หนึ่งเซียนยากเสาะหา (Lady Cultivator) - ตอนที่ 469 ห้องคลัง
ตอนที่ 469 – ห้องคลัง
พอออกจากมาห้องสมุด ในห้องโถงว่างเปล่าไร้ผู้คน
วังเซียนแห่งนี้กว้างใหญ่ไร้ที่เปรียบ ในนี้มีสิ่งปลูกสร้างมากมายหลากหลาย หนทางซับซ้อน ประกอบกับปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มที่หลั่งไหลบ่อย ๆ คนอื่น ๆ อยากจะเสาะหาศาลาเก็บคัมภีร์ไม่ง่ายดายเลย
พวกเขากลุ่มนี้มาถึงที่นี่โดยเสียเวลาไปไม่นาน โม่เทียนเกอกับฉินซีอยู่ในห้องสมุดก็เพียงแค่สามสี่ชั่วยามเท่านั้น ณ ตอนนี้อยู่ห่างจากที่วังเซียนเปิดเส้นทางแค่หนึ่งวัน คนอื่น ๆ ไม่ทันเสาะหามาถึงที่นี่
คนอื่นยังไม่ออกมา พวกเขาสองคนได้แต่รอคอย จึงนั่งขัดสมาธิ ต่างคนต่างปรับลมหายใจ ฟื้นฟูพลังวิญญาณ
ผ่านไปไม่นานนัก ม่านพลังเคลื่อนย้ายที่อยู่ขวาสุดเปล่งแสงขึ้นมา ผู้ที่ปรากฏตัวคือหลิงซื่ออวี่แห่งสำนักจิ่วเยี่ยน เขามองสองคนที่นั่งสมาธิปรับลมหายใจอยู่ด้านข้าง รู้สึกประหลาดใจ “สหายเต๋าทั้งสองออกมาเร็วขนาดนี้เลยหรือ”
เมื่อเห็นว่ามีคนออกมา ทั้งสองคนลุกขึ้น ฉินซีเอ่ยว่า “ที่แท้เป็นสหายเต๋าหลิง ทำไมหรือ พวกท่านก็เสร็จแล้ว?”
หลิงซื่ออวี่พยักหน้า โยนเครื่องรางใบหนึ่งเข้าไปในม่านพลังเคลื่อนย้ายอย่างใจเย็น ผ่านไปครู่หนึ่ง คนอื่น ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นในโถงใหญ่ผ่านม่านพลังเคลื่อนย้าย
โม่เทียนเกอเห็นอยู่กับตา แอบเบ้ปาก คนของสำนักจิ่วเยี่ยนระแวดระวังจริง ๆ การกระทำนี้ของหลิงซื่ออวี่เห็นได้ชัดว่าคือการกังวลว่าจะมีคนดักโจมตีอยู่ข้างนอก ออกมาสำรวจสถานการณ์ก่อน ไม่เป็นไรแล้วจึงแจ้งให้คนที่อยู่ข้างหลังออกมา
ในพวกเขาสี่คน ความสำคัญของหลิงอวิ๋นเฮ่อไม่ต้องพูด ระดับการฝึกตนต่ำ อีกทั้งเป็นคนที่วัตถุศักดิ์สิทธิ์ยอมรับเป็นนาย ไม่สามารถเกิดอุบัติเหตุขึ้นเป็นอันขาด ส่วนอีกสองคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย เป็นกำลังต่อสู้หลักของพวกเขา มีเพียงเขาที่เป็นบุคคลที่ความสำคัญน้อยที่สุด จึงปล่อยให้เขาออกมาสืบสถานการณ์
อันที่จริงพวกเขาระวังตัวเกินไปอยู่บ้าง ตอนนี้ความน่าจะเป็นที่จะฉีกหน้ากันไม่มากเลย ยังไม่ทันออกจากห้องคลังเลยนะ ผลประโยชน์เล็กน้อยนี่นับเป็นอะไรได้
แต่ว่า เคยได้ยินหลิงอวิ๋นเฟยพูดว่าสำนักจิ่วเยี่ยนกับสำนักอื่นไม่เหมือนกัน มิตรภาพร่วมสำนักสำคัญที่สุด ขณะนี้เห็นพฤติกรรมของพวกเขา วาจานี้น่าจะไม่โป้ปด การกระทำนี้ของหลิงซื่ออวี่คือการปูทางให้คนร่วมสำนัก หากมีเหตุเหนือคาด ผู้ที่จะพลีชีพเป็นคนแรกคือเขา แต่ดูแล้วเขากลับมีท่าทีเต็มอกเต็มใจ
“สหายเต๋าฉิน สหายน้อยโม่ ทั้งสองคนออกมาเร็วแท้” เมื่อเห็นพวกเขาสองคน อาจารย์เต๋าหยวนมู่ก็ประหลาดใจ
ฉินซียิ้มบาง ๆ เอ่ยว่า “พวกเราสองคนโชคไม่ดี ห้องสมุดนั่นไม่มีอะไรที่มีค่า ย่อมออกมาเร็ว”
“จริงหรือ” อาจารย์เต๋าหยวนมู่ท่าทางอารมณ์ดียิ่ง โยนมาหนึ่งประโยคอย่างเรื่อยเปื่อย แล้วไม่พูดมากอีก
ผ่านไปครู่หนึ่ง ม่านพลังเคลื่อนย้ายอีกสามอันมีคนย้ายออกมา คนสิบสองคนมารวมตัวกันอีกรอบ
มีคนใบหน้าเต็มไปด้วยความปรีดา แล้วก็มีคนสีหน้าหม่นหมอง แต่ทุกคนล้วนปิดปากไม่เอ่ยว่าตนเองเลือกได้ห้องสมุดไหนอย่างเห็นพ้องต้องกัน
ศาลาเก็บคัมภีร์จบเรื่องแล้ว ทุกคนต่างได้ผลประโยชน์โดยไม่เอื้อนเอ่ย จากนั้นออกเดินทางต่อไป ไปหาห้องคลัง
ตอนที่กำลังจะไป อาจารย์เต๋าหยวนมู่ขบคิดนิดหนึ่ง ร่ายทักษะเวทส่ง ๆ ทำลายม่านพลังเคลื่อนย้ายทั้งห้า จากนั้นออกไปจากศาลาเก็บคัมภีร์
การกระทำเยี่ยงนี้ของเขา คนอื่นล้วนไม่เห็น
พวกเขาสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงมากขนาดนี้มาถึงศาลาเก็บคัมภีร์ แต่ก็ฉวยได้วาสนาจำนวนแค่นี้ หากมีคนอื่นบังเอิญมาถึงที่นี่ จะอย่างไรก็ไม่สามารถให้พวกเขาคว้าสมบัติไปอย่างง่ายดาย — ที่อวิ๋นจง พวกเขาเป็นคู่แข่งกัน
ระหว่างทางออกไป ประมุขมารกุ่ยฟางจู่ ๆ ถามว่า “ภูเขาวิญญาณนี้ ปีนั้นสรุปว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพราะอะไรถึงถูกฉีกออกเป็นมิติเอกเทศ ล่องลอยอยู่เหนือทะเลกุยสวี?”
คำถามข้อนี้ ทำให้ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทั้งหมดล้วนตะลึงลาน
ใต้หล้านี้ รอยแยกมิติอย่างนี้ไม่ได้มีเพียงที่นี่เท่านั้น แต่ที่กว้างใหญ่ขนาดที่บรรจุสำนักทั้งสำนักเอาไว้อย่างภูเขาวิญญาณลูกนี้กลับมีน้อย อีกประการ ภูเขานี้เห็นได้ชัดว่าเป็นที่ตั้งสำนักของสำนักใหญ่แห่งหนึ่ง ดูขนาดของมัน ศิษย์ในสำนักอย่างน้อยที่สุดก็นับหมื่นคน แต่หลังจากพวกเขาเข้ามา นอกจากศพที่กลายเป็นศพหลอมจำนวนหนึ่งก็ไม่มีร่องรอยของคนอื่นเลย
โม่เทียนเกอหยุดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า “ผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อเคยคาดเดาว่าภูเขาวิญญาณลูกนี้เกรงว่าจะถูกฉีกออกมาตอนที่าฟ้าดินเปลี่ยนผันในปีนั้น เวลานั้น ธรรมะอธรรมรบรากันใหญ่โต โลกมนุษย์พังทลาย สำนักใหญ่โบราณกาลนี้ก็เดินไปสู่ความดับสูญ ตกต่ำจนเหลือเพียงศิษย์หยิบมือเดียว สุดท้ายฟ้าดินเปลี่ยนผัน พวกเขาฝังร่างไว้ที่นี่ตลอดกาล”
เมื่อได้ยินนางพูดอย่างนี้ บัณฑิตอวี๋พยักหน้าเอ่ยว่า “การคาดเดาของผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อสมเหตุสมผล มีเพียงพลังอำนาจอันทรงพลังของฟ้าดินเปลี่ยนผันจึงสามารถฉีกภูเขาวิญญาณที่ใหญ่ขนาดนี้ออกมา” พูดถึงตรงนี้ เขาเคาะพัดจีบในมือเบา ๆ ใบหน้าเผยแววกังวลลอบเร้น ถอนหายใจเอ่ยว่า “ดูวังเซียนภูเขาวิญญาณนี้ สำนักใหญ่โบราณกาลแห่งนี้ในปีนั้นไม่รู้ว่าเจริญรุ่งเรืองปานใด แต่ฟ้าดินเปลี่ยนผันทีเดียวก็กลับกลายเป็นเมืองที่ตายแล้วในชั่วพริบตา พวกเราที่เรียกกันว่าผู้ฝึกตนใหญ่ชั้นสูงสุดนี่ ในสายตาผู้ฝึกตนของสำนักนี้ไม่มีค่าให้เอ่ยถึงสักนิด สมมติว่าสักวันหนึ่งพบเจอเรื่องแบบเดียวกันก็จะเป็นดั่งมดปลวก แม้แต่จะดิ้นรนยังไม่ได้……”
พูดถึงตอนท้าย น้ำเสียงของบัณฑิตอวี๋ลดต่ำลง เบาจนไม่ได้ยิน
พวกเขาเหล่านี้ คนไหนบ้างมิใช่ประสบกับความทุกข์ยากจึงได้ฝึกมาถึงระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย? ในสายตาผู้คนบนโลก พวกเขาเป็นผู้ฝึกตนใหญ่จิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายที่สูงส่งจนไม่อาจเอื้อมถึง ครอบครองความสามารถอันหยั่งรู้ฟ้าดิน เคลื่อนภูเขาผลาญทะเล แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ากฎฟ้าดินก็เป็นเพียงมดปลวกตัวหนึ่ง ต่ำต้อยจนไร้ค่าให้เอ่ยถึง
ทุกคนถูกน้ำเสียงของบัณฑิตอวี๋ครอบงำ ในชั่วขณะหนึ่งล้วนเงียบงันลงไป
ทุกคนมุ่งหน้าไปเงียบ ๆ ด้วยความคิดต่าง ๆ นานา
ในวังเซียนนี้ สิ่งที่ร้ายกาจคือกำแพงอาคมที่ตั้งโดยผู้ฝึกตนระดับสูงซึ่งมีระดับการฝึกตนอันยากจะจินตนาการ รวมกับปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มซึ่งไม่รู้ว่าจะรั่วไหลออกมาจากที่ใด หากเป็นเพียงการเดินทางกลับไม่มีอันตรายที่ใหญ่โตจนเกินไป ถึงอย่างนี้ นี่เป็นสำนักแห่งหนึ่ง มิใช่สถานที่อันตรายอะไร
หนึ่งกลุ่มสิบสองคนเดินตามโม่เทียนเกอไปอีกกว่าครึ่งวัน ค่อย ๆ ออกห่างจากหอสูง เข้าไปในภูเขา
รอจนมองไม่เห็นศาลาหอสูงอีก โม่เทียนเกอหยุดลงในที่สุด
“ผู้อาวุโสทุกท่าน ถึงแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเสียงของนาง ผู้ฝึกตนทั้งหมดเงยหน้า ใบหน้าทั้งหมด ปรากฏแววกังขา
เงยหน้ามองไป เบื้องหน้าเป็นเพียงหน้าผาอันไม่แปลกประหลาดสักนิด ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใด ๆ แล้วก็ไม่มีร่องรอยของวิชาม่านพลัง
แต่ว่า เมื่อมีประสบการณ์ของศาลาเก็บคัมภีร์ บัณฑิตอวี๋ไม่ได้พูดขัดทันที ทว่าล้วงจานม่านพลังออกมา ตรวจสอบหนึ่งรอบอย่างระมังระวังถึงสิบส่วน แล้วจึงหันหน้าไปกล่าวกับคนอื่นว่า “เป็นม่านพลังมายา”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ บนใบหน้าของคนอื่น ๆ ปรากฎแววเคร่งขรึม
กำแพงอาคมของศาลาเก็บคัมภีร์นั่นช่างเถอะ พวกเขาจะมากจะน้อยยังสามารถมองเบาะแสนิดหน่อยออก ทว่าม่านพลังมายาอันนี้ ด้วยระดับการฝึกตนของพวกเขาถึงกับสัมผัสไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยว แล้วนี่จะต้องทำลายม่านพลังอย่างไรกัน
บัณฑิตอวี๋ใบหน้าเผยแววลำบากใจ ครุ่นคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน ยังคงรู้สึกไร้ที่ให้สอดมือ ได้แต่หันเหสายตาไปที่ร่างของโม่เทียนเกอ
“สหายน้อยโม่ ปีนั้นผู้อาวุโสห้าปราชญ์เคยทำลายม่านพลังมายาที่นี่ คิดว่าผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อจะต้องทราบวิชาทำลายม่านพลัง ขอให้สหายน้อยโม่ขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อสักรอบ”
คำขอร้องนี้ โม่เทียนเกอย่อมไม่มีเหตุผลจะปฏิเสธ แก้ม่านพลังมายานี้ไม่ได้ นางก็ไม่อาจไปถึงที่ดี ๆ อันใดได้เหมือนกัน
หลังจากพยักหน้าตกลง โม่เทียนเกอก็ปิดปากไม่พูดจา ทุกคนล้วนทราบว่านางกำลังสื่อสารกับฝูเหยาจื่อ ล้วนรอคอยอย่างเงียบสงบ
ผ่านไปครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอเป่าปาก เงยหน้าเอ่ยกับบัณฑิตอวี๋ว่า “ผู้อาวุโส ม่านพลังมายานี้ไม่สมบูรณ์”
“อ้อ?” บัณฑิตอวี๋ประหลาดใจ “ม่านพลังมายานี้พวกเราดูไม่ออกโดยสิ้นเชิง แต่กลับไม่สมบูรณ์?” พูดเช่นนี้แล้ว ความสำเร็จในวิชาม่านพลังของห้าปราชญ์ในปีนั้นไยมิใช่เหนือล้ำกว่าพวกเขาลิบลับ?
“ผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อบอกว่า ม่านพลังมายาอันนี้ก็ตั้งขึ้นโดยยอดคนของสำนักใหญ่โบราณกาล ถ้าหากสมบูรณ์ดี พวกเราไม่สามารถดูออกได้เลย แต่ว่า ปีนั้นผู้อาวุโสห้าปราชญ์มาถึงที่นี่ก็ค้นพบว่าม่านพลังมายานี้ซึ่งผ่านพ้นกาลเวลามายาวนานได้ปรากฏช่องโหว่ขึ้นแล้ว เช่นนี้จึงค้นพบการคงอยู่ของห้องคลัง”
เมื่อได้ยินวาจานี้ คนอื่นใบหน้าเผยแววยินดี หากไม่รู้ก็ช่างเถอะ รู้อยู่ชัด ๆ ว่าที่นี่มีห้องคลัง แต่ไม่อาจก้าวเข้าประตู จริง ๆ เข้าภูเขาสมบัติแต่กลับออกมาเสมือนเป็นภูเขาว่างเปล่า นั่นช่างน่าหดหู่เกินไปแล้ว
“แต่ว่า……” ก่อนที่บัณฑิตอวี๋จะอ้าปาก โม่เทียนเกอกล่าวต่อไปอีกว่า “ก่อนที่จะเปิดม่านพลังมายา มีเรื่องบางอย่างเกรงว่าจะต้องบอกกับผู้อาวุโสทุกท่านให้ชัดเจน”
อาจารย์เต๋าหยวนมู่หรี่ตา เอ่ยเสียงทุ้มว่า “สหายน้อยโม่กับผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อมีเงื่อนไขอะไรโปรดเสนอออกมาอย่างเต็มที่”
เวลานี้ น้ำเสียงอย่างนี้ คนที่อยู่ที่นี่ล้วนมิใช่คนโง่ เข้าใจแล้วว่านางอยากจะพูดอะไร
หลังจากเข้าห้องคลัง ระหว่างพวกเขาเหล่านี้แทบจะเป็นที่แน่นอนว่าจะเกิดความขัดแย้ง ถึงเวลานั้น คนที่ความแข็งแกร่งสู้ไม่ได้ก็จะเสียหาย ส่วนโม่เทียนเกอ ก่อนหน้านี้นับว่าล่วงเกินพวกเขา ปัจจุบันถึงจะมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่อยู่ข้างกาย ความแข็งแกร่งกลับไม่สู้คนอื่น นางย่อมต้องวางแผนให้ตนเองสักหน่อย
แน่นอนว่า ถ้าข้อเรียกร้องของนางไม่หนักหนาเกินไป ผู้ฝึกตนใหญ่ทุกคนที่นี่ก็มิใช่จะไม่ตกลง ถึงอย่างไรตลอดทางมานี้นางออกแรงไม่น้อย หากไม่มีนาง ศาลาเก็บคัมภีร์กับห้องคลังนี้ยากมากจะหาเจอในเวลาสามวัน
โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ เอ่ยว่า “เกรงว่าผู้อาวุโสทุกท่านจะไม่ทราบว่าห้องคลังแห่งนี้ สิ่งที่ใช้เป็นทักษะฉีกมิติ ในนี้เป็นมิติอันเป็นเอกเทศแห่งหนึ่ง”
“ดังนั้น?” บัณฑิตอวี๋ถาม
“ส่วนที่พิเศษของมิติแห่งนี้ก็คือเสถียรเป็นพิเศษ การไหลของพลังวิญญาณแทบจะหยุดนิ่ง เช่นนี้ พวกโอสถจึงสามารถเก็บรักษาได้ยาวนาน”
อาจารย์เต๋าหยวนมู่ฟังแล้วแววตาสว่างวูบ “พูดอย่างนี้ ในนี้เป็นไปได้ว่าจะเก็บรักษาโอสถโบราณกาลสภาพดีเอาไว้แล้ว?”
“มิผิด” โม่เทียนเกอเอ่ย “ตอนที่ผู้อาวุโสห้าปราชญ์เข้าไปในปีนั้นมีโอสถสภาพดีจริง ๆ นี่ก็เป็นหนึ่งในวาสนาของพวกเขา แต่ว่า คุณลักษณะของมิติแห่งนี้ก่อให้เกิดปัญหาอีกประการ”
บัณฑิตอวี๋หรี่ตาครุ่นคิด จู่ ๆ สูดลมหายใจ
“ดูท่าผู้อาวุโสอวี๋คิดออกแล้วสินะเจ้าคะ”
“มิผิด” บัณฑิตอวี๋น้ำเสียงหนักอึ้ง “พลังวิญญาณแทบจะหยุดนิ่ง มิติที่เสถียรเป็นพิเศษ อย่างนั้น กำแพงอาคมในห้องคลังเป็นไปได้มากว่าจะรักษาไว้อย่างสมบูรณ์!”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” โม่เทียนเกอถอนหายใจเอ่ยว่า “ที่สำคัญอย่างห้องคลังย่อมให้ผู้ฝึกตนใหญ่ซึ่งมีระดับการฝึกตนชั้นยอดที่สุดของสำนักใหญ่โบราณกาลนี้ตั้งกำแพงอาคม หากรักษาไว้สมบูรณ์ดี ด้วยระดับการฝึกตนของพวกเราไม่อาจคิดอาจเอื้อมได้เลย”
เมื่อได้ฟังวาจานี้ สีหน้าคนอื่น ๆ ล้วนเปลี่ยนไป พูดอย่างนี้ ถึงจะทำลายม่านพลังมายาข้างนอก กำแพงอาคมในห้องคลังพวกเขาก็ไม่สามารถแตะต้องได้เลย
“สหายน้อยโม่” อู๋หมิงเจินเจ่อกลับยิ้มบาง ๆ เอ่ยว่า “ปีนั้นผู้อาวุโสห้าปราชญ์สามารถหยิบฉวยสมบัติจากในห้องคลัง คิดว่ายังมีช่องโหว่ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้กระมัง”
“มิผิด” เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของอาจารย์เต๋าหยวนมู่ดูดีขึ้นมาบ้าง “แต่ไม่ทราบว่าสิ่งที่พวกเขาใช้เป็นหนทางอะไร?”
“เรียบง่ายมากเจ้าค่ะ” โม่เทียนเกอพูด “ป้ายคำสั่งเบิกห้องคลัง”
……………….
ตอนที่ 470 – ตำแหน่งป้ายคำสั่ง