หนึ่งเซียนยากเสาะหา (Lady Cultivator) - ตอนที่ 475 ชักจูงภัยพิบัติ
ตอนที่ 475 – ชักจูงภัยพิบัติ
แสงหลบหนีสีแดงเพลิงโผผ่านตีนเขา เร่งรุดไปทางหมู่อาคารของวังเซียน
บนยอดเขาโดดเดี่ยวแห่งหนึ่ง เมี่ยวอิงหยวนจวินหันศีรษะอย่างกะทันหัน มองแสงหลบหนีนั้น เอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “นี่เป็นสหายเต๋าคนไหน ถึงกับบินอย่างนี้ในวังเซียน? หรือไม่กลัวว่าจะกระตุ้นกำแพงอาคมพิสดารอันใด”
ผู้ที่ร่วมทางกับนางเป็นชายชราผอมแห้งที่สวมชุดเต๋าขาดรุ่งริ่งผู้หนึ่ง ก็คือพรตเต๋ากัวแห่งโรงเรียนผูฝ่า โรงเรียนจิ้งซวีและโรงเรียนผูฝ่าในกลุ่มอำนาจใหญ่ต่าง ๆ เพียงสามารถถือได้ว่าเป็นระดับกลาง นอกจากผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายสองคนเอาไว้สร้างภาพแล้ว ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่คนอื่นล้วนธรรมดา ตอนที่เข้าสู่วังเซียน ผู้ฝึกตนคนอื่นของทั้งสองสำนักถูกทิ้งไว้ข้างนอกทั้งหมด มีเพียงพวกเขาสองคนที่จับมือร่วมทางกันชั่วคราว
พรตเต๋ากัวลูบเคราแพะใต้คาง ทันใดนั้นก็เห็นปราณมารสีดำที่อยู่ข้างหลังแสงหลบหนีสีแดง เอ่ยอย่างตระหนกทันทีว่า “เมี่ยวอิงซือเม่ย ท่านดู!”
“สิ่งมีชีวิตมาร!” ทั้งสองสบตากัน สีหน้าพิสดาร
จากภาพเบื้องหน้านี้ ผู้ฝึกตนในแสงหลบหนีสีแดงนั่นจะต้องถูกสิ่งมีชีวิตมารตัวนี้ไล่ล่าเป็นแน่ ปัญหาคือ ปราณมารนี้สรุปแล้วเป็นสิ่งของอะไร พวกเขาสองคนยังนับว่าเดินทางราบรื่นมาตลอดทาง กลับไม่เคยเห็นศพหลอม
ผ่านไปไม่นานนัก พวกเขาก็มีคำตอบแล้ว
แสงหลบหนีสีแดงรวดเร็วยิ่ง ปราณมารค่อย ๆ ตามไม่ทัน แต่กลางทางค้นพบกลิ่นอายของพวกเขา หยุดชะงัก เปลี่ยนทิศทาง บินมาทางด้านพวกเขา
เมื่อค้นพบจุดนี้ เมี่ยวอิงหยวนจวินตระหนก “กัวซือเกอ ท่านดู!”
วินาทีถัดมา ลมปราณอันพลุ่งพล่านนั้นแทบจะทะยานไปถึงชั้นฟ้า สีหน้าของพรตเต๋ากัวยิ่งปั้นยาก สะบัดแส้ปัด เมฆก่อตัวใต้เท้า อยากจะหลบหนีหนีไป ปากเอ่ยว่า “หนีเร็ว ระดับแปลงเทพ!”
“แต่ว่า……” เมี่ยวอิงหยวนจวินมองถ้ำพำนักผู้ฝึกตนโบราณที่พวกเขาทำลายมาครึ่งหนึ่งแล้วอย่างเสียดาย หากสามารถทำลายเปิดถ้ำพำนักนี้ได้จะต้องสามารถได้รับวาสนาอันน่าทึ่ง
แต่นางมิใช่คนโง่ สัมผัสได้ถึงพลังสภาวะของสิ่งมีชีวิตมารนั้น กัดฟัน แปลงเป็นแสงหลบหนีทันที ไล่ตามพรตเต๋ากัวไป
วาสนาต่าง ๆ นานาล้วนไม่สำคัญเท่าชีวิต!
หนีออกจากผาบำเพ็ญทุกรกิริยา บินผ่านยอดเขาทั้งหลายอันมีพลังวิญญาณอุดมสมบูรณ์ ตรงเข้าไปในหมู่อาคารของวังเซียน สัมผัสไม่ได้ถึงลมปราณอันใดอีก ฉินซีหยุดฝีเท้า เก็บเมฆบินชั่วคราว ทิ้งตัวลงในสวนดอกไม้แห่งหนึ่ง
“ไม่ได้ไล่ตามมาหรือ” โม่เทียนเกอหันศีรษะไปมองอย่างอกสั่นขวัญหาย แต่จิตหยั่งรู้ที่นี่ถูกจำกัด มองสุดสายตาจะสามารถเห็นได้ไกลสักเท่าใด ย่อมไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
ฉินซีเช็ดเหงื่อบนใบหน้า เอ่ยว่า “ไปไล่คนอื่นแล้ว พวกเราพักผ่อนกันก่อน” ตอนที่หลบหนีเมื่อครู่นี้ เขาแทบจะไม่เก็บแรง ถึงขนาดใช้เลือดสกัดมาผลักดันวิญญาณแท้จริง บินหลบหนีอย่างไม่แยแสสิ่งใด เมื่อพบกำแพงอาคมเพียงสามารถแก้ไขด้วยกำลัง พลังวิญญาณในปัจจุบันนี้ไม่มากแล้ว
“ไล่คนอื่น?” โม่เทียนเกอตะลึง นางระดับการฝึกตนต่ำหน่อย จิตหยั่งรู้ถูกจำกัดมากกว่า ตลอดทางมานี้ไม่ได้ค้นพบคนอื่นเลย
ฉินซีกลืนยาเสริมวิญญาณหนึ่งกำ เอ่ยว่า “ข้าสัมผัสได้ว่าข้างหน้ามีคนจึงจงใจบินผ่านไปใกล้ ๆ ศพหลอมนั้นย่อมไม่แยกแยะ ไปไล่ตามสองคนนั้นแล้ว”
“……” โม่เทียนเกอเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ไม่พูดจา
ฉินซีเห็นแววตานี้ของนาง ยิ้มว่า “เจ้าอยากจะพูดอะไร”
โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว แต่ก็อดยิ้มไม่ได้ “่ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าท่านก็มีเวลาที่เลวทรามได้ขนาดนี้”
“อ้าว!” ฉินซีสีหน้าเจือรอยยิ้ม แววตากลับเฉยเมย ไม่ถือเป็นจริงเป็นจัง “นี่มิใช่ปกติมากหรือ ชักจูงภัยพิบัติ พวกเราจึงสามารถสลัดหลุด ข้าก็มิใช่นักบุญนะ”
โม่เทียนเกอพยักหน้า ในใจไม่มีการต่อต้านเลย หากเปลี่ยนเป็นตัวนางเอง ก็เกรงว่าจะเลือกอย่างนี้
“เอาล่ะ อย่าเสียเวลาเลย พวกเรารีบฟื้นฟูพลังวิญญาณหน่อย” ฉินซีพูดจบก็นั่งขัดสมาธิปรับลมหายใจอยู่ตรงนั้น
โม่เทียนเกอถูกพามาตลอดทาง พลังวิญญาณที่สูญเสียไม่มากเลย แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ การเตรียมตัวยิ่งพร้อมยิ่งดี จึงนั่งขัดสมาธิด้วย ทางหนึ่งปรับลมหายใจ ทางหนึ่งครุ่นคิดแผนรับมือ
ในวังเซียนนี้ปรากฏศพหลอมระดับแปลงเทพหนึ่งตัว สำหรับผู้ฝึกตนที่เข้ามาในวังเซียน เส้นทางการหาสมบัติกลายเป็นภยันตรายซุ่มอยู่รอบด้านทันที
ระดับการฝึกตนยิ่งสูง ระยะห่างระหว่างระดับชั้นทั้งสองยิ่งมาก ระดับแปลงเทพกับระดับจิตวิญญาณใหม่ห่างกันราวฟ้ากับดิน ถึงแม้ว่าจะเป็นแปลงเทพขั้นต้นกับจิตวิญญาณใหม่เต็มขั้นก็ตาม ศพหลอมระดับแปลงเทพตัวนี้ย่อมก่อเกิดตามธรรมชาติด้วยวาสนาบังเอิญ ถึงแม้จะไม่มีสติสัมปชัญญะ แต่เป็นไปได้มากว่าจะรักษานิสัยในการต่อสู้ของร่างเดิมเอาไว้ ผู้ฝึกตนระดับแปลงเทพของสำนักใหญ่โบราณกาลนี้ ณานศักดิ์สิทธิ์ของเขาเป็นสิ่งที่พวกเขาเหล่าผู้ฝึกตนของโลกฝึกเซียนที่ตกต่ำลงไปแล้วในแสนกว่าปีให้หลังสามารถเทียบได้หรือไร ดังนั้น หากถูกศพหลอมระดับแปลงเทพนี้ไล่กวด ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่มีณานศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่สักเพียงไหนก็มีแค่ทางตายสายเดียว
แต่ในเมื่อเป็นศพหลอม ความเคลื่อนไหวงุ่มง่ายเป็นจุดด้อยของมัน หากค้นพบและหลบหลีกแต่เนิ่น ๆ ก็จะไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ปัญหาคือ มีศพหลอมระดับแปลงเทพซึ่งท่องไปทั่วอย่างนี้อยู่หนึ่งตัว ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทั้งหมดจะเสาะหาสมบัติก็สงบใจเสาะหาไม่ได้แล้ว
“ซือฟุเจ้าคะ?” โม่เทียนเกอครุ่นคิดชั่วครู่แล้วเรียกฝูเหยาจื่อเบา ๆ
แต่ครู่ใหญ่แล้วฝูเหยาจื่อก็ไม่ขยับเขยื้อน หากมิใช่นางยังสามารถสัมผัสได้ว่าบนกระบี่ฝูเซิงมีจิตหยั่งรู้อยู่ก็แทบจะนึกว่าเขาหายไปแล้ว คิดถึงที่ฝูเหยาจื่อเคยพูดก่อนหน้านี้ จิตหยั่งรู้ของเขาอ่อนแออยู่บ้าง โม่เทียนเกอเดาว่าเขาอาจจะกำลังพักผ่อนอยู่กระมัง?
นางอดถอนหายใจไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาได้แค่คิดหาหนทางเอาเองแล้ว
สมบัติอื่นในวังเซียนนี้ นางไม่ได้หมายปองมาก เดิมทีเป้าหมายของพวกเขาก็คือสมบัติวิญญาณชั้นสูงสุดที่เก็บรักษาในห้องคลัง ปัจจุบันในวังเซียนมีศพหลอมระดับแปลงเทพเดินท่อง อย่างนั้นก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่ข้างนอกแล้ว
ห้องคลังมีม่านพลังมายาอยู่ ศพหลอมกล่าวถึงที่สุดเป็นตัวโง่เขลา มองม่านพลังมายาไม่ทะลุเป็นอันขาด — ห้องคลังเป็นสถานที่ปลอดภัย แต่ปัญหาก็มาอีกแล้ว ถึงแม้นางจะรู้จุดอ่อนของม่านพลังมายา แต่อาศัยนางกับฉินซีสองคนกลับยังไม่เพียงพอจะทำลาย
ตอนไปจากห้องคลัง ระยะเวลาที่ตกลงกับพวกอาจารย์เต๋าหยวนมู่คือหนึ่งวัน ในตอนนี้ยังเหลืออีกครึ่งวัน อย่าบอกนะว่าพวกเขาต้องหลบซ่อนเป็นเวลาครึ่งวัน?
ตอนที่โม่เทียนเกอครุ่นคิด ในวังเซียนเกิดความโกลาหลเนื่องจากศพหลอมระดับแปลงเทพตัวนี้แล้ว
เมื่อเห็นกับตาว่าพรตเต๋ากัวกับเมี่ยวอิงหยวนจวินบินหลบหนีมาด้วยความเร็วอันไร้ที่เปรียบ เสียงดังสนั่นของซูเซียงเจินเจ่อดังขึ้นว่า “ไอหยา สหายเต๋าทั้งสอง นี่จะไปไหนหรือ”
มนุษยสัมพันธ์ของซูเซียงเจินเจ่อไม่ดีเท่าไหร่จริง ๆ หลังเข้าสู่วังเซียนไม่มีคนเต็มใจจะร่วมมือกับเขาเลย ดังนั้นเขาได้แต่เดินเตร่อยู่ในวังเซียนตามลำพัง เสาะหาวาสนา ยังนับว่าโชคดี เขาเสาะพบซากสังขารของผู้ฝึกตนโบราณหลายร่าง ได้กระเป๋าเอกภพมาหลายใบ แต่ว่า ผู้ฝึกตนโบราณหลายคนนี้ระดับการฝึกตนล้วนไม่สูงมาก ในกระเป๋าเอกภพถึงจะมีสมบัติหายากหลายชนิด แต่ไม่มีสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับระดับแปลงเทพเลย ส่วนเขาติดอยู่ที่จิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายมาหลายปีขนาดนี้ นอกจากวาสนาที่เกี่ยวกับแปลงเทพ สิ่งของอื่น ๆ ไม่มีอะไรเข้าตาจริง ๆ
เขาก็ค้นพบว่าบนยอดเขาโดดเดี่ยวมีถ้ำพำนักผู้ฝึกตนโบราณระดับสูงอยู่มากมายอย่างเห็นได้ชัด แต่น่าเสียดายที่ถูกตาเฒ่าหยวนมู่อาศัยจำนววนคนมากมาชิงไป ถึงเขาจะโวกเวกโวยวาย แต่ในฐานะผู้ฝึกตนใหญ่จิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายคนหนึ่งจะเป็นคนโง่ไปได้อย่างไรกัน? ตนเองมีเพียงหนึ่งคน แก่งแย่งกับสำนักจิ่วเยี่ยนไม่ได้เลย ทำได้เพียง — ทน
แต่ว่า ทั้งไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนและไม่มีพวกพ้องให้ร่วมมือ นอกจากหวังพึ่งโชค เขาก็ไร้ทางอื่น ดังนั้นจึงเดินเตร่อยู่ในวังเซียนเช่นนี้ หวังว่าจะหาเจอสวนสมุนไพรของสำนักใหญ่โบราณกาลนี้ หรือว่าเสาะพบถ้ำพำนักผู้ฝึกตนโบราณอันเร้นลับสักแห่ง หยิบฉวยสิ่งของที่เกี่ยวกับแปลงเทพสักอย่างสองอย่าง
กำลังเดินเตร่อย่างนี้ จู่ ๆ ก็เห็นว่าเบื้องหน้ามีแสงหลบหนีสองสายหลบหนีมาอย่างรวดเร็ว อวิ๋นจงทั้งหมดทั้งสิ้นก็มีแค่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายสิบเอ็ดคน พวกเขาเหล่านี้ ทั้งเป็นผู้แข่งขัน ทั้งเป็นคนร่วมเส้นทางที่ชื่นชมกันและกัน เป็นเวลาหลายร้อยถึงพันปี ระหว่างกันและกันมีความคุ้นเคยมาก เขาเพียงมองนิดเดียวก็รู้ว่าเป็นเมี่ยวอิงหยวนจวินและพรตเต๋ากัว
เมื่อเห็นพวกเขาสองคน ซูเซียงเจินเจ่อรู้สึกยินดีอยู่ในใจ ถึงจะบอกว่าสองคนนี้กับเขาก็ไม่นับว่าสนิทสนมจนเกินไป แต่เทียบกับพวกรุ่นลายครามอย่างหยวนมู่เอยกุ่ยฟางเอยก็ดีมากแล้ว เมี่ยวอิงหยวนจวินขึ้นชื่อเรื่องมีมนุษยสัมพันธ์ดี ยิ้มแย้มให้กับทุกคน ความสัมพันธ์กับเขาก็ยังได้อยู่ พรตเต๋าหัวนั่นก็เป็นคนที่ไม่ขัดแย้งกับใครเขาเลย คิดว่าพาเขาไปอีกสักคนน่าจะไม่คัดค้านกระมัง? ถ้ามีสองคนนี้เป็นพวกพ้อง เช่นนั้นก็สามารถวาดมือวาดเท้าได้แล้ว อีกอย่าง สิ่งที่พรตเต๋าหัวฝึกคือวิชากายาพิสุทธิ์วัชระ ความเชี่ยวชาญของเมี่ยวอิงหยวนจวินก็ไม่อยู่ที่การโจมตี ส่วนเขา วิชาปราบพยัคฆ์ขึ้นชื่อด้านความแกร่งกร้าว เสริมจุดที่ขาดของพวกเขาได้พอดี พวกเขาน่าจะไม่คัดค้านถึงจะถูก
ซูเซียงเจินเจ่อโอบกอดความคิดอย่างนี้เอาไว้ ร้องเรียกทั้งสองคนเสียงดังว่า “นี่ ๆ เรียกพวกท่านนะ! วิ่งเร็วขนาดนี้ทำอะไรน่ะ พระคุณเจ้าไม่กินพวกท่านหรอก!”
“สหายเต๋าซูเซียน ท่านเรียกตัวเองเป็นพระคุณเจ้ากับใครกันหรือ” เมื่อได้ยินวาจานี้ แสงหลบหนีทั้งสองสายหยุดลง เมี่ยวอิงหยวนจวินยิ้มแย้มชำเลืองมองมาทางซูเซียงเจินเจ่อ บนใบหน้าภูมิฐานเป็นมิตรเผยรังสีฆ่าฟันเลือนราง
“เอิ่ม……” ซูเซียงเจินเจ่ออึกอักไปชั่วขณะ รู้สึกหงุดหงิดพลางหัวเราะฮี่ ๆ อย่างหน้าด้านว่า “เมี่ยวอิงซือเม่ยก็ ภิกษุเฒ่าก็เป็นอย่างนี้แหละ หุบปากไม่เป็น ไม่ได้จงใจจะพูดกับท่านนะ ท่านอย่าได้ถือสาเลย”
“ไม่ได้พูดกับเมี่ยวอิงซือเม่ย เช่นนั้นก็พูดกับข้าพรตเฒ่าแล้ว?” พรตเต๋ากัวสะบัดแส้ปัด ดวงตาครึ่งหลับครึ่งลืมเหลือบมองซูเซียงเจินเจ่อ
ซูเซียงเจินเจ่อกะพริบตาที่โปนราวกระดิ่งแกล้งทำเป็นไร้เดียงสา “ตาเฒ่ากัว ข้าแค่หุบปากไม่อยู่ชั่วขณะไม่ใช่หรือไร ท่านไม่ใจแคบขนาดนี้หรอกกระมัง?”
พรตเต๋ากัวเลิกเปลือกตา ไม่สนใจเขาแล้ว ถึงจะเป็นคนที่ไม่ขัดแย้งกับใคร กับซูเซียงเจินเจ่อผู้นี้ก็ไม่มีอารมณ์ดี ๆ อะไรจะให้
ซูเซียงเจินเจ่อมีเรื่องขอร้องผู้คน ก็เลยขี้เกียจจะทุ่มเถียง ทำหน้าหนาถามว่า “เมี่ยวอิงซือเม่ย ตาเฒ่ากัว พวกท่านทำอะไรกันหรือ รีบขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าค้นพบวาสนาอะไรแล้ว?”
เมี่ยวอิงหยวนจวินชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยกึ่งยิ้มกึ่งบึ้งว่า “สหายเต๋าซูเซียน วาสนานี้……เหมือนจะไม่น่าพูดกระมัง?” ในเมื่อค้นพบวาสนา แล้วจะบอกคนเขาส่งเดชได้อย่างไรล่ะ
“พูดเถอะ ๆ!” ซูเซียงเจินเจ่อกระวนกระวายมาก เขาวนมาหนึ่งวันกว่าแล้ว วาสนาอะไรล้วนยังไม่ตกลงมาเลย! “คนฉลาดไม่พูดความลับ พวกท่านสองคนล้วนไม่เก่งการโจมตี ข้าเสริมส่วนที่ขาดของพวกท่านได้พอดี พวกท่านพาข้าไปด้วย หากมีวาสนา ข้าเต็มใจให้พวกท่านเลือกก่อน”
เมี่ยวอิงหยวนจวินกับพรตเต๋ากัวสบตากัน คล้ายกำลังหารือ
หันหน้ากลับ เห็นซูเซียงเจินเจ่อมองพวกเขาอย่างตั้งตารอ เมี่ยวอิงหยวนจวินยิ้มว่า “สหายเต๋าซูเซียน พาท่านไปก็มิใช่ไม่ได้ แต่ว่า เมื่อครู่ท่านบอกแล้วนะว่าหากมีวาสนา พวกข้าจะเลือกก่อน ใช่หรือไม่”
“แน่นอน ๆ” ซูเซียงเจินเจ่อพยักหน้าซ้ำ ๆ
“ก็ดี อันที่จริงพวกเขาค้นพบวาสนาที่หนึ่ง อยู่ข้างหน้าไม่ไกล ท่านรออยู่ที่นี่ก่อน พวกข้าไปยืนยันแล้วจะส่งข่าวมาให้ท่าน เป็นอย่างไร?”
“นี่……พวกท่านไม่ได้หลอกข้ากระมัง”
“ท่านไม่เชื่อ เช่นนั้นก็ข่างเถอะ” เมี่ยวอิงหยวนจวินทำท่าเหมือนอยากจะไปแล้ว
“เดี๋ยว ๆๆๆ!” ซูเซียงเจินเจ่อร้องเรียกพวกเขาอย่างเร่งรีบ “ได้ ข้าเชื่อ!”
เมี่ยวอิงหยวนจวินเผยรอยยิ้มภูมิฐานเป็นมิตรออกมาอีกครั้ง “เช่นนั้นสหายเต๋าซูเซียงรออยู่ที่นี่ ข้ากับกัวซือเกอจะส่งข่าวมาในภายหลัง” ว่าแล้วชำเลืองมองพรตเต๋ากัว ทั้งสองคนแปลงเป็นแสงหลบหนี หลบหนีจากไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
ซูเซียงเจินเจ่อลูบศีรษะล้าน ตะโกนไล่หลังว่า “พวกท่านรีบ ๆ ส่งข่าวหน่อยนะ –”
แสงหลบหนีสองสายหายลับไประหว่างเทือกเขาอย่างว่องไวโดยไม่เหลียวหลัง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงคำรามของซูเซียงเจินเจ่อดังมาจากที่นั่นว่า “เมี่ยวอิง ตาเฒ่ากัว! เจ้าสวะสองคนนี้ ถึงกับวางอุบายใส่พระคุณเจ้า!”
……………….
ตอนที่ 476 – การพบปะที่ไม่คาดหมาย