หนึ่งเซียนยากเสาะหา (Lady Cultivator) - ตอนที่ 466 ทำลายอาคม
ตอนที่ 466 – ทำลายอาคม
ไข่มุกเทพต้องห้ามสูญเสียประสิทธิภาพ อาจารย์เต๋าหยวนมู่สีหน้ามืดมนเป็นครึ่งค่อนวัน
ไม่เหมือนกันบันทึกไร้นาม ไข่มุกเทพต้องห้ามเป็นสมบัติวิญญาณของแท้ชิ้นหนึ่ง กุยเจินเต้าเสิ้งสืบทอดลงมาด้วยตัวเอง บูชาอยู่ที่สำนักจิ่วเยี่ยนมาหลายหมื่นปี ถึงแม้ว่าแสนปีมานี้ สำนักจิ่วเยี่ยนมีผู้ฝึกตนที่โดดเด่นเลิศล้ำจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ไม่มีสมบัติวิญญาณที่สืบทอดมาสักชิ้นที่มีณานศักดิ์สิทธิ์เหนือกว่าไข่มุกเทพต้องห้าม
ถึงตอนท้าย อาจารย์เต๋าหยวนมู่ถอนหายใจอย่างจนแต้ม ส่งไข่มุกเทพต้องห้ามคืนให้หลิงอวิ๋นเฮ่อ เอ่ยว่า “สหายเต๋าทุกท่าน กำแพงอาคมนี้เหนือธรรมดา เหล่าฟูก็คิดหนทางไม่ออกในขณะนี้”
ประมุขมารกุ่ยฟางเหลือบมอง เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “เปิ่นจวินรู้เกี่ยวกับเต๋าแห่งม่านพลังน้อยนิด การหาวิธีทำลายนี่เกรงว่าจะสอดมือไม่ได้ แต่ว่า หากมีสิ่งที่ต้องการให้เปิ่นจวินออกแรง ย่อมจะทำสุดกำลัง”
อู๋หมิงเจินเจ่อยิ้มแย้ม มองไปทางบัณฑิตอวี๋ “เช่นนี้ ได้แต่รบกวนอวี๋เซียนเซิงแล้ว”
บัณฑิตอวี๋สีหน้าเคร่งขรึม พยักหน้าเอ่ยว่า “จะทำสุดกำลังแล้วกัน”
พวกเขาเหล่านี้ไม่มีอาจารย์ม่านพลังโดยเฉพาะสักคน แต่ว่า ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาเหล่าผู้ฝึกตนใหญ่ที่ย่ำอยู่กับที่ตรงจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายมาหลายร้อยปีหรือแม้กระทั่งนับพันปี กว่าครึ่งเชี่ยวชาญวิชาเบ็ดเตล็ด ถึงขนาดที่ว่าระดับสูงกว่าอาจารย์ม่านพลังทั่วไปเสียอีก ไม่จำเป็นต้องพาอาจารย์ม่านพลังมาเพิ่มเลย โดยเฉพาะบัณฑิตอวี๋ เขาเดิมเป็นนักปราชญ์ขงจื้อ ความรู้เกี่ยวกับเต๋าแห่งม่านพลังยิ่งลึกล้ำ เรื่องนี้ย่อมปล่อยให้เขาดำเนินการ
เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ฝึกตนใหญ่จิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายเหล่านี้ โม่เทียนเกอรู้สึกว่าตนเองไม่จำเป็นต้องอวดตัว ก็เลยไม่ได้พูดจา เพียงมองอยู่ด้านข้าง
บัณฑิตอวี๋ล้วงเข็มทิศ, ธงม่านพลังและอื่น ๆ ออกมา เริ่มตรวจสอบรอบด้าน กำหนดอินหยางห้าธาตุ
กำแพงอาคมวิชาม่านพลังใด ๆ แม้แต่มหาม่านพลังปฐมกาลล้วนใช้สิ่งนี้เป็นรากฐาน ไม่มีข้อยกเว้นอันใด ดังนั้น อาจารย์ม่านพลังคนหนึ่งเผชิญหน้ากับมหาม่านพลังที่แปลกหน้า เรื่องอันดับแรกที่จะทำล้วนเป็นการกำหนดอินหยางห้าธาตุ
กระบวนการนี้ต้องกระทำนานมาก โม่เทียนเกอก็เลยล้วงเข็มทิศและวัตถุทำลายม่านพลังของตนเองออกมา สังเกตอินหยางห้าธาตุ
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ เจวี๋ยอู้ถามมาหนึ่งประโยคอย่างใคร่รู้ว่า “ประสกโม่ ท่านก็เข้าใจวิชาม่านพลังหรือ”
โม่เทียนเกอผงกศีรษะ ตอบอย่างถ่อมตนว่า “รู้อย่างสองอย่าง ไม่กล้าออกตัวให้คนหัวเราะเยาะ”
เมื่อได้ยินการสนทนาของพวกเขา อาจารย์เต๋าเถี่ยเมี่ยนที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดเหลือบตามาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่มองอย่างค่อนข้างจริงจังอยู่พักหนึ่ง กล่าวว่า “สหายน้อยโม่ถ่อมตัวเกินไปแล้ว ดูสมบัติหลายชิ้นนี้ในมือเจ้า ความสำเร็จของวิชาม่านพลังไม่ต่ำทรามกระมัง”
โม่เทียนเกอมองอาจารย์เต๋าเถี่ยเมี่ยนแวบหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ แต่ยังคงแค่ยิ้มหนึ่งที กล่าวว่า “ความสำเร็จวิชาม่านพลังของผู้เยาว์สูงอีกแค่ไหน เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสทุกท่านก็เป็นสิ่งที่หยิบมาลงมือไม่ได้ เพียงฉวยโอกาสเรียนรู้จากผู้อาวุโสอวี๋สักหน่อยเท่านั้นเจ้าค่ะ”
อาจารย์เต๋าเถี่ยเมี่ยนพยักหน้านิด ๆ ไม่พูดอะไรอีก เลื่อนสายตาออกไป
ด้วยอายุของโม่เทียนเกอ แม้ว่าจะมีพรสวรรค์ด้านวิชาม่านพลังอีกแค่ไหนก็ยากมากที่จะเทียบเคียงกับพวกเขาเหล่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย เขาเพียงค่อนข้างรู้สึกเหนือคาด คิดไม่ถึงว่าผู้เยาว์คนนี้อายุน้อยขนาดนี้ ระดับการฝึกตนอยู่ห่างจากจิตวิญญาณใหม่เพียงก้าวเดียว แล้วยังจะถึงกับเชี่ยวชาญวิชาม่านพลัง เป็นต้นกล้าที่สามารถปลูกฝังได้โดยแท้ น่าเสียดาย เห็นได้ชัดว่านางมาจากสำนักใหญ่หรือตระกูลใหญ่ เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกสำนักจิ่วเยี่ยนรับตัว
โม่เทียนเกอถือเข็มทิศที่สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะของตนเอง บันทึกอินหยางห้าธาตุที่สังเกตได้ทีละรายการลงในแผ่นหยก ฉินซีเฝ้ามองด้วยความสนใจยิ่งอยู่ด้านข้าง ตัวเขาเองค่อนข้างเชี่ยวชาญวิชาเบ็ดเตล็ด ด้านการหลอมยาหลอมอุปกรณ์มีพรสวรรค์สูงยิ่ง ทักษะการสร้างเครื่องรางเริ่มศึกษาตั้งแต่ก่อเกิดตาน ตอนนี้ก็มีระดับประมาณหนึ่ง แต่เต๋าแห่งม่านพลังนี่เพียงเข้าใจคร่าว ๆ ทั้งเป็นเพราะไม่มีความสนใจมากเกินไปแล้วก็ไม่มีเวลาจะเรียนรู้ บังเอิญว่าสิ่งที่เขาไม่เก่ง พอดีเป็นสิ่งที่โม่เทียนเกอเก่งที่สุด ไม่รู้จริง ๆ ว่าควรจะพูดว่าเป็นคู่สวรรค์สร้างหรือไม่
เห็นหัวคิ้วของโม่เทียนเกอยิ่งขมวดยิ่งแน่น เขาอดถามมิได้ว่า “ทำไม ยากขนาดนี้เลยหรือ”
โม่เทียนเกอกำลังท่องพึมพำอยู่ในปาก เมื่อได้ยินคำถามของเขาก็หยุดลงชั่วครู่ เลิกคิ้ว “ท่านดูผู้อาวุโสอวี๋เขายังเป็นอย่างนั้น อย่าว่าแต่ข้าเลย?”
ฉินซีเงยหน้ามอง ตามนั้น บัณฑิตอวี๋ก็ขมวดคิ้วแน่น ในปากท่องอะไรไร้เสียง ทั้งสองคนสีหน้าเหมือนกันทุกประการ
เขาอดส่ายหน้ายิ้มไม่ได้ ปรับลมหายใจรออยู่ด้านข้าง
ผ่านไปครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอกลับถามเขาว่า “จริงด้วย ตะเกียงกำหนดคีรีอันนั้นของท่านเล่า?”
ตะเกียงกำหนดคีรีเป็นอาวุธเวทชิ้นหนึ่งของฉินซี เป็นสิ่งที่เขาได้มาจากสถานที่ลับแห่งหนึ่งในช่วงแรกเริ่ม มีประสิทธิภาพทำลายอาคมอันน่ามหัศจรรย์ แต่ว่า ในเมื่อแม้แต่ไข่มุกเทพต้องห้ามยังไม่มีประโยชน์ คิดว่าตะเกียงกำหนดคีรีก็ยากมากที่จะมีประสิทธิผลกระมัง
ถึงจะคิดอย่างนี้ ฉินซียังคงหยิบอาวุธเวทออกมา “ทำไม มีประโยชน์หรือ”
โม่เทียนเกอไม่ได้ตอบ รับตะเกียงกำหนดคีรีมามองครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “เหมือนกับว่า……ตะเกียงกำหนดคีรีนี้กับกำแพงอาคมนี้ สิ่งที่ใช้เป็นรูปแบบม่านพลังประเภทเดียวกัน!”
พวกเขาสองคนไม่ได้ใช้อาณาเขตกั้นเสียง แล้วก็ไม่ได้จงใจหลบเลี่ยงคนอื่น เมื่อได้ยินเสียงนี้ บัณฑิตอวี๋หันควับมา จับจ้องพวกเขา
โม่เทียนเกอไม่ว่างจะสนใจเขา หยั่งจิตสัมผัสเข้าไปอีกรอบ หลับตา สำรวจความเร้นลับในนั้นโดยละเอียด
ผ่านไปพักหนึ่ง นางผ่อนลมหายใจออกมาคำหนึ่ง เงยหน้ามองไปทางบัณฑิตอวี๋ ยกตะเกียงกำหนดคีรีในมือขึ้น “ผู้อาวุโสอวี๋ วัตถุนี้อาจจะมีส่วนช่วยเหลือต่อการทำลายอาคมเจ้าค่ะ”
บัณฑิตอวี๋รอประโยคนี้ของนางแต่แรกแล้ว ขณะนี้ก็ไม่เกรงใจ ขึ้นหน้าไปรับมา พยักหน้าขอบคุณทั้งสองคนรีบ ๆ
บัณฑิตอวี๋มีอายุไปถึงพันปี การหมกมุ่นอยู่กับเต๋าแห่งวิชาม่านพลังว่ากันอย่างน้อย ๆ ก็เป็นหลายร้อยปี ความสำเร็จวิชาม่านพลังเทียบกับโม่เทียนเกอมีแต่ดีกว่าไม่มีด้อยกว่า ขณะนี้รับตะเกียงกำหนดคีรีไปแล้วก็ยุ่งอยู่กับการหยั่งจิตหยั่งรู้ เพียงครู่หนึ่ง หัวคิ้วที่ขมวดแน่นก็คลายออก
คนอื่น ๆ ในขณะนี้ล้วนกังวลสนใจ เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ อาจารย์เต๋าหยวนมู่ถามอย่างห่วงกังวลว่า “อวี๋เซียนเซิง วัตถุนี้มีส่วนช่วยต่อการทำลายอาคมจริงหรือ”
บัณฑิตอวี๋ไม่ได้ตอบ เขาเหมือนกับจะจมดิ่งเข้าไปแล้ว บนใบหน้าประเดี๋ยวตระหนักรู้โดยพลัน ประเดี๋ยวงุนงง
แต่นี่ไม่ได้ดำเนินไปนานจนเกินไปเลย ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาเริ่มจดบันทึกอะไรลงไปบนแผ่นหยกอีกครั้ง แต่ว่า ความเร็วในครั้งนี้เร็วขึ้นมาก
สังเกตเข็มทิศต่อไปครู่หนึ่ง ตรวจสอบตะเกียงกำหนดคีรีครู่หนึ่ง จดบันทึกครู่หนึ่ง เวลาหลายชั่วยามผ่านไป บัณฑิตอวี๋ในที่สุดเก็บเข็มทิศ ผ่อนคลายหัวคิ้วหน้าตา “ในที่สุดก็นับว่าสำเร็จแล้ว”
คนอื่น ๆ ล้วนดีใจ มองไปทางเขา
บัณฑิตอวี๋แจ่มใสคึกคัก คืนตะเกียงกำหนดคีรีให้ฉินซี พร้อมกันนั้นก็แย้มยิ้มให้โม่เทียนเกอเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน “ต้องขอบคุณสหายน้อยโม่มาก หากมิใช่เจ้าค้นพบจุดนี้ เกรงว่ายังต้องเสียเวลาอีกมากมายจึงจะสามารถหาประตูเจอ”
โม่เทียนเกอยิ้ม ๆ “ผู้อาวุโสอวี๋เกรงใจแล้ว”
เมื่อหาหลักการของกำแพงอาคมเจอ การทำลายก็ไม่ใช่เรื่องยากอีก มีอาวุโสจิตวิญญาณใหม่อยู่หลายคน ไม่ถึงคราวให้โม่เทียนเกอกังวลใจโดยสิ้นเชิง นางเพียงต้องดูอยู่ด้านข้างก็พอ
“โชคช่วยจริง ๆ” ฝูเหยาจื่อร้องหึคำหนึ่ง
เมื่อได้ยินน้ำเสียงไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งของเขา โม่เทียนเกอขำ “ซือฟุ อันที่จริงท่านจงใจไม่เตือน ให้พวกเขายุ่งหัวปั่นอยู่ที่นี่กระมังเจ้าคะ?”
ฝูเหยาจื่อพูดอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “แล้วอย่างไรเล่า เหวยซือเห็นพวกเขาทั้งกลุ่มไม่รื่นตา”
โม่เทียนเกออดยิ้มไม่ได้ ยิ้มเสร็จก็กล่าวว่า “เดิมทีรู้สึกว่าซือฟุท่านมีสติเกินไป ตอนนี้จึงได้ทราบว่า ที่แท้ซือฟุก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง!”
“……” ฝูเหยาจื่อไร้คำพูดไปครึ่งค่อนวัน ไม่รู้ว่าโมโหหรือว่าไม่รู้จะพูดอะไร
โม่เทียนเกอกลับไม่ได้เถียงอย่างไม่เหมาะสม ถามอีกว่า “ซือฟุ เส้นทางที่เข้าสู่วังเซียนนั่นไม่ใช่ว่าเปิดได้เพียงสามวันหรือ ทำไมท่านยังอยากให้พวกเขาเสียเวลาเล่า หากล่าช้าอยู่ที่นี่นานเกินไป ไยมิใช่ไม่ดีสำหรับพวกเรา?”
“อันนี้ไม่มีอะไรให้กังวล” ฝูเหยาจื่อเอ่ย “แม้ว่ากำแพงอาคมนี้จะมีความสามารถฟื้นฟูตัวเอง ถึงที่สุดก็คงอยู่มาแสนกว่าปีแล้ว พลังอำนาจตกลงไปมากมาย ไม่ได้อยู่ช่วงรุ่งเรืองแล้ว อีกอย่าง พวกเขาจะพูดอย่างไรก็เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ชั้นสูงสุดของโลก ถึงเทียบกับพวกข้าห้าคนจะด้อยกว่าหน่อยก็ไม่ได้ด้อยกว่าไปถึงขนาดไหน ปีนั้นพวกข้าสามารถทำได้ พวกเขาก็ควรจะสามารถ”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวอีกว่า “เวลาไม่มากถึงจะดี พวกเราแยกทาง พวกเขารีบร้อนจะไปเสาะหาสมบัติตามข้อมูลที่บรรพจารย์ตกทอดลงมาก็จะไม่มีเวลามาใส่ใจว่าพวกเราทำอะไร”
“อ้อ ที่แท้เป็นเช่นนี้” โม่เทียนเกอเข้าใจแล้ว คนอื่นก็ย่อมมีเรื่องปิดบังส่วนตัว หากสามารถแยกกันไปเสาะหาสมบัติอย่างปลอดภัยไร้อันตราย คนอื่นก็ไม่มีเวลาจะมาก่อกวนพวกเขา ทว่าด้านการเสาะหาสมบัตินี่ นางมีฝูเหยาจื่อคนนี้อยู่ยิ่งครองความได้เปรียบ หากไม่มีอุบัติเหตุจะสำเร็จเร็วกว่าพวกเขาหนึ่งก้าว
ระหว่างที่พูด พวกเขาทำลายกำแพงอาคมแล้ว ครั้งนี้ไม่มีคนเรียกร้องให้โม่เทียนเกอเดินมาอยู่หัวขบวน นางจึงรั้งอยู่ท้ายแถวกับฉินซีสองคน
ทางภูเขาสองฝั่งคับแคบ เพียงอนุญาตให้คนสองคนเดินเคียงคู่กัน บัณฑิตอวี๋สังเกตอย่างระมัดระวังหนึ่งรอบ เอ่ยว่า “ไม่มีกำแพงอาคมอื่นแล้ว” คนอื่นจึงได้เหยียบย่างไปบนทางภูเขา
ระมัดระวังรอบคอบกันมาตลอดทาง คืบหน้าไปอย่างช้า ๆ เดินถึงสุดทางกลับเป็นม่านพลังหนึ่งอัน ม่านพลังนี้กับกำแพงอาคมก่อนหน้านี้ไม่เหมือนกัน เป็นเพียงแค่ม่านพลังเคลื่อนย้ายเท่านั้น ด้วยความสำเร็จวิชาม่านพลังของบัณฑิตอวี๋ คลำหาส่วนที่ขาดหายไปได้อย่างรวดเร็ว วางศิลาวิญญาณลงบนตำแหน่งที่ตรงกัน ซ่อมแซมกลับมา
รอจนม่านพลังเคลื่อนย้ายเปล่งแสงสว่าง คนหลายคนมองหน้ากัน กลับไม่มีสักคนพูดจา
สรุปว่าใครจะเข้าไปก่อน? คำถามนี้ยังไม่มีวิธีที่ดีจริง ๆ
ประการแรก เข้าไปอย่างนี้ก็ไม่รู้ว่ามีอันตรายหรือไม่ ประการที่สอง ที่นี่เป็นศาลาเก็บคัมภีร์ เป็นสถานที่เก็บวิชาเวทโดยเฉพาะ ใครจะรู้ว่าคนที่เข้าไปจะสามารถได้รับอะไรไปก่อนหรือไม่
“อมิตาพุทธ!” ผู้ที่อ้าปากพูดก่อนคืออู๋หมิงเจินเจ่อ เขายิ้มบาง ๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อสหายเต๋าทั้งหลายไม่มีหนทางตัดสินใจได้ในชั่วขณะ เช่นนั้นก็ให้พระเฒ่าเข้าไปเถอะ”
อาจารย์เต๋าหยวนมู่เพียงลังเลพริบตาเดียวแล้วถอยเปิดทางให้ “เหล่าฟูไม่คัดค้าน”
บัณฑิตอวี๋ขบคิดนิดหนึ่งแล้วก็พยักหน้าเช่นกัน
พวกเขาสองคนล้วนถอยให้ ประมุขมารกุ่ยฟางได้แต่ยอม “สหายเต๋าอู๋หมิงเชิญเถอะ” กลับเป็นท่าทีที่ไม่เต็มใจยิ่ง ระหว่างสายมารและสำนักพุทธ มีแค้นเก่าที่ทะเลกุยสวีในปีนั้นอยู่ก่อนหน้า อย่าว่าแต่พวกเขาสองคนยังเคยลงไม้ลงมือสู้กันเป็นการใหญ่
ฉินซีกับโม่เทียนเกอสองคนไม่เคยขึ้นไปข้างหน้าตั้งแต่ต้นจนจบ งดออกเสียงโดยปริยาย
อู๋หมิงเจินเจ่อประนมมือคารวะทุกคน พาเจวี๋ยอู้ขึ้นไปเหยียบม่านพลังเคลื่อนย้าย วางศิลาวิญญาณที่จะเปิดใช้งานม่านพลังเคลื่อนย้าย หายไปจากเบื้องหน้าทุกคน
หลังจากอู๋หมิงเจินเจ่อเข้าไป อาจารย์เต๋าหยวนมู่ไม่กระดากใจ คว้าสิทธิที่สอง สำนักจิ่วเยี่ยนเขาแข็งแกร่งที่สุด คนอื่นไม่อาจแก่งแย่ง ได้แต่ยอมให้ หลังจากนั้นเป็นบัณฑิตอวี๋พาหานซื่อจือไป ประมุขมารกุ่ยฟางราวกับไม่เต็มใจจะขัดแข้งกับคนอื่น เต็มใจยอม
ถึงตอนสุดท้าย ข้างนอกเหลือเพียงสี่คน ประมุขมารกุ่ยฟางออกปากถามว่า “สหายเต๋าฉิน ไม่ถือสาที่พวกข้าศิษย์อาจารย์จะอยู่ข้างหน้ากระมัง?”
ฉินซียิ้มบาง ๆ ส่ายหน้า ด้านระดับการฝึกตน เขาอยู่ลำดับต่ำสุดในหมู่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เหล่านี้ ควรจะ “ถ่อมตัว” สักหน่อยถึงจะถูก
รอจนร่างของคนอื่นหายไปหมดสิ้น เสียงของฝูเหยาจื่อดังขึ้นอีกรอบว่า “พวกเจ้าไม่มีป้ายประจำตน หลังจากเข้าไปจะมีม่านพลังสังหารขนาดเล็กหนึ่งอัน — ห้ามใช้อาวุธเวท ใช้เครื่องรางวิญญาณ!”
……………….
ตอนที่ 467 – ลำดับการแบ่งสรร