หนึ่งเซียนยากเสาะหา (Lady Cultivator) - ตอนที่ 473 โครงกระดูกผลึก
ตอนที่ 473 – โครงกระดูกผลึก
กระบี่อัคนีสามพลังหยางกลายเป็นปราณกระบี่ ก่อตัวเป็นม่านพลัง เปล่งพลังอันทรงพลังออกมา
กระบี่นี้ฉินซีหลอมสร้างตอนที่เพิ่งก่อเกิดตาน บ่มเพาะอยู่ในตานเถียนมาเกือบสองร้อยปีแล้ว และยังมักจะใช้วัสดุล้ำค่ามาชำระใหม่ พลังอำนาจไม่สามัญธรรมดาเลย
ปราณกระบี่หลายร้อยสายนำพาพลังสภาวะอันน่าทึ่งพุ่งใส่ประตูศิลา
เสียง “ตูม” ดังสนั่น บนกำแพงศิลาสองฟากถ้ำพำนัก ลูกหินสองลูกนั้นกลิ้งออกมาอีกครั้ง แต่ถูกปราณกระบี่โจมตีร่วงไปทีละลูก
เมื่อเห็นฉากนี้ โม่เทียนเกอแอบโล่งอก โชคดี ศาสตร์กลไกนี้ไม่ได้เฉลียวฉลาดจนเกินไป ด้วยความแข็งแกร่งของฉินซี การฝ่าด่านเป็นเพียงเรื่องของเวลา
หลังจากลูกหินเป็นมือไม้ มือไม้นี้ก็ไม่รู้ว่าสร้างจากสิ่งของอะไร แม้แต่ปราณกระบี่ของฉินซียังตัดไม่ขาด สุดท้ายได้แต่ใช้ไฟแท้สุดหยางออกมาจึงทำลายได้
เป็นเช่นนี้ไปหนึ่งชั่วยาม สุดท้าย ฉินซีฟันปราณกระบี่อีกครั้ง ในที่สุดไม่เห็นสิ่งกีดขวางอันใด โจมตีลงบนประตูศิลาอย่างไร้อุปสรรคขัดขวาง
“ตูม” ประตูศิลาเปิดอ้า เผยเนื้อแท้ออกมา
ทั้งสองคนมองตากัน ต่างเผยแววยินดี ดิ้นรนอยู่ที่นี่อยู่กลายชั่วยาม ในที่สุดนับว่าไม่ได้เปลืองเวลาและกำลังเสียเปล่า
“ข้าเข้าไปก่อน” ฉินซีหันหน้ามาบอกคำหนึ่ง โบกแขนเสื้อ ปราณกระบี่กลับมายังข้างกายของเขา ล้อมวนเป็นม่านพลัง แล้วจึงสาวเท้าก้าวเข้าถ้ำพำนักอย่างระมัดระวัง
โม่เทียนเกอมองอย่างตึงเครียด ถ้ำพำนักนี้ในเมื่อเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนระดับสูงของสำนักนี้จึงสามารถใช้ได้ ในนี้จะมีอะไรที่อยู่เหนือระดับชั้นของพวกเขาล้วนเป็นไปได้ อย่างเช่นกำแพงอาคมด้านนอกถ้ำพำนัก หากมาอีกรอบก็เพียงพอจะลงทัณฑ์พวกเขาแล้ว
โชคดีว่า ฉินซีเข้าไปวนอยู่หนึ่งรอบก็ไม่ค้นพบเรื่องอันใด ร้องเรียกนางว่า “ไม่เป็นไร เข้ามาเถอะ”
โม่เทียนเกอถอนหายใจโล่งอก แต่ยังไม่กล้าผ่อนคลาย ใช้ศาสตร์หนึ่งปราณต้นกำเนิดและผ้าเช็ดหน้าไหมขาวคุ้มครองร่างแล้วจึงย่างเข้าไป
เข้าไปในถ้ำพำนัก หันหน้ามองโดยรอบ ถ้ำพำนักนี้เรียบง่ายทว่าไม่สูญเสียความโอ่อ่า ห้องโถงใหญ่กว้างขวาง เพียงจัดวางโต๊ะหินเก้าอี้หินรับแขกไม่กี่ตัว ไร้ซึ่งวัตถุอื่นใด บนผนังฝังศิลาแสงจันทร์ซึ่งสูญเสียประสิทธิภาพไปแต่แรกแล้ว รอบ ๆ มีประตูศิลาขนาดเล็กอีกหนึ่งบาน น่าจะนำไปสู่ห้องฝึกตน
“ถ้ำพำนักนี้ผู้ฝึกตนระดับสูงของพวกเขาก็แค่เช่าใช้ชั่วคราว แล้วยังอยู่ในสำนัก น่าจะไม่มีกำแพงอาคมมากเกินไป” โม่เทียนเกอมองอยู่สักพักแล้วกล่าวดังนี้
ฉินซีพยักหน้า ถ้าเป็นถ้ำพำนักส่วนตัวของผู้ฝึกตนระดับสูง จะต้องมีกำแพงอาคมหลายชั้น แต่นี่เป็นของใช้สาธารณะ สถานการณ์ไม่เหมือนกัน ใครจะเปลืองสมองมาตั้งกำแพงอาคมหลายชั้นในถ้ำพำนักที่เช่าชั่วคราวเล่า? อีกทั้งยังอยู่ที่ใจกลางสำนัก ปกติก็จะตั้งม่านพลังของตนเองเพิ่มเท่านั้น
การตกแต่งในห้องโถงใหญ่มองแวบเดียวก็เข้าใจ ไม่มีสิ่งของอื่น สายตาของทั้งสองคนหันไปที่ห้องฝึกตน
ในถ้ำพำนักนี้มีผู้ฝึกตนระดับสูงกำลังฝึกตนหรือไม่ พวกเขาล้วนไม่แน่ใจ หากในห้องฝึกตนก็ไม่มี เช่นนั้นหลายชั่วยามนี้ของพวกเขาก็นับว่าสูญเปล่าแล้ว
“ข้าเอง” ฉินซียังคงนำหน้า ในสถานการณ์ปกติ ผู้ฝึกตนจะตั้งม่านพลังป้องกันไว้นอกถ้ำพำนักและตั้งกำแพงอาคมหนึ่งอันไว้รอบห้องฝึกตนเผื่อ ๆ เอาไว้ ถ้าหากตอนที่ภูเขาวิญญาณแยกขาด ในห้องฝึกตนมีผู้ฝึกตนโบราณกำลังกักตนอยู่จริง ๆ เช่นนั้นกว่าครึ่งจะตั้งกำแพงอาคม
โม่เทียนเกอรู้ว่าความแข็งแกร่งตนเองสู้ไม่ได้ ไม่ได้คัดค้าน ติดตามอยู่ด้านหลัง
ยิงปราณกระบี่ออกไปหลายสาย ประตูศิลาของห้องฝึกตนถูกโจมตีจนพังทลายในพริบตา เห็นเพียงว่าในแสงสีแดงหย่อมหนึ่งมีแสงสีขาวหลายสายวูบขึ้น ชักนำพลังสภาวะอันทรงพลังโจมตีออกมาข้างนอก
ฉินซีเห็นดังนี้ก็ตะลึง ยกมือขึ้น โล่แสงสีขาวใบหนึ่งขวางอยู่เบื้องหน้าเขา ในเวลาเดียวกันก็ไหวตัวหลบเลี่ยงแสงสีขาว
“ซี่ ๆๆ ——” กลับเป็นลูกศรสีดำหลายดอกโจมตีใส่ผนังศิลาฝั่งตรงข้าม แทบจะทำให้ผนังศิลาฝั่งตรงข้ามพังทลาย
โม่เทียนเกอหน้าซีด หันหน้าไปเห็นฉินซีหลบไปได้อย่างปลอดภัย ความตื่นตระหนกก็สงบลง
“นี่ก็เป็นศาสตร์กลไก?” ฉินซีเก็บปราณกระบี่กลับคืน หันหน้าไปถาม
“กว่าครึ่งคงใช่” โม่เทียนเกอเดินไปตรงหน้าผนังศิลาที่เกือบจะถูกโจมตีทะลุ หยิบลูกศรสีดำขึ้นมาหนึ่งดอก มองอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งประหลาดใจทั้งยินดี “ทองดำ!”
“ทองดำ?” ฉินซีก็เดินเข้ามา หยิบลูกศรสีดำขึ้นมากะน้ำหนัก จากนั้นพ่นไฟแท้สุดหยางออกมาจากฝ่ามือ เผาอยู่ครู่หนึ่ง ลูกศรสีดำกลับไม่เปลี่ยนสภาพแม้แต่ครึ่งส่วน เอ่ยอย่างยินดีว่า “เป็นทองดำจริง ๆ วัตถุนี้เป็นวัตถุดิบคุณภาพยอดที่สุดสำหรับการตีกระบี่!”
ในด้านการหลอมอุปกรณ์ เขาเชี่ยวชาญกว่าโม่เทียนเกอมาก ทองดำนี้จะแยกแยะอย่างไร ไม่จำเป็นต้องพูดมากความ
“ศิลาทำลายหยกข้างนอก มือไม้สองมือนั้น ยังมีทองดำนี้ —— ถึงจะหาป้ายคำสั่งไม่เจอ พวกเราก็ไม่ได้เดินทางเสียเปล่าแล้ว” ฉินซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
โม่เทียนเกอพยักหน้า ยังไม่ต้องเอ่ยถึงมือไม้ พวกเขาแยกไม่ออกว่าเป็นวัสดุอะไร ศิลาทำลายหยกและทองดำทั้งหมดมาจากยุคโบราณกาล โลกฝึกเซียนทุกวันนี้แทบหาไม่เจอ ที่งานชุมนุมค้าขายของผู้ฝึกตนระดับสูงก็เพียงปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราว มักจะเป็นเพียงก้อนเล็ก ๆ ถูกแย่งชิงอย่างบ้าคลั่ง
“แต่ว่า ในเมื่อมีกำแพงอาคม ความน่าจะเป็นที่ที่นี่จะมีผู้ฝึกตนกักตนมีสูงมาก” นางเก็บลูกศรสีดำทีละดอกเป็นอย่างดีแล้วกลับไปที่หน้าประตูห้องฝึกตน “โชคดีที่ศาสตร์กลไกนี้ไม่ได้สมบูรณ์ มีเพียงด่านนี้ด่านเดียว”
“เดี๋ยวก่อน” ก่อนที่นางจะย่างเข้าห้องฝึกตน ฉินซีออกปากห้าม เอ่ยว่า “ยังคงเป็นข้าเข้าไปก่อน”
โม่เทียนเกอลังเลนิดหนึ่ง สุดท้ายยังพยักหน้า ล่าถอย เมื่อเผชิญกับอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น ฉินซีจะเปิดทางให้นางเสมอ นางเจ็บใจ แต่ปัจจุบันนี้นางยังไม่ได้ผูกจิตวิญญาณ ที่ความแข็งแกร่งอ่อนกว่าเขาเป็นความจริง แทนที่จะแสร้งเข้มแข็ง มิสู้เชื่อฟังอย่างว่าง่ายดีกว่า
เมื่อเห็นนางเชื่อฟัง ฉินซีเผยรอยยิ้มปลอบโยนออกมา ก่อม่านพลังกระบี่ มุ่งหน้าไปที่ห้องฝึกตน
ก้าวเข้าประตูศิลาห้องฝึกตน หยุดชะงัก ไม่ได้เคลื่อนไหวอีก เขาเหลือบตามองโดยรอบ ตกตะลึงในทันที “เทียนเกอ!”
โม่เทียนเกอไม่เห็นกำแพงอาคมหรือกลไก ขณะนี้ได้ยินเสียงของเขาจึงตามเข้ามา “ทำไม……” เพิ่งอยากจะถามว่าทำไมหรือ กลับตะลึงอยู่กับที่ไปเช่นกัน
ห้องฝึกตนนี้ตกแต่งอย่างเรียบง่ายเช่นกัน มีเพียงเตียงศิลาหนึ่งหลัง บนเตียงศิลานั้นมีโครงกระดูกที่สวมชุดยาวสีขาวนั่งขัดสมาธิ สิ่งที่แปลกประหลาดคือ กระดูกของโครงกระดูกนี้ไม่ดำไม่ขาว ถึงกับเป็นผลึกโปร่งใส!
“นี่มันเรื่องอะไรกัน……” นางมองโครงกระดูกนี้อึ้ง ๆ หลังจากนั่งละสังขาร กายเนื้อของผู้ฝึกเซียนจะกลายเป็นพลังวิญญาณและสลายไป ทว่ากระดูกจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ค่อย ๆ กลายเป็นสีดำ จนสุดท้ายกลายเป็นเถ้าสีดำหนึ่งกอง แต่โครงกระดูกนี้ไม่เพียงคงอยู่อย่างสมบูรณ์มาแสนกว่าปี ทว่ายังโปร่งใสราวกับผลึก นับว่าไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย
ฉินซีเดินเข้าใกล้อย่างระมัดระวัง กระบี่อัคนีสามพลังหยางเปลี่ยนเป็นรูปแบบดั้งเดิม ตัวกระบี่สะกิดเปิดชุดชาวที่ห่อหุ้ม
โครงกระดูกนี้กลับแตกสลายไปเพียงแค่สะกิดครั้งเดียว เพียงได้ยินเสียง “โครม” พริบตาเดียวก็ถล่มลงเป็นเศษกระดูกเล็ก ๆ ใหญ่ ๆ หนึ่งกอง
“หืม?” เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ฉินซีเก็บกระบี่อัคนีสามพลังหยางกลับมา ฉงนสงสัย
ชุดขาวนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นสมบัติวิญญาณอันพบเห็นได้น้อย แสนกว่าปียังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เนื้อผิวเรียบลื่น ไม่มีรอยยับสักนิด อีกทั้งบนตัวกระบี่ของกระบี่อัคนีสามพลังหยางมีไฟแท้ กระทบถูกแล้วยังไม่ส่งผลกระทบสักนิด
ดูท่า โครงกระดูกนี้เดิมทีเป็นบุคคลระดับผู้อาวุโสของสำนักใหญ่โบราณกาลแห่งนี้ ครอบครองสมบัติวิญญาณเช่นนี้ก็ไม่แปลกประหลาด
โม่เทียนเกอคิดแล้วล้วงถุงมือที่ทำจากผ้าปักไหมสวรรค์ออกมาจากในกระเป๋าเอกภพ เดินขึ้นหน้า
“ระวัง!” ฉินซีเอ่ยเตือน “โครงกระดูกนี่ผิดปกติขนาดนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะแตะได้หรือไม่”
“วางใจเถอะ” โม่เทียนเกอยกมือขึ้นมา “ถุงมือนี่แม้แต่ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มยังไม่กลัว น่าจะไม่เป็นไร” เริ่มแรกหลังจากที่เนี่ยอู๋ชางกลืนกินปีศาจแรกเริ่ม นางใส่ถุงมือนี้ เมื่อสัมผัสจะไม่ถูกกัดกร่อน
หยิบกระดูกขึ้นมาหนึ่งชิ้นมองดูโดยละเอียด กระดูกนี้เห็นได้ชัดว่ามิใช่กระดูกแล้ว แต่ทั้งไม่เป็นทองและไม่เป็นหยก แน่นอนว่าไม่ใช่ผลึกที่แท้จริงเช่นกัน แปลกประหลาดถึงขีดสุด นางเคาะดู กระดูกส่งเสียงใสกระจ่างออกมา ลองใช้กำลังหักแต่ก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยสักครึ่งส่วน
ทั้งสองดูสาเหตุไม่ออก โม่เทียนเกออดถามฝูเหยาจื่อมิได้ว่า “ซือฟุเจ้าคะ ท่านเคยได้ยินว่าหลังจากผู้ฝึกตนดับสูญ กระดูกจะกลายเป็นโปร่งใสราวกับผลึกบ้างไหมเจ้าคะ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฝูเหยาจื่อจึงได้ส่งเสียงว่า “อะไรนะ กระดูกที่เหมือนกับผลึกหรือ”
“ซือฟุท่านไม่รู้หรือ เมื่อครู่ทำอะไรอยู่เจ้าคะ” โม่เทียนเกอประหลาดใจ ซือฟุท่านนี้ให้ความสนใจกับสถานการณ์รอบด้านเสมอมา ทำไมเรื่องที่เกิดขึ้นข้างนอกคราวนี้ถึงไม่รู้สักนิดเล่า
ฝูเหยาจื่อหยุดนิดหนึ่ง เอ่ยว่า “จิตหยั่งรู้ของเหวยซืออ่อนแอลงไปบ้างแล้ว เมื่อครู่พักฟื้น”
“เอ๊ะ?” เมื่อได้ยินประโยคนี้ โม่เทียนเกอตกใจเป็นการใหญ่ “ซือฟุ ท่าน……”
“อย่างมากที่สุดทนได้อีกเดือนสองเดือน จิตหยั่งรู้นี้ของเหวยซือก็จะต้องเสื่อมสลายแล้ว” ฝูเหยาจื่อเอ่ยอย่างเฉยเมย “เอาล่ะ ให้ข้าดูซิว่าเกิดอะไรขึ้น”
พูดจบ โม่เทียนเกอสัมผัสได้ว่าจิตหยั่งรู้บนกระบี่ฝูเซิงหลุดออกมา วนอยู่บนกระดูกผลึก ผ่านไปเนิ่นนานจึงเก็บกลับมา
“จากที่เหวยซือเห็น สาเหตุที่คนผู้นี้หลังจากตายแล้วกระดูกผิดปกติน่าจะเพราะฝึกวิชาเวทอันพิสดารชนิดหนึ่ง”
“วิชาเวท?”
“มิผิด” ฝูเหยาจื่อเอ่ย “เจ้าลองหาดู แถว ๆ นี้น่าจะมีอาวุธเวทเก็บของอะไรอยู่”
โม่เทียนเกอกวาดตามองจึงเห็นว่าบนกระดูกมือของโครงกระดูกสวมแหวนเงินเรียบ ๆ วงหนึ่ง นางวางกระดูกลงแล้วถอดแหวนเงินลงมา
“แหวนเอกภพ?” เมื่อเห็นวัตถุนี้ ฉินซีใบหน้าเผยแววยินดี “ว่ากันว่าแหวนเอกภพเป็นอาวุธเวทเก็บของของผู้ฝึกตนโบราณกาล เทียบกับกระเป๋าเอกภพแล้วเหนือล้ำกว่ามาก น่าเสียดายที่วิธีการหลอมสร้างสาบสูญไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าวันนี้ถึงกับได้เห็นของจริง”
“แหวนเอกภพใช้ทักษะการฉีกมิติ ดังนั้นจึงถูกเรียกว่าแหวนพระสุเมรุด้วย ไหนเลยที่กระเป๋าเอกภพจะเทียบเปรียบได้” เมื่อฝูเหยาจื่อได้ยินที่ฉินซีพูดก็พูดประโยคนี้ออกมา น่าเสียดายที่ฉินซีไม่ได้ยิน
โม่เทียนเกอลองถ่ายทอดพลังวิญญาณออกไป เปิดแหวนเอกภพได้อย่างง่ายดาย เทของออกมาหนึ่งกองดัง “โครม”
“อย่า!” ฝูเหยาจื่อห้ามช้าเกินไป สิ่งของกองจนพูนสูงแล้ว โม่เทียนเกอตัดพลังวิญญาณอย่างเร่งรีบ ปิดแหวนเอกภพ
ฝูเหยาจื่อถอนหายใจ “เจ้าก็ไม่คิดเลยนะ ผู้ฝึกตนระดับสูงคนไหนบ้างมิได้พกกระเป๋าเอกภพหลายใบ สิ่งของในกระเป๋าเอกภพพวกนี้หากใส่เอาไว้ในแหวนเอกภพทั้งหมดจะมีมากน้อยเพียงใด เทอย่างนี้ เกรงว่าเจ้าจะเทจนเต็มห้องแล้ว”
โม่เทียนเกอเกาศีรษะ รู้ว่าตนเองทำเรื่องโง่ ๆ อีกแล้ว ก็เพราะฉินซีอยู่ที่นี่ นางย่อมอยากจะเทออกมาดูด้วยกันสองคน
“แต่ว่า พวกเจ้ากำไรแล้ว โครงกระดูกนี้ในเมื่อเป็นบุคคลระดับผู้อาวุโสของสำนักใหญ่โบราณกาลแห่งนี้ อย่างน้อยที่สุดก็เป็นระดับแปลงเทพ พวกเจ้าได้รับแหวนเอกภพของเขาเป็นการร่ำรวยในชั่วข้ามคืนจริง ๆ!” ฝูเหยาจื่อทั้งอิจฉาทั้งริษยา “ปีนั้นเหวยซือถึงจะได้พบแหวนเอกภพเช่นกัน แต่แบ่งกันห้าคน”
โม่เทียนเกอยิ้ม ๆ เอ่ยว่า “ซือฟุถึงจะได้รับเพียงหนึ่งในห้าส่วน แต่กลับก้าวเข้าระดับแปลงเทพได้ในก้าวเดียว ยังจะอิจฉาริษยาพวกเราทำอะไรเจ้าคะ”
“หึ!” ฝูเหยาจื่อฟังแล้วร้องหึคำหนึ่ง ไม่ปริปาก
เมื่อเห็นสิ่งของกองโตบนพื้น โม่เทียนเกอดึงฉินซี “ซือเกอ รีบหาดูว่ามีป้ายคำสั่งหรือไม่!”
……………….
ตอนที่ 474 – ศพหลอมระดับแปลงเทพ