หนึ่งเซียนยากเสาะหา (Lady Cultivator) - ตอนที่ 464 ศพหลอมตามธรรมชาติ
ตอนที่ 464 – ศพหลอมตามธรรมชาติ
“นี่เรียบง่ายมาก” ฝูเหยาจื่อตอบ “เจ้ารู้ว่าพลังวิญญาณของธาตุเดียวกันส่งเสริมการฝึกตน เช่นนั้นก็ต้องรู้ว่า พลังวิญญาณที่ตรงกันข้ามสามารถถ่วงดุลวัฏจักรพลังวิญญาณภายในร่างกาย พร้อมกับกระตุ้นการดูดซับของพลังวิญญาณกระมัง”
โม่เทียนเกอตะลึงเล็กน้อย จากนั้นคิดถึงฉินซีกับตนเอง เป็นวิชาเวทหนึ่งอินหนึ่งหยางพอดี และเติมเต็มกันและกัน
“วังเซียนแห่งนี้ก็เป็นโบราณสถานของโบราณกาล ในยุคโบราณกาลยังมีโบราณสถานของปฐมกาลจำนวนมาก ดังนั้น พวกเขายึดถือเต๋าแห่งสมดุลเช่นกัน” ฝูเหยาจื่อเสริมมาหนึ่งประโยค
“……ที่แท้เป็นเช่นนี้” นางคิดแล้วถามอีกว่า “ซือฟุ พูดอย่างนี้ วิชาเวทที่หลงเหลือในวังเซียนนี้ไยมิใช่มีประโยชน์ต่อข้าถึงสิบส่วน”
“มิผิด เต๋าแห่งสมดุลที่สั่งสอนที่นี้ค่อนข้างมีประโยชน์ต่อพวกเราเลย” ฝูเหยาจื่อหัวเราะเบา ๆ คำหนึ่ง พูดอีกว่า “แน่นอนว่าศาสตร์แห่งต้นกำเนิดหลัก ๆ แล้วคงอยู่ในช่วงปฐมกาล ตอนโบราณกาลได้สาปสูญไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว วิธีฝึกเซียนสายหลักในเวลานั้นก็กลายมาเป็นแบบทุกวันนี้ สำนักโบราณกาลแห่งนี้น่าจะรับสมัครศิษย์ที่ครอบครองรากวิญญาณน้ำโดยเฉพาะ อย่างนี้จึงสามารถฝึกวิชาเวทธาตุน้ำแข็งได้”
โม่เทียนเกอคิดถึงสำนักเจิ้งฝ่าของธารน้ำแข็งจี๋เป่ย พวกเขารับสมัครศิษย์ที่ครอบครองรากวิญญาณน้ำโดยเฉพาะพอดี วิชาเวทในสำนักทั้งหมดเป็นธาตุน้ำกับธาตุน้ำแข็ง
โลกฝึกเซียนมีสำนักอย่างนี้มากมาย มีข้อเรียกร้องอย่างเฉพาะเจาะจงต่อศิษย์ ตัวอย่างเช่นโรงเรียนตานติ่ง ศิษย์ที่รับจะต้องครอบครองรากวิญญาณไฟ เพราะว่าผู้ฝึกตนที่ครอบครองรากวิญญาณไฟจะมีพรสวรรค์ที่ดีกว่าในด้านการหลอมโอสถ ส่วนสำนักหลิงโซ่วที่เป็นหนึ่งในเจ็ดสำนักใหญ่เทียนจี๋ ถึงจะไม่มีข้อเรียกร้องด้านรากวิญญาณ แต่กลับจำเป็นต้องมีพรสวรรค์ในการเรียนภาษาอสูร นี่เทียบกับข้อเรียกร้องด้านรากวิญญาณแล้วยังยากยิ่งกว่า
ผ่านลานกว้างไปได้อย่างปลอดภัย ไม่มีอุบัติเหตุอันใด คนหนึ่งกลุ่มสิบสองคนวางใจลงเล็กน้อย ขณะนี้ เส้นทางตรงทางเข้าวังเซียน มีแสงสีขาวหลายสายวูบขึ้นมาอีก ปรากฏร่างของผู้ฝึกตนคนอื่น
แม้ว่าเส้นทางจะอันตรายถึงสิบส่วน แต่ผู้ฝึกตนที่สามารถมาถึงวังเซียนก็มิใช่กระจอก โดยเฉพาะผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายเหล่านั้น ถึงจะมีผลั้งพลาด การเข้าสู้วังเซียนกลับมิใช่ปัญหา
เดินผ่านลานกว้าง อ้อมผ่านโบสถ์ใหญ่แห่งหนึ่ง เบื้องหน้าปรากฏศาลาหอสูงเป็นชั้น ๆ มองไปไม่เห็นจุดสิ้นสุด
อาจารย์เต๋าหยวนมู่หรี่ตา เอ่ยเสียงทุ้มว่า “ที่นี่ถึงกับห้ามจิตหยั่งรู้?”
ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่คนอื่นล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม พวกเขาก็ค้นพบจุดนี้แล้ว เมื่ออยู่ที่นี่ จิตหยั่งรู้ไม่อาจแผ่ขยาย ขอเพียงหยั่งจิตหยั่งรู้ออกไป ก็จะถูกกำแพงอาคมอันไร้สภาพสกัดกลับมา
หลิงอวิ๋นเฮ่อเอ่ยว่า “ในสำนักใหญ่โบราณกาลมีกำแพงอาคมที่ห้ามจิตหยั่งรู้เช่นนี้ไม่น่าประหลาดใจเลย ถึงอย่างไรสถานที่สำคัญของสำนัก หากใคร ๆ ก็ใช้จิตหยั่งรู้ก็จะปล่อยปละเกินไป”
อาจารย์เต๋าหยวนมู่ฟังแล้วพยักหน้า เป็นเช่นนี้จริง ๆ อย่าว่าแต่สำนักใหญ่โบราณกาล ในสำนักจิ่วเยี่ยนของพวกเขาก็มีกำแพงอาคมประเภทนี้ แต่ระดับก่อเกิดตานขึ้นไปจะไม่โดนจำกัด
เขาเอ่ยว่า “แต่ว่า กำแพงอาคมนี้ผ่านมานานขนาดนี้ถึงกับไม่มี่ร่องรอยการเสื่อมสลายแม้แต่เศษเสี้ยว สมแล้วที่เป็นกำแพงอาคมโบราณกาล”
“อีกประการ แม้แต่จิตหยั่งรู้ของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ยังโดนจำกัด ระดับการฝึกตนของผู้ฝึกตนสำนักนี้ไม่รู้ว่าไปถึงขอบเขตอะไรจริง ๆ” บัณฑิตอวี๋ขมวดคิ้วพูดหนึ่งประโยค
คนอื่น ๆ ล้วนมีความคิดนี้ มีความคาดหวังเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วนต่อเป้าหมายของการเดินทางนี้ ในเมื่อระดับการฝึกตนของผู้ฝึกตนระดับสูงสำนักนี้ลึกไม่เห็นก้นบึ้ง เช่นนั้น คิดว่าความเป็นไปได้ที่จะได้รับวาสนาเลื่อนขึ้นแปลงเทพจะต้องเพิ่มขึ้นมากมาย
“ผู้อาวุโสทุกท่าน เชิญเดินมาทางนี้” โม่เทียนเกอส่งเสียง
อาจารย์เต๋าหยวนมู่เอ่ยอย่างสุภาพว่า “ขอให้สหายน้อยโม่นำทางด้วย”
โม่เทียนเกอยิ้ม ๆ ไม่พูดอะไร นำหน้าก้าวขึ้นระเบียง ฉินซีเห็นดังนี้ก็สะบัดแขนเสื้อ ม่านพลังกระบี่คุ้มครองนาง ตนเองตามติดอยู่ข้าง ๆ
พูดตามหลักเหตุผล นางเป็นเพียงผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน มีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายอยู่ ไม่ถึงคราวให้นางไปสู้แถวหน้า แต่ว่า คนอื่นล้วนมีจิตใจระแวดระวังต่อนาง ถึงอย่างไรพวกเขากลุ่มเล็กนี้ ระหว่างกันและกันล้วนเป็นคู่แข่ง ถึงเวลา เพื่อจะแย่งชิงชะตาเซียน การจะฉีกหน้ากลายเป็นศัตรูก็มีความเป็นไปได้ ใครจะรู้ว่าตอนที่นำทางนางจะวางเล่ห์อุบายอะไรหรือไม่ ย่อมต้องป้องกันหน่อย
เดินไปช่วงหนึ่ง อ้อมผ่านลานเล็กแห่งหนึ่ง ไปถึงสวนดอกไม้แห่งหนึ่ง เบื้องหน้าเปิดโล่ง
“ปราณมาร!” พอเหยียบเข้าสวนดอกไม้นี้ อาจารย์เต๋าหยวนมู่ส่งเสียงทันที
สวนดอกไม้นี้ไม่ใหญ่ น่าจะเป็นเพียงส่วนดอกไม้ส่วนตัวของผู้ฝึกตนโบราณกาลสักคน ท่ามกลางแปลงดอกไม้ของสวนดอกไม้มีทั้งดอกไม้วิญญาณให้เชยชมแล้วก็มีหญ้าวิญญาณที่มีสรรพคุณยา หลายแสนปีมานี้ไม่มีการดูแลของเจ้าของ รกร้างไปแต่แรกแล้ว เหลือเพียงเศษนิดหน่อย เติบโตอย่างแคระแกร็น
ถึงแม้ว่าหญ้าวิญญาณเหล่านี้จะเติบโตไม่ดีเลย แต่ในวังเซียนนี้พลังวิญญาณเข้มข้นถึงสิบส่วน แล้วยังมีอายุมาก ก็มีค่าให้เก็บเกี่ยว แต่น่าเสียดายที่ในสวนดอกไม้กระจายไปด้วยปราณมารที่แทบจะเห็นได้ด้วยตาเปล่าหลายก้อน กัดกร่อนดอกไม้วิญญาณหญ้าวิญญาณเหล่านี้จนไม่เหลือธาตุวิญญาณ
ปราณมารเหล่านี้อัดแน่นถึงสิบส่วน กลิ่นอายพิสดาร ไม่เหมือนกับปราณมารที่กระจายตัวอยู่ในแดนมารใด ๆ
เมื่อเห็นปราณมารเหล่านี้ สายตาของทุกผู้คนล้วนตกอยู่บนร่างของประมุขมารกุ่ยฟาง
ประมุขมารกุ่ยฟางขมวดคิ้ว บนใบหน้าขาวสะอาดงามสง่าเกิดแววฉงน เขาเอ่ยว่า “ปราณมารในมิติแห่งนี้พิสดารมาก ราวกับว่าจะสูงส่งกว่าปราณมารที่พวกเราฝึกมากมาย……”
เขาเพียงพูดประโยคนี้แล้วหุบปาก บัณฑิตอวี๋ถามว่า “ยังมีเล่า?”
ประมุขมารกุ่ยฟางมองเขาแวบหนึ่ง ส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว ปราณมารชนิดนี้ เปิ่นจวินไม่เคยสัมผัสมาก่อน อธิบายไม่ได้ กลับเป็นอวี๋เซียนเซิง รอบรู้มากความสามารถเสมอมา ไม่ทราบเคยได้ยินได้ฟังมาหรือไม่”
บัณฑิตอวี๋ไหนเลยจะรู้ ส่ายหน้า แล้วก็ไม่พูดอีก
“ฮา สหายเต๋าทุกท่าน” อู๋หมิงเจินเจ่ออ้าปาก ยิ้มเอ่ยว่า “พระเฒ่าค้นพบว่า ปราณมารนี้ดูคุ้น ๆ นะ”
“อ้อ?” อาจารย์เต๋าหยวนมู่เลิกคิ้ว มองเขา “สหายเต๋าอู๋หมิง คุณสมบัติของวิชาเวทสำนักพุทธพวกท่านคือการสะกดข่มปราณมาร หรือว่าจะเคยเห็น?”
“อันที่จริงทุกท่านล้วนเคยเห็น” อู๋หมิงเจินเจ่อจู่ ๆ ลืมตาขึ้น มองไปทางฉินซี “สหายเต๋าฉิน ใช่หรือไม่”
ภายใต้การจับจ้องของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่หกคน ฉินซีพยักหน้า “มิผิด”
โม่เทียนเกอจำได้ว่า ตอนที่นางถูกเหมยเฟิงโจมตี อู๋หมิงเจินเจ่อเคยลงมือช่วยเหลือ คิดว่าต้องเป็นเพราะเหตุนี้จึงมีความทรงจำต่อปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มลึกล้ำกว่า
เมื่อเตือนอย่างนี้ อาจารย์เต๋าหยวนมู่คิดขึ้นมาได้ทันที “ผู้ฝึกมารที่ถูกสหายเต๋าฉินเข่นฆ่าคนนั้น……”
สีหน้าของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทั้งหมดแปรเปลี่ยนกลับกลาย ต่างคิดย้อนกลับไป ยิ่งคิดยิ่งมั่นใจ สายตาที่มองไปทางฉินซีก็เพิ่มความระแวดระวังหนึ่งส่วน ปราณมารนี้สูงส่งขนาดนี้ แต่ผู้ฝึกมารระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางคนนั้นยังคงถูกเข่นฆ่าในเงื้อมมือเขาอย่างง่ายดาย……
บัณฑิตอวี๋คิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่เอ่ยอีกว่า “ไม่ถูกต้อง ปราณมารของผู้ฝึกมารนั่นกับปราณมารในที่แห่งนี้ถึงจะคล้ายคลึง แต่ยังไม่เหมือนกันเสียทั้งหมด ราวกับไม่มีความอัดแน่นเยี่ยงนี้ อ่อนแอกว่ามาก สหายเต๋ากุ่ยฟาง ใช่หรือไม่”
ประมุขมารกุ่ยฟางผงกศีรษะ “มิผิด ปราณมารของคนผู้นั้นกับปราณมารในที่แห่งนี้มีส่วนที่เหมือนกัน แต่ยังไม่เทียบเท่า — อาจจะเป็นเพราะระดับการฝึกตนของเขาไม่เพียงพอ”
อาจารย์เต๋าหยวนมู่ส่ายหน้า “น่าเสียดายที่ผู้ฝึกตนนั่นถูกทำลายในเงื้อมมือของสหายเต๋าฉินไปแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้น……” คำพูดถึงจะเป็นเช่นนี้ ดวงตากลับเหลือบไปทางฉินซี คนถึงจะตายแล้ว สิ่งของกลับตกอยู่ในมือฉินซี แต่ไม่รู้ว่าในนั้นมีของจำพวกวิชาเวทหรือไม่
สิ่งของที่อยู่ในมือ ฉินซีย่อมไม่มอบออกไป ขณะนี้เพียงยิ้มน้อย ๆ ทำเป็นมองไม่เห็น
อาจารย์เต๋าหยวนมู่จะพูดอย่างไรก็เป็นผู้อาวุโสของสำนักหนึ่ง ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายชั้นสูงสุด ขัดเขินเกินกว่าจะพูดให้ชัดเจน เห็นเขาฟังไม่เข้าใจก็ได้แต่ปล่อยไป ถึงอย่างไร พวกวิชามารก็ไม่ได้มีประโยชน์อันใดต่อสำนักจิ่วเยี่ยนเขา
พูดเยี่ยงนี้แล้ว หนึ่งกลุ่มสิบสองคนมุ่งหน้าต่อไป
โม่เทียนเกอเดินไปครึ่งทาง จู่ ๆ สัมผัสได้ถึงปราณมารที่พุ่งทะลุชั้นฟ้าขุมหนึ่ง ม่านพลังกระบี่อัคนีสามพลังหยางที่วนเวียนรอบตัวนางส่งเสียงดัง “ปัง” พ่นไฟแท้ออกมา
นางเพียงมีเวลาทันถอยหลังไปหนึ่งก้าว ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทั้งหมดพากันตั้งท่าระวังแล้ว
“ศพหลอม!” เมื่ิอเห็นที่มาของปราณมาร อาจารย์เต๋าหยวนมู่หน้าเปลี่ยนสี
เพียงเห็นว่าในโถงบุปผาเล็ก ๆ ของสวนดอกไม้ ศพหลอมที่ทั้งร่างไหม้เกรียมและห่อหุ้มอยู่ในปราณมารหลายตัวเดินโซซัดโซเซมาทางพวกเขา ศพหลอมเหล่านี้มีปราณมารหนาแน่นปกคลุมทั้งตัว มองระดับการฝึกตนไม่ออกไปชั่วขณะ
“ผู้เยาว์ถอย!” บัณฑิตอวี๋ตะโกนหนึ่งคำ โบกพัดจีบในมือ ตั้งท่ารอ
โม่เทียนเกอถอยไปข้างหลังโดยไม่ลังเลสักนิด ยืนอยู่ด้านหลังสุดกับพวกหลิงอวิ๋นเฮ่อสี่คน
“ทำไมถึงมีศพหลอม” สายตาของอาจารย์เต๋าหยวนมู่กลับมองมาที่นาง
ศพหลอมก็เป็นวัตถุของสายมาร ผู้ฝึกมารบางคนทำลายจิตวิญญาณขั้นต้นของผู้ฝึกตนไปแล้วก็จะใช้วิชาพิเศษควบคุม สร้างเป็นหุ่นเชิด นี่ก็คือศพหลอม เทียบกับอสูรวิญญาณแล้ว ความแข็งแกร่งของศพหลอมสูงกว่ามาก เพราะว่าศพหลอมเดิมเป็นผู้ฝึกตน สามารถใช้อาวุธเวท แล้วก็สามารถฝึกตน ระดับการฝึกตนของผู้ฝึกตนที่สร้างเป็นศพหลอมยิ่งสูง พลังอำนาจของศพหลอมก็ยิ่งมาก หากเป็นศพหลอมที่สมบูรณ์หนึ่งศพซึ่งมีเจ้านายที่เชี่ยวชาญเต๋าแห่งการควบคุม พลังต่อสู้ของมันจะทัดเทียมกับผู้ฝึกตนระดับเดียวกันหนึ่งคน
ตัวอย่างเช่นประมุขมารเยว่อิ่งผู้นั้น ณานศักดิ์สิทธิ์ของตนเองไม่นับว่าโดดเด่นจนเกินไป แต่เพราะว่ามีศพหลอมระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นสองตัว ความแข็งแกร่งของนางเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายผู้ใดในอวิ๋นจงล้วนไม่กล้าดูเบา
โม่เทียนเกอขมวดคิ้วตอบว่า “ผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อบอกว่า ในมิติแห่งนี้มีปราณมาร ผู้ฝึกตนเหล่านั้นหากตายอยู่ที่นี่แล้วซากศพปนเปื้อนปราณมารก็จะกลายเป็นศพหลอม แต่ว่า การปรากฏขึ้นของศพหลอมตามธรรมชาติประเภทนี้ต้องมีเหตุบังเอิญ ความเป็นไปได้ต่ำยิ่ง ปีนั้นพวกเขาค้นพบศพหลอมในวังเซียนจริง ๆ แต่ว่าไม่ใช่ที่นี่เลย บางทีศพหลอมพวกนั้นคงร่อนเร่มาถึงที่นี่”
“ศพหลอมตามธรรมชาติ……” ประมุขมารกุ่ยฟางสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “นี่มีความเป็นไปได้จริง ๆ ศพหลอมตามธรรมชาติเทียบกับศพหลอมที่คนสร้างแล้วยิ่งจัดการยากกว่า!”
ในการสร้างศพหลอม ระดับการฝึกตนของผู้ฝึกตนจะต้องเสียหายไปบ้างเสมอ แต่ของตามธรรมชาติกลับไม่เป็น เพราะว่ามิได้ถูกคนกำจัดจิตวิญญาณขั้นต้น พวกมันถึงขนาดที่จะรักษานิสัยในการต่อสู้แต่ก่อนเอาไว้!
ระหว่างที่พูด ศพหลอมนั่นใกล้เข้ามาถึงเบื้องหน้าแล้ว โถมใส่ฉินซีที่อยู่ใกล้ที่สุด
ฉินซีไม่ได้หลบเลี่ยง สวนดอกไม้นี้ไม่ใหญ่ จะหลบก็ไม่มีที่ให้หลบ พอเขายกมือ โล่แสงหนึ่งใบจู่ ๆ ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา ในเวลาเดียวกัน ปราณกระบี่ทั้งหมดของกระบี่อัคนีสามพลังหยางที่วนเวียนอยู่กลางอากาศรวมตัวเป็นหนึ่ง ส่งเสียง “ฮูม” ตัวกระบี่ปกคลุมด้วยไฟแท้สุดหยาง ฟันเข้าใส่ศพหลอม
“เช้ง!” ราวกับอาวุธมีคมกระทบกัน ฉินซีขมวดคิ้ว เหวี่ยงกระบี่ ใช้ไฟแท้สุดหยางผลักศพหลอมถอยไปสองก้าว ตนเองถอยไป
“ศพหลอมพวกนี้ อย่างน้อยที่สุดเป็นระดับจิตวิญญาณใหม่ อีกทั้งร่างกายทนทานเป็นพิเศษ แม้แต่กระบี่ของข้าก็ฟันไม่ขาด” ถึงเขาจะมิใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่ความคมกล้าของกระบี่อัคนีสามพลังหยางกลับไม่เป็นรองกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ แต่ภายใต้การฟันเมื่อครู่นี้ ศพหลอมนั้นถึงกับไม่บุบสลายสักนิด เพียงถอยหลังไปเพราะหวาดกลัวไฟแท้สุดหยาง
เมื่อได้ยินวาจานี้ ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่หน้าเปลี่ยนสีกันถ้วนทั่ว
อาจารย์เต๋าหยวนมู่กวาดสายตาไป มองดูภูมิประเทศ แล้วมองศพหลอมที่ปรากฏตัวในสวนดอกไม้เล็ก ๆ อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย สีหน้าเคร่งขรึม “สหายเต๋าทุกท่าน ทางข้างหลังขาดแล้ว ไม่ฆ่าศพหลอมพวกนี้ เกรงว่าพวกเราจะไปไม่ได้”
……………….
ตอนที่ 465 – กำแพงอาคมฟื้นฟู