หนึ่งเซียนยากเสาะหา (Lady Cultivator) - ตอนที่ 467 กฎการแบ่งสรร
ตอนที่ 467 – กฎการแบ่งสรร
แสงของม่านพลังเคลื่อนย้ายสว่างขึ้น ทิวทัศน์เบื้องหน้าแปรเปลี่ยน โม่เทียนเกอยังไม่ทันได้มองสภาพแวดล้อมโดยรอบก็สัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าฟันอันหนาวเหน็บแล้ว
“ชิ้ง! ชิ้ง!” ดังหลายครั้ง โล่ป้องกันพลังวิญญาณบนร่างสกัดอะไรบางอย่างเอาไว้ คลื่นพลังวิญญาณอันรุนแรงพุ่งโจมตีเข้ามา นางติดเครื่องรางในมือลงบนร่างทันที
แสงสีทองสว่างขึ้น พลังวิญญาณรอบกายเสถียรขึ้นช้า ๆ
ต่อมา ดาบธนูซึ่งเกิดจากพลังวิญญาณที่เปลี่ยนรูปหายไป พายุหมุนอันรุนแรงโหมขึ้นรอบด้าน ลูกเห็บขนาดใหญ่ถล่มลงมา
ฉินซียกมือ ลำแสงสีแดงเพลิงในมือรวมตัว ลูกเห็บสัมผัสกับแสงสีแดงก็พากันละลาย หายไป
สถานการณ์ประเภทนี้คงอยู่ไปหนึ่งชั่วก้านธูปจึงได้ยุติ
ทั้งสองคนก้าวออกจากม่านพลังเคลื่อนย้าย พอเงยหน้า เบื้องหน้าสายตายังคงเป็นราชวังอันสร้างด้วยศิลาวิญญาณธาตุน้ำแข็งอันขาวสล้างทั้งหลัง ประตูหยกหลังคาปีกนก ตั้งตระหง่านอย่างภาคภูมิ ประตูตำหนักแขวนป้ายไว้สูง เขียนตัวอักษรโบราณว่า “ศาลาเก็บคัมภีร์” สามคำ
สิ่งที่แปลกประหลาดคือ มิติที่ศาลาเก็บคัมภีร์นี้ตั้งอยู่ดูเหมือนจะเป็นเอกเทศจากทั้งหมด โม่เทียนเกอเงยหน้ามองโดยรอบ ค้นพบว่าราชวังปกคลุมด้วยพลังวิญญาณไปทั่ว ปิดกั้นจิตหยั่งรู้ มองด้วยตาเปล่ามองไม่เห็นทิวทิศน์โดยรอบ ราวกับว่าไกลยิ่งแต่ก็ราวกับไม่มีอะไรเลย
“หึ!” ขณะกำลังสำรวจรอบด้าน โม่เทียนเกอได้ยินเสียงหึเย็นชาคำหนึ่ง พอหันหน้ามอง กลับเป็นประมุขมารกุ่ยฟาง จับจ้องพวกเขาสองคนด้วยสีหน้าค่อนข้างไม่เป็นมิตร
นางจึงได้ค้นพบว่าสถานการณ์พิลึกอยู่บ้าง
ก่อนหน้าพวกเขา คนอีกสี่กลุ่มเข้ามาแล้ว ขณะนี้ล้วนทุลักทุเลอยู่บ้าง เจดีย์หลิงหลงในมืออาจารย์เต๋าหยวนมู่ไหม้ดำเป็นปื้น เส้นผมของอาจารย์เต๋าเถี่ยเมี่ยนถูกเผาไหม้ไปหน่อย หลิงซื่ออวี่ยิ่งแม้แต่หนวดเครายังรักษาไว้ไม่ได้ บนเสื้อผ้าทั้งสี่คนเต็มไปด้วยรอยไหม้เป็นหย่อม ๆ ที่สามารถรักษาเสื้อผ้าให้มีสภาพดีคาดว่าเป็นเพราะวัสดุพิเศษ บัณฑิตอวี๋และหานซื่อจือก็ไม่ได้ดีกว่าสักแค่ไหน พวกเขาสองคนเป็นบัณฑิต ยามปกติใส่ใจรูปลักษณ์กิริยาสง่างาม แต่ตอนนี้กลายเป็นกิริยาอเนจอนาถ ตลอดทั้งตัวเปรอะเปื้อน เสื้อผ้าไม่สมบูรณ์ ประมุขมารกุ่ยฟางและหยางเฉิงจีดีกว่าหน่อย แต่ก็ไร้ความสง่างามของผู้สูงส่งเช่นกัน มีเพียงอู๋หมิงเจินเจ่อที่ดูจะได้รับผลกระทบไม่มาก ปัดวัชพืชบนเสื้อผ้าคืนสู่สภาพดังเดิมโดยเร็ว
โม่เทียนเกอแอบหัวเราะ ไม่ต้องถามนางก็รู้ว่าเป็นเรื่องอันใด ฝูเหยาจื่อพูดว่า ศาลาเก็บคัมภีร์นี้เป็นที่เก็บรวบรวมวิชาเวทของสำนัก มีเพียงศิษย์ของสำนักจึงเข้าไปได้ ดังนั้น ผู้ฝึกตนที่ผ่านม่านพลังเคลื่อนย้ายเข้าไปทั้งหมดล้วนควรจะมีป้ายประจำตนบนตัว หากมีป้ายประจำตน ม่านพลังสังหารอันนี้จะไม่ถูกกระตุ้นขึ้น แต่พวกเขาไม่มี เช่นนั้นแล้ว ขอเพียงเหยียบไปบนพื้นดินในศาลา ม่านพลังสังหารก็จะเปิดใช้งานทันที
แต่ว่า สมัยก่อนตอนที่วังเซียนยังไม่ถูกทิ้งร้าง ในศาลาเก็บคัมภีร์จะมีศิษย์เฝ้าดู ดังนั้นไม่ได้สังหารจนสิ้นซาก ทว่าเหลือโอกาสรอดชีวิตสายใยหนึ่ง
ในกฎสำนักของสำนักจำนวนมาก สถานที่สำคัญอย่างศาลาเก็บคัมภีร์นี้ไม่อนุญาตให้ศิษย์ใช้อาวุธเวท ถึงขนาดที่ยังจะใช้วิธีการบางอย่างทำให้อาวุธเวทสูญเสียประสิทธิภาพชั่วคราว ด้วยเหตุนี้ หากม่านพลังสังหารเคลื่อนไหว ผู้ที่มาใช้อาวุธเวทจะนำไปสู่การสังหารอย่างไม่ปรานีสักนิด ทว่าขอเพียงไม่ใช้อาวุธเวท พลังอำนาจก็จะลดลงอย่างมาก ศิษย์ที่เฝ้าดูสามารถปิดม่านพลังสังหารอย่างทันท่วงที ป้องกันศิษย์ที่เผอเรอไปชั่วขณะเอาชีวิตไปทิ้ง
ด้านบนเป็นการคาดเดาของฝูเหยาจื่อ แต่ว่าสมเหตุสมผล คาดว่าเรื่องราวก็เป็นอย่างนี้ล่ะ
เพียงแต่ คนอื่นไม่เคยประสบพบพาน ก็ย่อมจะไม่ทราบจุดนี้ ถึงจะไม่ถึงแก่ชีวิต แต่จะมากจะน้อยก็ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
อาจารย์เต๋าหยวนมู่สีหน้าเย็นเยียบ เอ่ยเสียงขรึมว่า “สหายน้อยโม่คงมิใช่จงใจกระมัง?”
โม่เทียนเกอย่อมรู้ว่าเขาเอ่ยถึงอะไร แต่ถามกลับด้วยสีหน้าประหลาดใจว่า “วาจานี้ของผู้อาวุโสหมายความว่าอะไรเจ้าคะ”
ประมุขมารกุ่ยฟางร้องหึคำหนึ่ง กล่าวว่า “ไม่อย่างนั้น พวกเจ้าสองคนทำไมปลอดโปร่งขนาดนี้? เหตุใดไม่เตือนพวกข้าล่วงหน้า?”
โม่เทียนเกอยิ่งประหลาดใจ “ม่านพลังนี้ไม่ได้ร้ายกาจอันใดเลย ต้องพูดอะไรหรือเจ้าคะ”
ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทั้งหลายตะลึง ถึงกับตอบไม่ได้ไปชั่วขณะ พูดกันขึ้นมาจริง ๆ ม่านพลังสังหารอันนี้ไม่ได้ร้ายกาจอันใดจริง ๆ หากเตรียมการไว้ก่อนจะผ่านด่านไปได้อย่างปลอดโปร่ง แต่จะพูดว่าไม่ร้ายกาจ แล้วพวกเขาทำไมถึงทุลักทุเลขนาดนี้? ม่านพลังนี้เจอแข็งจะแข็ง เจออ่อนจะอ่อน พวกเขาพอเห็นว่ามีอันตรายก็ใช้อาวุธเวทออกมาส่งเดช ผลคือชักนำให้ม่านพลังนี้โจมตีลงมาอย่างคลุมฟ้าคลุมดิน ด้วยฝีมือของพวกเขาผู้ฝึกตนใหญ่ชั้นสูงสุด แม้ว่าจะไม่ถึงกับตกตายอยู่ที่นี่ แต่ก็มิใช่จะหลุดพ้นไปได้อย่างง่ายดาย อู๋หมิงเจินเจ่อดีหน่อย เพราะว่าวิชาเวทสำนักพุทธของเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับอาวุธเวทอย่างคนอื่น
แต่ถ้าให้พวกเขายอมรับว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับโม่เทียนเกอ — ตลกแล้ว จะยอมเสียหน้าได้อย่างไร?
“สหายเต๋าทุกท่าน” ท้ายที่สุดยังเป็นอู๋หมิงเจินเจ่อออกมาไกล่เกลี่ย “พวกเราเข้าภูเขาสมบัติแล้ว หรือว่ายังจะมาเสียเวลากันอยู่ที่นี่?”
เมื่อได้ฟังวาจานี้ สีหน้าของอาจารย์เต๋าหยวนมู่และพวกจึงได้ผ่อนคลายลงในที่สุด ทรัพย์สมบัติอยู่ตรงหน้า ยังคงเป็นวาสนาที่สำคัญกว่า
ประมุขมารกุ่ยฟางมองดูศาลาเก็บคัมภีร์หลังนี้ ถามว่า “สหายน้อยโม่ ที่นี่ยังมีความเร้นลับอะไร”
โม่เทียนเกอส่ายหน้า ตอบว่า “ผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อพูดว่า สถานที่เก็บวิชาเวทขั้นสุดยอดพวกนั้น พวกเราไม่ต้องไปคิดแล้ว สำนักใหญ่โบราณกาลนี้อาจจะมีผู้ฝึกตนระดับมหายาน สถานที่เหล่านั้นมิใช่สิ่งที่พวกเราสามารถเข้าไปได้ สำหรับสถานที่เก็บวิชาเวทแปลงเทพลงมา กำแพงอาคมภายนอกกำจัดไปแล้วจึงไม่มีอันตรายอะไร พวกเราสามารถดำเนินการตามความสามารถของตนเอง”
“อ้อ?” อาจารย์เต๋าหยวนมู่ลูบเครา ถามว่า “พูดอย่างนี้ ถัดจากนี้พวกเราสามารถต่างคนต่างพึ่งพาความสามารถตนไปเสาะหาวิชาเวทแล้ว?”
“มิผิด”
อาจารย์เต๋าหยวนมู่กับอาจารย์เต๋าเถี่ยเมี่ยนแลกเปลี่ยนสายตากัน แล้วมองไปที่บัณฑิตอวี๋และพวก “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็เข้าไปเถอะ”
ทุกผู้คนย่อมไม่คัดค้าน เข้าไปในศาลาเก็บคัมภีร์ด้วยกัน
อย่างน้อยที่สุดก็เป็นแสนกว่าปีที่ไร้คนดูแล ราชวังหลังนี้อันที่จริงทรุดโทรมไปบ้างแล้ว โต๊ะเก้าอี้วางระเกะระกะ ไม่มีตัวไหนที่ยังสมบูรณ์ ทุกที่มีแต่ฝุ่น แทบไม่มีที่ให้หยั่งเท้า เพียงแต่ว่า เนื่องจากพลังวิญญาณอันเข้มข้นที่นี่ ทั้งดูเต็มไปด้วยปราณเซียน ทั้งดูสภาพอันทรุดโทรมไม่ออก
ทุกผู้คนเงยหน้ามองโดยรอบ โถงใหญ่ของศาลาเก็บคัมภีร์กว้างขวางยิ่ง รองรับคนหลายร้อยยังเหลือ ๆ ด้านหน้ามีโต๊ะเก้าอี้ น่าจะเป็นที่ของศิษย์ผู้ดูแลของศาลาเก็บคัมภีร์ กึ่งกลางตั้งรูปปั้นประดับ คนหลายคนกวาดมองหนึ่งทีคร่าว ๆ ค้นพบว่ามิใช่อาวุธเวทจึงผ่านเลยไป นอกจากนี้ก็คือม่านพลังเคลื่อนย้ายหลายอันที่ตั้งเรียงอยู่ด้านล่างสุด
ม่านพลังเคลื่อนย้ายเหล่านี้ล้วนยังสมบูรณ์ดี ไม่ทราบเก็บรักษาไว้ดีมากมาโดยตลอดหรือว่าผู้อาวุโสห้าปราชญ์ในปีนั้นซ่อมแซม แต่บนนั้นมืดหม่นไร้แสง น่าจะใช้ศิลาวิญญาณหมดแล้ว
ตามบันทึกแผ่นหยกของผู้ดูแล ม่านพลังเคลื่อนย้ายหลายอันนี้ ตำแหน่งที่เคลื่อนย้ายล้วนเป็นที่เก็บวิชาเวท เพียงจำแนกเป็นประเภทไม่เหมือนกัน แบ่งเป็นทักษะเวทห้าธาตุ, แก่นแท้การฝึกตน, เต๋าแห่งผู้ฝึกยุทธ์, วิชาเบ็ดเตล็ดโอสถอุปกรณ์, บันทึกประสบการณ์ ส่วนอันไหนเป็นอันไหนไม่ได้เขียนให้ชัดเจน
ทุกคนมองกันและกัน อาจารย์เต๋าหยวนมู่เอ่ยปากก่อนว่า “สหายน้อยโม่ ที่นี่ไม่มีอะไรที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษกระมัง?”
โม่เทียนเกอส่ายหน้า “ข้างในนี้มีแต่กำแพงอาคมคุ้มครอง ถึงแม้จะเข้าผิดก็ไม่เป็นไร”
อาจารย์เต๋าหยวนมู่พยักหน้า ศาลาเก็บคัมภีร์เป็นสถานที่สำคัญของสำนัก ตอนที่สำนักคงอยู่ย่อมจะมีศิษย์เฝ้าดู ขอเพียงแตะต้องกำแพงอาคมก็จะถูกค้นพบ แต่ตอนนี้วังเซียนนี้ร้างแล้ว พวกเขาจะแตะต้องตามใจชอบอย่างไรล้วนจะไม่มีคนมาขับไล่พวกเขาออกไป ขอเพียงไม่มีอันตรายก็พอแล้ว
“เช่นนั้นพวกเราก็ตามใจชอบเลย?” หลิงซื่ออวี่ถาม
“เดี๋ยว” บัณฑิตอวี๋เปล่งเสียงขัดขวาง “สหายเต๋าทุกท่าน ตลอดทางมานี้พวกเราร่วมมือกันเพื่อเป้าหมายเดียว บัดนี้วาสนาอยู่ตรงหน้า ควรจะตั้งกฎหรือไม่”
ประมุขมารกุ่ยฟางถามเสียงขรึมว่า “วาจานี้ของสหายเต๋าอวี๋หมายความว่าอะไร”
“ไม่ได้หมายความว่าอะไร” บัณฑิตอวี๋เอ่ยอย่างเฉยเมย “เพียงแต่ว่า เอ่ยวาจาน่าเกลียดก่อน พวกเราขณะนี้ถึงจะเป็นพันธมิตร แต่ใครก็ไม่สามารถไว้วางใจผู้อื่นอย่างสมบูรณ์ เรื่องทุกอย่างพูดกันให้ชัดเจนถึงจะดี”
อาจารย์เต๋าหยวนมู่ขบคิดชั่วครู่ พยักหน้าเอ่ยว่า “มิผิด วาจานี้ของอวี๋เซียนเซิงมีเหตุผล”
บัณฑิตอวี๋มองประมุขมารกุ่ยฟาง เห็นเขาไม่ได้พูดจาอีกจึงกล่าวต่อว่า “ที่นี่พอดีมีม่านพลังเคลื่อนย้ายห้าอัน พวกเราแบ่งเป็นห้าฝ่าย หนึ่งฝ่ายเข้าหนึ่งอัน ไม่ยุ่งเกี่ยวกันและกัน เป็นอย่างไร”
ประมุขมารกุ่ยฟางหรี่ตา เอ่ยเสียงเย็นว่า “สหายเต๋าอวี๋ มองผิวเผิน หนึ่งฝ่ายหนึ่งอัน นี่ยุติธรรมมาก แต่ว่า เนื้อหาวิชาเวทข้างในไม่คล้ายคลึงกันอย่างมาก ที่เก็บวิชาเบ็ดเตล็ดจะสามารถเปรียบกับทักษะเซียนห้าธาตุได้หรือไร”
“ย่อมไม่สามารถเทียบได้” บัณฑิตอวี๋อล่าวอย่างสงบนิ่ง “แต่ว่า พวกเรามีโอกาสอย่างเท่าเทียม เลือกได้อะไรล้วนเป็นวาสนา หากอันที่เลือกไม่มีประโยชน์ ได้แต่โทษที่ตนเองโชคไม่ดี”
“แต่ว่า……”
“สหายเต๋ากุ่ยฟาง!” บัณฑิตอวี๋ถามอย่างเคร่งขรึม “สมมติว่าพวกเขาเข้าไปด้วยกัน วิชาเวทอยู่ตรงหน้า จะสามารถรักษาการอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองได้จริง ๆ หรือ”
ประมุขมารกุ่ยฟางสีหน้าตะลึง ปิดปากไม่เอ่ยคำ
บัณฑิตอวี๋พูดไม่ผิด สมบัติอยู่ตรงหน้า ขณะนี้หากยังรวมกลุ่มกัน วิชาเวทมีดีมีแย่ เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีข้อพิพาท ถึงเวลาก็จะเป็นใครแข็งแกร่งคนนั้นพูดถึงจะนับ อย่างนั้น……
สายตาของพวกเขาสองคนล้วนหันไปทางคนสำนักจิ่วเยี่ยน
อาจารย์เต๋าหยวนมู่ย่อมฟังเข้าใจแล้ว ตีหน้านิ่ง กล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “สหายเต๋าทั้งหลายคำนวณเสร็จแล้ว เหล่าฟูยังจะสามารถพูดอะไรได้?” ถึงแม้ว่าในคนห้าฝ่าย พวกเขาสำนักจิ่วเยี่ยนแข็งแกร่งที่สุด แต่คนอื่นร่วมมือกันกลับจะเอาชนะพวกเขา
บัณฑิตอวี๋ยิ้ม ๆ ไม่ได้พูดอะไร เขากับอาจารย์เต๋าหยวนมู่ถึงจะมีความสัมพันธ์อันดี แต่เวลาเช่นนี้ย่อมจะร่วมมือกับคนอื่นควบคุมสำนักจิ่วเยี่ยน
“สิ่งที่อวี๋เซียนเซิงพูดมีเหตุผล” อู๋หมิงเจินเจ่อที่ไม่เคยแสดงความคิดเห็นอันใดมาโดยตลอดเอ่ยปาก “พวกเราเข้าวังเซียนนี้เพื่อเสาะหาวาสนา ยังคงป้องกันข้อพิพาทไว้เป็นดี อีกอย่าง พวกเราฝึกตนมาถึงขอบเขตทุกวันนี้ วิชาเวทสามารถสร้างขึ้นเองได้แต่แรกแล้ว ถึงแม้จะได้รับวิชาเวทที่ดีกว่าก็ไม่สามารถฝึกซ้ำ ก็แค่เป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลังเท่านั้นเอง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยจะต้องต่อรองกันทุกเม็ด?”
เมื่อได้ฟังวาจานี้ สีหน้าของอาจารย์เต๋าหยวนมู่ผ่อนคลายลงช้า ๆ มิผิด ถึงจะพูดว่าวิชาเวทชั้นสูงสำหรับพวกเขามีประโยชน์มาก แต่โอกาสที่จะเลื่อนขึ้นแปลงเทพไม่ได้มากเลย ผลประโยชน์นี้ยังไม่เพียงพอให้พวกเขาเหล่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายฉีกหน้ากัน
เขาเป่าลมหายใจคำหนึ่ง เอ่ยเสียงเนิบว่า “ก็ได้ เหล่าฟูก็เห็นด้วย แต่ว่า……” สายตาของเขาหันไปที่พวกโม่เทียนเกอสองคน “ทุกท่านลืมไปแล้วหรือไม่ว่าสหายน้อยโม่คนนี้เป็นข้อยกเว้น!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงเจตนาสังหารที่เขาเผยออกมา พลังสภาวะบนร่างฉินซีเย็นขึ้นมา ขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ยืนอยู่เบื้องหน้าโม่เทียนเกอ
อาจารย์เต๋าหยวนมู่โบกมือ เอ่ยว่า “สหายเต๋าฉินอย่าเข้าใจผิด เหล่าฟูไม่ได้มีความหมายอื่น เพียงแต่ พวกข้าเหล่านี้ไม่ทราบว่าม่านพลังเคลื่อนย้ายพวกนี้สรุปแล้วนำไปสู่ห้องสมุดไหน แต่สหายน้อยโม่มีจิตหยั่งรู้ของผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อช่วยเหลือ กลับทราบ……”
โม่เทียนเกอหัวเราะเบา ๆ คำหนึ่ง เอ่ยอย่างเบาสบายว่า “นี่มีอันใดยาก? จับฉลากหรือไม่ก็ให้พวกท่านเลือกก่อน มิใช่ได้แล้วหรือ?”
……………….
ตอนที่ 468 – ผลรับเหนือคาด