล้วทั้งสามก็ตัดสินใจไปเดินถนนคนเดินต่อ
ดวงตาของซุนยีเฉินเปล่งประกาย คืนนี้เขานัดหวังเสว่มาก็เพื่อจะวางแผนที่จะได้ตัวเธอ
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้แล้วซุนยีเฉินก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย จากนั้นเขาหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วส่งข้อความหนึ่งออกไป
ในเวลาต่อมา เย่สวนกับสาวๆ ทั้งสองก็เริ่มสนุกกับการช้อปปิ้งที่ถนนคนเดินอีกครั้ง
ลู่เสี้ยงหยางกับซุนยีเฉินจึงกลายเป็นคนถือของโดยปริยาย
สิบนาทีหลังจากนั้น ในหน้าร้านเครื่องดื่มร้านหนึ่ง มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังมุมดูอะไรบางอย่างที่ดูน่าสนใจอยู่
ซุนยีเฉินรีบเบียดตัวเข้าไปในคนกลุ่มนั้นแล้วหันกลับมาพูดกับหวังเสว่ “เสว่เอ๋อ รีบมาดูสิ ที่นี่มีหมอดูนะ ช่วงนี้การงานของคุณไม่ค่อยประสบความสำเร็จไม่ใช่เหรอ? คุณลองมาดูดวงสิ”
หวังเสว่ส่ายหัวตอบ “จะดูทำไม? ฉันไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์หรอก”
เมื่อพูดจบเธอก็เดินซื้อของต่อ
แต่ในขณะนี้ หมอดูก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดกับเธอว่า “คุณผู้หญิงท่านนี้ครับ ถ้าผมทายไม่แม่น ผมจะไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ เลยครับ คิดซะว่าเพื่อความสนุกก็ได้นะครับ ไม่จำเป็นต้องจริงจังขนาดนี้”
โดยที่ไม่รอให้หวังเสว่ตอบ ซุนยีเฉินก็พยักหน้าพูดกับเธออีกครั้ง “นั่นสิ ๆ พี่เขาพูดถูกนะ ไม่จำเป็นต้องซีเรียสหรอก แค่ลองดูเฉยๆ”
ขณะที่เขาพูด เขาก็ยื่นมือออกไปจับมือหวังเสว่แล้วดึงเธอเข้าไปในหน้าร้านของหมอดู
ลู่เสี้ยงหยางได้แต่ยักไหล่อย่างทำอะไรไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าซุนยีเฉินจะเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ด้วย ดังนั้นเขาทำได้เพียงเดินตามพวกเขาเข้าไป
หลังจากนั้นหวังเสว่ก็นั่งลงหน้าร้านดูดวงดังกล่าว หน้าร้านมีโต๊ะขนาดเล็กวางอยู่และมีผ้าคลุมแผนผังแปดทิศคลุมอยู่บนโต๊ะใบนั้น
แม้ว่าหน้าร้านจะดูเรียบง่าย แต่เขาก็ดูเป็นผู้เชี่ยวชาญมาก
ลู่เสี้ยงหยางกวาดมองหน้าร้านของเขา จากนั้นมองไปที่หมอดู
เขาเห็นหมอดูสวมเสื้อคลุมสีดำ ใบหน้าเคราแพะและสวมแว่นกันแดดขนาดเล็ก
ลู่เสี้ยงหยางขมวดคิ้วและรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็ไม่สามารถอธิบายอย่างชัดเจนได้
ในขณะนี้ หมอดูก็เริ่มพูดกับหวังเสว่ “การทำนายของผมเป็นแขนงหนึ่งของโจวอี้ เราใช้เพียงเหรียญทองแดงสามเหรียญนี้ก็สามารถรู้อนาคตได้ คุณผู้หญิงท่านนี้ครับ คุณช่วยโยนเหรียญสามเหรียญนี้สามครั้ง แล้วผมจะบอกสิ่งที่คุณอยากรู้ครับ”
ว่าไงนะ? พูดจริงสิ? มันแม่นขนาดนั้นเลยเหรอ?
เดิมทีหวังเสว่ไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์และถึงขั้นต่อต้านการดูดวงด้วย แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินหมอพูดจาสบถอย่างนี้ เธอก็เริ่มรู้สึกสนใจขึ้นแล้ว
เมื่อซุนยีเฉินเห็นหวังเสว่เริ่มรู้สึกสนใจ เขาก็ยื่นมือออกไปผลักไหล่เธอเบาๆ เพื่อกระตุ้นเธอ “เสว่เอ๋อ คุณรีบโยนเหรียญสิ เรามาดูกันว่าหมอดูคนนี้จะแม่นขนาดไหน”
หวังเสว่พยักหน้าแล้วเริ่มทำตามสิ่งที่หมอดูพูด เธอหยิบเหรียญทองแดงขึ้นมาจากโต๊ะแล้วโยนลงบนโต๊ะสามครั้ง และทุกครั้งที่โยนเธอจะโยนครั้งละสามเหรียญตามที่หมอดูบอก
ในช่วงเวลานี้หมอดูไม่ได้พูดอะไร จนกว่าหวังเสว่จะโยนเหรียญเสร็จเขาถึงลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ด้วยสีหน้าความตกใจและปรบมือพูดกับเธอว่า “ยินดีด้วยนะครับคุณผู้หญิง เหรียญของคุณทั้งหมดหงายหัวขึ้น หมายถึงดวงคุณกำลังจะขึ้นนะครับ”
“ดวงกำลังจะขึ้น? มันหมายถึงอะไรกัน?” หวังเสว่ขมวดคิ้วถาม
หมอดูส่ายหัวแล้วพูดว่า “บนปากของคุณเขียนว่า คุณจะมีโชคเหมือนมังกรที่ถูกกักขังได้น้ำ ลมปราณแห่งความโชคดีขึ้นบนหางคิ้ว ทุกสิ่งที่หวังจะสมดังปรารถนา โชคลาภในอนาคตจะค่อยๆ ดีขึ้น”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนต่างก็ไม่เข้าในและถามหมอดูว่ามันหมายถึงอะไร
หมอดูลูบเคราแล้วตอบอย่างลึกซึ้งว่า “คุณผู้หญิงครับ ช่วงนี้อาชีพการงานของคุณไม่ค่อยราบรื่น คงมีบางอย่างที่กำลังรบกวนคุณอยู่ แม้คุณจะพยายามมากเท่าไหร่ แต่มันก็ไม่ได้ผล ในนี้บอกว่าคุณไม่เพียงแต่ทุกข์ใจกับตัวคุณเอง แต่คุณยังอยู่ภายใต้แรงกดดันจากผู้บังคับบัญชาของคุณด้วย และผมสามารถมองออกได้ว่าคุณมีอาชีพเป็นตำรวจ คุณเป็นคนที่มาจากต่างถิ่นซึ่งไม่ได้เกิดที่เมืองปินเหอนี้ อีกอย่างในนี้ยังเขียนว่าคุณพ่อของคุณกำลังพบเจอกับปัญหาบางอย่าง แต่ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของคุณหรือคุณพ่อของคุณ ทุกอย่างล้วนมีทางออกเสมอ แต่มีเงื่อนไขว่า คุณต้องพบเจอกับคนคนหนึ่งที่สำคัญต่อคุณก่อน”
ว่าไงนะ?
เมื่อได้ยินคำทำนายของหมอดูแล้ว หวังเสว่ก็ตะลึงและรู้สึกมีคลื่นลมที่รุนแรงเกิดขึ้นในใจเธอ ทุกคำพูดของหมอดูล้วนสะกิดใจเธออย่างปฏิเสธไม่ได้ ถูกต้องแล้ว เธอคือตำรวจ เธอไม่ใช่คนปินเหอโดยกำเนิด ช่วงนี้เธอถูกผู้บังคับบัญชาของเธอกดดันและพ่อของเธอก็กำลังมีปัญหาด้วยเช่นกัน
แม่นมาก! หมอดูคนนี้แม่นเหลือเกิน!!