หนึ่งเซียนยากเสาะหา (Lady Cultivator) - ตอนที่ 472 ลองแก้ศาสตร์กลไก
ตอนที่ 472 – ลองแก้ศาสตร์กลไก
“ยายหนู นี่เป็นศาสตร์กลไกจริง ๆ หรือ” ฝูเหยาจื่อได้ยินวาจาของนางก็ตื่นเต้นดีใจไม่รู้แล้ว
โม่เทียนเกอขบคิดชั่วขณะ ตอบว่า “ศิษย์ก็ไม่กล้ายืนยัน แต่ว่า ด้วยความเข้าใจของข้าต่อม่านพลังกำแพงอาคม นี่มิใช่กำแพงอาคมทั่วไปเป็นอันขาด พูดได้เพียงว่า คล้ายศาสตร์กลไกอยู่บ้าง”
“เช่นนั้นก็ลองเร็ว ๆ หน่อย” ฝูเหยาจื่อเร่ง “ถ้าสามารถได้รับศาสตร์กลไกจากที่นี่ก็เป็นความยินดีอันเหนือคาดแล้ว”
ปีนั้นตอนอยู่ระดับสร้างฐานพลัง โม่เทียนเกอเคยประสบกับความมหัศจรรย์ของศาสตร์กลไกในถ้ำพำนักของนักเดินทางจื่อเวย และยังได้รับหุ่นเชิดระดับสร้างฐานพลังสองตัวจากมือนักเดินทางจื่อเวย ทราบถึงข้อดีของศาสตร์อัศจรรย์โบราณกาลนี้ ขณะนี้ไม่ต้องให้ฝูเหยาจื่อสั่งการ ตนเองก็ลิงโลดแล้ว
ตรวจอินหยางห้าธาตุของกำแพงอาคมนี้เสร็จ โม่เทียนเกอเก็บเข็มทิศ หยิบผังปากั้วไท่จี๋ออกมาจากในแขนเสื้อ โยนใส่ปากถ้ำพำนัก
ผังปากั้วไท่จี๋หยุดค้างในกำแพงอาคม คลี่กางออกอย่างแผ่วเบา ก่อให้เกิดระลอกคลื่นดุจวารี จัดระเบียบพลังวิญญาณรอบด้านไปทีละอย่าง
รอจนจัดพลังวิญญาณจนสงบนิ่ง โม่เทียนเกอยื่นมือออกไป ผังปากั้วไท่จี๋บินกลับมาในมือนาง เก็บเข้าแขนเสื้อ
ขณะนี้เพ่งมองกำแพงอาคมนี้อีกทีจะชัดเจนกว่าเดิมมาก อินหยางห้าธาตุไม่ผันแปรไม่แน่นอนอีก การแยกแยะว่าในนั้นมีศาสตร์กลไกหรือไม่ก็ง่ายดายขึ้น
“ประหลาด สัมผัสได้ว่าในนี้มีความผันผวนของพลังวิญญาณคล้ายกับผู้ฝึกตน แต่ไม่มีหุ่นเชิดหรือว่าอะไรเลย……”
สาเหตุที่ศาสตร์กลไกแยะแยกได้ยากอยู่ที่ว่ามันอาจจะเป็นเพียงการวางกลไกอันเรียบง่ายไม่กี่อย่างและไม่ได้สร้างเป็นรูปร่างคนหรือสัตว์ ยิ่งบวกกับที่โม่เทียนเกอมีความรู้ด้านศาสตร์กลไกน้อยนิด แยกได้ไม่ชัดเจนในชั่วขณะว่าสรุปแล้วนี่เป็นศาสตร์กลไกหรือว่าเป็นกำแพงอาคมที่สูงล้ำกว่าขอบเขตของตนเอง
ฉินซีเห็นนางลังเลอยู่ครึ่งค่อนวันจึงเอ่ยว่า “ข้าลองดูนะ” พูดจบก็สืบเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ล้วงกระเป๋าเอกภพหยิบตะเกียงกำหนดคีรีออกมา
ตะเกียงกำหนดคีรีดูแล้วไม่สะดุดตาสักนิด สีเขียวตุ่น เนื้อทึบทึม รูปทรงเรียบง่าย ประดุจตะเกียงเขียวเรียบง่ายที่จุดอยู่หน้าพุทธรูปมาหลายสิบปี ส่องแสงทึม ๆ มีเพียงมองอย่างละเอียดจึงสามารถค้นพบว่าในตัวตะเกียงมีลวดลายอันอ่อนช้อย กอปรเป็นม่านพลังอันมหัศจรรย์ แผ่พลังวิญญาณอันบริสุทธิ์ออกมาอย่างเลือนราง
ตะเกียงกำหนดคีรีลอยขึ้น พอแตะถูกกำแพงอาคมก็เปล่งแสงทันที เริ่มแรกเป็นเพียงแสงสีเขียวกระจ้อยร่อยดั่งเมล็ดถั่ว อย่างช้า ๆ การโคจรของปราณในกำแพงอาคมปั่นป่วน ตะเกียงกำหนดคีรีก็ยิ่งมายิ่งสว่าง
โม่เทียนเกอดูออกว่านี่คือพลังสองชนิดกำลังปะทะกัน ตะเกียงกำหนดคีรีของฉินซีก็เป็นอาวุธเวทอันหายากชิ้นหนึ่ง อาวุธเวททำลายอาคมเดิมก็พบเห็นไม่มาก ยิ่งกว่านั้นชิ้นนี้ของเขาเป็นสมบัติวิญญาณที่หาเจอจากสถานที่ลับแห่งหนึ่ง เป็นอาวุธเวทชั้นยอด ดังนั้นแล้ว ถึงเขาจะไม่เชี่ยวชาญวิชาม่านพลัง แต่มีตะเกียงนี้อยู่ กำแพงอาคมทั่วไปหยุดยั้งเขาไม่ได้เลย
แสงของตะเกียงกำหนดคีรีสว่างจนถึงขีดสุด เห็นกับตาว่าพลังวิญญาณในกำแพงอาคมเริ่มสั่นสะเทือน ราวกับจะถูกโจมตีล่าถอยในอึดใจต่อไป จู่ ๆ ได้ยินเสียง “หึ่ง” พลังวิญญาณปั่นป่วน ถึงกับก่อตัวเป็นม่านแสง ขวางตะเกียงกำหนดคีรีอยู่เบื้องหน้ากำแพงอาคม
ฉินซีเห็นดังนี้ก็ร่ายศาสตร์เวท ตะเกียงกำหนดคีรีหมุนตัวอย่างกะทันหัน ปลุกเร้าพลังวิญญาณรอบด้าน ก่อเป็นวังวน กระแทกใส่ม่านแสง
“แคว้ก……” เสียงฉีกขาดอันแหลมคมดังขึ้น ม่านแสงสั่นเทา บนนั้นปรากฏรอยยับหลายรอย
เมื่อเห็นฉากนี้ ใบหน้าทั้งสองเผยแววดีใจ ฉินซีจดจ่อกับการควบคุมตะเกียงกำหนดคีรีไปชนม่านแสงยิ่งขึ้น
ผ่านไปหลายครั้ง เสียงระเบิดทึบ ๆ ดัง “ครืน” ภายใต้การชนโจมตีของตะเกียงกำหนดคีรี ม่านแสงแตกสลายอย่างฉับพลัน แสงกะพริบ หายไปในทันใด
“สำเร็จแล้ว!” โม่เทียนเกอกำลังจะขึ้นหน้า จู่ ๆ สัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณ รับรู้ว่ามีอันตราย ก้าวถอยหลัง
เวลาเดียวกับที่เสียงเสียดสีทึบ ๆ ดังขึ้น ลูกหินขนาดมหึมาสองลูกลอยออกมาจากสองฟากถ้ำพำนักอย่างรวดเร็ว โจมตีใส่ตะเกียงกำหนดคีรี
ฉินซีตะลึง พอร่ายศาสตร์เวท ตะเกียงกำหนดคีรีก็ลอยกลับมาทันที เฉียดผ่านลูกหินทั้งสองลูก ตกลงในมือเขา
เสียง “โครม” ดังสนั่น ลูกหินสองลูกชนกัน เศษหินลอยว่อน ชักนำให้พลังวิญญาณรอบด้านผันผวนไม่หยุด คลื่นปราณลูกหนึ่งถาโถมใส่ทั้งสองคน
คลื่นปราณนี้ก็เป็นการโจมตีของพลังวิญญาณ ฉินซีโบกแขนเสื้อ ปราณกระบี่ของกระบี่อัคนีสามพลังหยางกลายเป็นม่านพลังโจมตีขับไล่
รอจนคลื่นปราณสลายไป ด้านหน้าถ้ำพำนักยังคงมีม่านแสง โม่เทียนเกอกับฉินซียืนอยู่หน้าถ้ำพำนัก มองหน้ากันอย่างท้อใจ
“ศาสตร์กลไก เป็นศาสตร์กลไกจริง ๆ!” ผ่านไปครึ่งค่อนวัน โม่เทียนเกอพึมพำกับตัวเอง
ลูกหินสองลูกนั้นมิใช่ก้อนหินธรรมดาเลย ทว่าเป็นวัสดุหินหายากชนิดหนึ่งที่เรียกว่าศิลาทำลายหยก แข็งแรงไร้ที่เปรียบ ในทุกวันนี้ ถึงจะเป็นเพียงก้อนขนาดเท่ากำปั้นก็เป็นวัตถุดิบหลอมอุปกรณ์ที่ผู้ฝึกตนทุกคนจะยื้อแย่งกันอย่างบ้าคลั่งในงานชุมนุมค้าขาย แต่ในกำแพงอาคมของถ้ำพำนักผู้ฝึกตนโบราณแห่งนี้ ศิลาทำลายหยกนี้ถึงกับถูกสร้างเป็นลูกหินขนาดใหญ่ปานนี้ ช่างเป็นการสิ้นเปลืองสมบัติสวรรค์โดยแท้
ฉินซีเป่าลมหายใจคำหนึ่ง เก็บตะเกียงกำหนดคีรี เอ่ยว่า “ข้าเพิ่งจะเคยเห็นกำแพงอาคมอย่างนี้เป็นครั้งแรก เห็นชัด ๆ ว่าทำลายอาคมสำเร็จแล้ว ถึงกับยังมีท่าตามหลัง”
โม่เทียนเกอขมวดคิ้วเอ่ยว่า “กำแพงอาคมนี้มีสองชั้น ชั้นภายนอกก็คือกำแพงอาคมม่านพลังที่ใช้อินหยางห้าธาตุจัดตั้ง หลังจากกำแพงอาคมชั้นนี้ถูกทำลายแล้ว ศาสตร์กลไกที่อยู่ข้างหลังก็จะเปิดใช้งานเพื่อขับไล่ศัตรู จากนั้นกำแพงอาคมจะฟื้นฟูตัวเอง” พูดถึงตรงนี้ นางเกาศีรษะ “นี่มันจัดการยากแล้ว จะทำลายอาคมอย่างไร ข้าไม่มีเงื่อนงำเลยสักนิดเดียว”
หนึ่งวัน มีเพียงเวลาหนึ่งวัน ถ้าหากในหนึ่งวันหาป้ายคำสั่งห้องคลังไม่ได้ เช่นนั้นสมบัติในห้องคลังก็จะไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาแล้ว สมมติว่าไม่มีความแน่นอนในการทำลายอาคมในระยะเวลานี้ ยังมิสู้ไปที่ถ้ำพำนักผู้อาวุโส แย่งชิงกับคนอื่น
โม่เทียนเกอหันไปหาฉินซีอย่างอัดอั้นตันใจ “ทำอย่างไรดี สรุปว่าพวกเราจะพยายามสุดกำลังที่นี่ หรือว่ายอมแพ้แล้วไปที่ถ้ำพำนักอื่น”
ฉินซีใคร่ครวญครู่หนึ่ง กำลังจะพูด จู่ ๆ ดวงตาสว่างวูบ เอ่ยว่า “เจ้าดู กำแพงอาคมนี่!”
โม่เทียนเกอมองไปที่ปากถ้ำพำนักอีกรอบ ร้องอย่างตื่นเต้นดีใจว่า “นี่……” เมื่อครู่นี้กำแพงอาคมนี่ดูคล้ายจะฟื้นฟูแล้ว อันที่จริงมิใช่เช่นนั้นเลย ฟื้นฟูไปครู่สั้น ๆ เท่านี้ ม่านแสงอ่อนจางลงมากมาย
“ถูกแล้ว!” โม่เทียนเกอตระหนักทันที “กำแพงอาคมที่ฟื้นฟูตัวเองปกติแล้วจะฟื้นฟูช้า ๆ ในช่วงเวลายาวนาน ไม่สามารถจะฟื้นฟูพลังทั้งหมดในพริบตาที่พังทลาย อันที่จริงเมื่อครู่นี้กำแพงอาคมชั้นนอกนี้ถูกตะเกียงกำหนดคีรีทำลายไปแล้ว อันที่ฟื้นฟูภายหลังนี้เป็นเพียงสิ่งลวงพวกเรา”
ว่าแล้ว นางล้วงเข็มทิศออกมาอีกรอบ “ตอนนี้กำแพงอาคมอันนี้ยังไม่ได้ฟื้นฟูพลังขึ้นมาสักกี่มากกี่น้อย จะทำลายก็ไม่ยากแล้ว สำหรับศาสตร์กลไกนี่ ดูท่าทางแล้วพลังไม่ได้สูงมากเลย……”
เมื่อเห็นนางจดจ่ออยู่กับการเริ่มทำลายม่านพลังอีกรอบ ฉินซียิ้มบาง ๆ นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้าง ปรับลมหายใจพลาง รักษาความตื่นตัวพลาง
ตะเกียงกำหนดคีรีทำลายกำแพงอาคมแรกสุด สิ่งที่ฟื้นฟูภายหลังไม่ถือว่าร้ายกาจเกินไป อย่างน้อยไม่ได้ทะลุขอบเขตของระดับจิตวิญญาณใหม่ โม่เทียนเกอครุ่นคิดเนิ่นนาน หยิบอุปกรณ์ทำลายม่านพลังจำนวนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ
ธงม่านพลังหลายชิ้นจัดวางเป็นแผนภูมิม่านพลังอยู่ตรงปากถ้ำพำนัก หลังจากปักธงม่านพลังธงสุดท้าย โม่เทียนเกอร่ายศาสตร์เวท ธงม่านพลังเปล่งแสงขึ้นมาในทันใด สุดท้ายก่อตัวเป็นดวงแสง จากนั้น นางตะโกนเบา ๆ หนึ่งคำ ดวงแสงลอยขึ้น ปะทะกับม่านแสง
“ซู่!” ครั้งนี้ไม่มีแม้แต่การขัดขืน ม่านแสงพังสลายไปอย่างไร้สุ้มไร้เสียง
รออยู่ชั่วขณะ ศาสตร์กลไกที่ตามต่อมาไม่ได้เปิดใช้งานเลย กำแพงอาคมก็ไม่ได้ฟื้นฟูทันที โม่เทียนเกอผ่อนลมหายใจ “ชั้นที่หนึ่งนับว่าพังทลายแล้ว”
ฉินซีหยุดปรับลมหายใจตอนที่นางเริ่มทำลายอาคมแต่แรกแล้ว ขณะนี้ถามว่า “กลไกข้างหลังอันนั้นเล่า เจ้ามีความคิดอย่างไร”
โม่เทียนเกอขบคิดชั่วขณะ พูดว่า “ศาสตร์กลไกข้ามีความรู้ไม่มาก ได้แต่ใช้หนทางโง่เขลาแล้ว”
นางหยิบหุ่นเชิดหินสลักสองตัวนั้นออกจากในกระเป๋าเอกภพ ควบคุมด้วยจิตหยั่งรู้ให้เดินไปทางถ้ำพำนัก
หุ่นเชิดสองตัวนี้เป็นนักเดินทางจื่อเวยมอบให้ แล้วก็สร้างขึ้นโดยศาสตร์กลไก เพียงแต่ระดับชั้นต่ำสักหน่อย หลายปีมานี้ดูแลง่ายจิปาถะในถ้ำพำนักแทนนางมาโดยตลอด ข้อดีของการใช้หุ่นเชิดสองตัวนี้คือ พวกมันแข็งแรงไร้ที่เปรียบ ไม่มีจิตสำนึก ถึงแม้จะพังไป อนาคตเรียนรู้ศาสตร์กลไกก็สามารถซ่อมแซมได้ หากใช้สิ่งมีชีวิตอื่นมาหยั่งเชิง อย่างเช่นอสูญวิญญาณสามตัวนั้น…… คาดว่าจะไปไม่กลับแล้ว
หุ่นเชิดทั้งสองเดิน ๆ หยุด ๆ เข้าไปในกำแพงอาคม ตอนที่พวกมันสัมผัสจุดที่ลูกหินกลิ้งออกมาเมื่อครู่นี้ ได้ยินเพียงเสียง “โครม” เบา ๆ บนผนังศิลาสองฟากของถ้ำพำนักจู่ ๆ มีมือไม้เคลือบเงาสองข้างโผล่ออกมา คว้าหุ่นเชิดทั้งสองตัว
โม่เทียนเกอกำลังจะให้หุ่นเชิดหลบเลี่ยง กลับค้นพบว่ามือสองข้างนี้เคลื่อนไหวเร็วยิ่ง เพียงพริบตาก็คว้าลำคอของหุ่นเชิดเอาไว้แล้ว หุ่นเชิดทั้งสองเหวี่ยงกระบี่ศิลาในมือทันที อยากจะตัดแขนลงมา กลับได้ยินเสียง “เคร้ง” กระบี่ศิลาที่ฟันลงบนแขนทั้งสองข้างนี้หักเป็นสองส่วนไปเอง
ตอนนี้ฉินซีก็นั่งไม่ติดแล้ว มือสองข้างนี้ดูแล้วสร้างมาจากไม้ แต่ถึงกับแข็งยิ่งกว่ากระบี่ศิลาของหุ่นเชิด! เขารู้ว่า หุ่นเชิดสองตัวนี้ถึงจะมีเพียงระดับสร้างฐานพลัง วัสดุทั้งตัวกลับมิใช่ของสามัญ แม้แต่อาวุธเวททั่วไปยังยากจะทำร้าย!
โม่เทียนเกอตะลึงไปชั่วขณะ เห็นคาตาว่าแขนสองข้างนี้พอออกแรง หุ่นเชิดหินสลักก็แตกเป็นสองเสี่ยง หัวกับตัวแยกจากกัน
หลังจากพังหุ่นเชิดแล้ว แขนทั้งสองก็หดกลับเข้าไปในผนังศิลาอีก หายลับไร้ร่องรอย
ผ่านไปครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอได้สติกลับมา ถอนหายใจ ม้วนพลังวิญญาณนำ “ศพ” หุ่นเชิดทั้งสองเก็บเข้ากระเป๋าเอกภพ
คิดไม่ถึงว่าหุ่นเชิดสองตัวนี้ติดตามนางมานานขนาดนี้ จะถึงกับถูกทำลายง่ายดายขนาดนี้
“อย่าโง่เลย” เวลานี้ ในสมองมีเสียงของฝูเหยาจื่อดังขึ้น “ศาสตร์กลไกที่เรียกกันนี้ หุ่นเชิดและเครื่องมือที่สร้างออกมากับผู้ฝึกตนจะมีระดับชั้นที่สอดคล้องกัน อีกทั้งยิ่งระดับสูง วัสดุที่ใช้ก็ยิ่งหายาก หุ่นเชิดสองตัวนี้ของเจ้าก็แค่ระดับสร้างฐานพลัง ใช้หยั่งเชิงพวกมันมิใช่น่าหัวเราะมากหรือ”
โม่เทียนเกอตะลึงไปชั่ยขณะ เข้าใจขึ้นมานิดหน่อย ในอดีตนางอาศัยที่หุ่นเชิดสองตัวนี้มีวัสดุพิเศษ ยากต่อการทำลาย หยิบมาหยั่งเชิงม่านพลังอยู่บ่อยครั้ง กลับลืมไปว่าพลังสังหารของม่านพลังมีเพียงการโคจรพลังวิญญาณที่อินหยางห้าธาตุชักนำ ส่วนศาสตร์กลไกกลับมีสสารเฉกเช่นหุ่นเชิด
“ซือฟุเจ้าคะ” นางละอายใจไม่รู้แล้ว “เช่นนั้นจากที่ท่านเห็น กลไกนี้ต้องทำลายอย่างไรเจ้าคะ”
ฝูเหยาจื่อหัวเราะเบา ๆ “หนึ่งกำลังเอาชนะสิบทักษะ เจ้าลืมแล้วหรือ”
โม่เทียนเกอตะลึงงัน ตระหนักขึ้นมาในทันที “ขอบคุณซือฟุที่ชี้แนะมากเจ้าค่ะ!”
หลายวันนี้มิใช่กำลังทำลายอาคมก็เป็นคลุกคลีอยู่กับคนอื่น นางใช้สมองจนโง่แล้ว! โลกฝึกเซียนอาศัยอะไรในการชิงชัย? ย่อมเป็นความแข็งแกร่ง! ต่อหน้าความแข็งแกร่งอันเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทักษะอะไรล้วนไม่มีประโยชน์
ไม่ว่าจะลูกหินที่จุดเริ่มต้นหรือว่ามือไม้ในภายหลัง ความแข็งแกร่งล้วนไม่เหนือกว่าระดับจิตวิญญาณใหม่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำลายด้วยกำลังไปตรง ๆ ก็ได้ ยังจะต้องใช้สมองอะไรอีก?
คิดถึงตรงนี้ นางหันศีรษะไปยิ้มเอ่ยกับฉินซีว่า “ซือเกอ ดูท่านแล้ว!”
……………….
ตอนที่ 473 – กะโหลกผลึก