หนึ่งเซียนยากเสาะหา (Lady Cultivator) - ตอนที่ 462 เข้าวังเซียน
ตอนที่ 462 – เข้าวังเซียน
เครื่องรางคุ้มครองกาย ผ้าเช็ดหน้าไหมขาว ศาสตร์หนึ่งปราณต้นกำเนิด ใช้วิธีการป้องกันออกมาจนหมดสิ้น เมื่อโม่เทียนเกอเตรียมตัวเรียบร้อย ฉินซีก็ปล่อยกระบี่อัคนีสามพลังหยางออกมา เปลี่ยนแปลงมันเป็นม่านพลังปราณกระบี่ จากนั้นตนเองก็ใช้เครื่องราง
อู๋หมิงเจินเจ่อกับเจวี๋ยอู้เรียบง่ายกว่ามาก วิชาเวทสำนักพุทธของพวกเขาเดิมก็มีวิชากายาพิสุทธิ์ ขณะนี้อู๋หมิงเจินเจ่อเปล่งนามพุทธองค์ พอดึงลูกประคำบนหน้าอกก็มีแสงพุทธะอันศักดิ์สิทธิ์สาดส่องออกมาจากระหว่างนิ้ว ครอบคลุมคนทั้งสี่ไว้ภายใน
ฉินซีเห็นแล้วโค้งคำนับให้อู๋หมิงเจินเจ่อ “ขอบคุณพระอาจารย์มาก”
อู๋หมิงเจินเจ่อยิ้มบาง ๆ ยังคงหลับตาทั้งคู่ ท่าทางเปี่ยมเมตตา
โม่เทียนเกอรู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายกระทำเช่นนี้ แปดส่วนคือการมอบผลท้อตอบแทนผลหลี่* เพราะเรื่องของแหฟ้าตาข่ายดิน อู๋หมิงเจินเจ่อเคยพูดว่า สิ่งที่เจวี๋ยอู้ฝึกคือเซน ถึงนางจะมีความเข้าใจต่อผู้ฝึกพุทธน้อย แต่ฟังจากความหมายในคำพูดเขา นี่น่าจะเป็นสายหนึ่งในผู้ฝึกพุทธที่ค่อนข้างอ่อนโยน และเมื่อดูจากวิธีกระทำเรื่องราวของอู๋หมิงเจินเจ่อก็ไม่เหมือนกับผู้ฝึกเซียนที่เห็นแก่ตัวเหล่านั้น นอกจากรักษาตัวรอดเป็นยอดดี ก็ไม่ตระหนี่การให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่น คิดอย่างนี้แล้ว ตลอดทางนี้ หากไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์โดยพื้นฐาน พวกเขาสองคนจะเป็นพันธมิตรที่ดีมาก
ภายใต้วิธีป้องกันนานัปการ กลุ่มสี่คนเดินเข้าเส้นทางไปตามลำดับ
พอเข้าเส้นทาง แสงทั้งหมดราวกับถูกกลืนกินไปในพริบตา นอกจากปราณกระบี่ของกระบี่อัคนีสามพลังหยางกับลำแสงอ่อนจางที่เกราะปราณคุ้มครองกายเปล่งออกมา ไร้ซึ่งวัตถุอื่นใด
ในความมืดมิด โม่เทียนเกอรู้สึกว่ามือกระชับขึ้น กลับเป็นฉินซีจับมือนางไว้แน่น เอ่ยเสียงแผ่วว่า “ระวังพลัดจากกัน”
นางรู้สึกหัวใจอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มบาง ๆ ตอบรับ
เส้นทางนี้ไม่ได้เป็นม่านพลังเคลื่อนย้ายอย่างตอนเปิดทางเข้าเลย ทว่าเป็นการใช้พลังของวิชาม่านพลังทำลายกำแพงอาคมเป็นการชั่วคราว สร้างเป็นมิติพิเศษออกมาหนึ่งแห่ง ในมิติที่แท้จริง ปลายทั้งสองของเส้นทางอาจจะห่างเพียงประตูคั่น แต่ในเส้นทางเส้นนี้ อาจจะต้องเดินเป็นระยะทางค่อนข้างไกล กล่าวอีกแบบหนึ่ง นี่ก็นับว่าเป็นรอยแตกมิติที่สร้างขึ้นจากการฉีกมิติอันหนึ่ง เป็นเอกเทศจากโลกย่อยภายนอก
การฉีกมิติไม่ใช่ทักษะเวทที่มีอยู่ในโลกฝึกเซียนทุกวันนี้เด็ดขาด มีเพียงผู้ฝึกตนยุคโบราณกาลจึงทราบทักษะอันยิ่งใหญ่ของการทำลายความว่างเปล่าประเภทนี้ ก็เพราะเหตุนี้ ไม่ว่าบัณฑิตอวี๋จะรอบรู้อีกแค่ไหนก็ดูความเร้นลับของม่านพลังที่โม่เทียนเกอตั้งไม่ออก
แน่นอนว่า ทักษะไขเปิดชุดนี้ที่ห้าปราชญ์ใช้ในปีนั้น อันที่จริงแล้วไม่ใช่ทักษะทำลายความว่างเปล่าที่แท้จริง การทำลายความว่างเปล่าหรือการฉีกมิติที่แท้จริงเป็นเช่นเดียวกับโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน สร้างเป็นมิติอันเป็นเอกเทศและเสถียรแห่งหนึ่ง ก่อเป็นวัฏจักรด้วยตัวเอง ดุจเดียวกับโลกย่อยแห่งหนึ่ง ทว่าม่านพลังทำลายชุดนี้ ทักษะมิติที่ฉีกทำลายที่ใช้เป็นเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น มิติที่มันสร้างออกมาไม่เสถียร เต็มไปด้วยอันตราย อีกทั้งสามารถคงอยู่ได้เพียงแค่ระยะเวลาสั้น ๆ
แต่วิธีการอย่างนี้ สำหรับโลกฝึกเซียนระดับตอนนี้เป็นณานศักดิ์สิทธิ์อันสะท้านฟ้าแล้ว นี่คือฝูเหยาจื่อในปีนั้น ทักษะเวทขาดวิ่นที่ได้รับจากในถ้ำพำนักผู้ฝึกตนโบราณก็เป็นสาเหตุที่เขาสามารถได้รับวาสนาที่ใหญ่ที่สุดในวังเซียนด้วย
เข้ามาในเส้นทางไม่นานก็ได้ยินเสียง “ป๊อก ๆ” โม่เทียนเกอหันหน้าไปมอง กลับเป็นกำแพงอาคมอิสระข้างนอกที่ชนถูกเกราะป้องกันของทุกคน
ฉินซีขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบา ๆ ว่า “กำแพงอาคมที่ร้ายกาจนัก หากวิชาป้องกันด้อยสักหน่อยเกรงว่าจะถูกทำลายแล้ว”
อู๋หมิงเจินเจ่อบนแท่นดอกบัวด้านหน้าหัวเราะคำหนึ่ง เอ่ยว่า “ม่านพลังกระบี่ของสหายเต๋าฉินจึงร้ายกาจนัก กลับเป็นพระเฒ่าดูเบาแล้ว”
“พระอาจารย์เกรงใจแล้ว” ฉินซียิ้มบาง “หากไม่มีพระอาจารย์สนับสนุน ผู้แซ่ฉินจะไม่ปลอดโปร่งขนาดนี้”
ทั้งสองคนเพิ่งจะพูดจบ ก็เห็นเกราะป้องกันแสงพุทธะข้างนอกสั่นไหว
อู๋หมิงเจินเจ่อหยุดชะงัก บีบลูกประคำบนมือ แสงพุทธะปรากฏเลือนรางบนมือ เกราะป้องกันมั่นคงขึ้นมาทันที
ฉินซีก็ไม่ได้วางเฉย เขาจี้พลังวิญญาณออกไป ปราณกระบี่กลายเป็นแสงกระบี่หมื่นเส้น ครอบคลุมเกราะอย่างแน่นหนา
โม่เทียนเกอกับเจวี๋ยอู้ในเกราะป้องกัน ถึงแม้จะไม่ได้รับการโจมตีตรง ๆ แต่ล้วนสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของกำแพงอาคมด้านนอก พลังกดดันในความมืดทะลุผ่านแสงพุทธะกับแสงกระบี่ชั้นนอกสุด แรงกดดันอันไร้สภาพชนิดนี้กดทับไปบนจิตวิญญาณขั้นต้นของพวกเขาโดยตรง ทำให้พวกเขาหน้าซีดอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อค้นพบจุดนี้ โม่เทียนเกอร่ายศาสตร์หลอมจิตวิญญาณเงียบ ๆ ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณของนางฝึกไปถึงชั้นที่สามแล้ว หากทุ่มเทกำลังทั้งหมด พลังกดดันที่ปล่อยออกมาเหนือกว่าผู้ฝึกตนร่วมระดับลิบลับ ขณะนี้ร่ายขึ้นมา สัมผัสได้ว่าแรงกดดันเบาลงไปทันที
“สหายน้อยโม่มีทักษะลับทั้งตัวเลย ช่างเลิศล้ำโดยแท้ มิน่าเล่ากล้ามาไกลถึงอวิ๋นจงลำพังคนเดียว แล้วยังต่อรองกับพวกเราเหล่าตาเฒ่าด้วย”
เสียงของอู๋หมิงเจินเจ่อดังขึ้น โม่เทียนเกอตะลึง อดรู้สึกจนใจอยู่บ้างไม่ได้ ภิกษุชรารูปนี้ ในยามปกติหลับตาทำให้คนอื่นนึกว่าเขาตาบอด ผลคือช่างดีนัก ศีรษะไม่ต้องหัน แม้แต่นางร่ายศาสตร์หลอมจิตวิญญาณยังสามารถรับรู้ได้อย่างกระจ่างชัด ฉายาธรรมของเขาไม่ควรเรียกว่าอู๋หมิง เรียกว่าไท่หมิงถึงจะถูก**
ถึงในใจจะคิดเช่นนี้ นางยังคงตอบอย่างสุภาพว่า “ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว ผู้เยาว์เพียงบังเอิญได้วาสนาแล้วพากเพียรอีกนิด จึงได้รับทักษะลับเหล่านี้มา”
“ฮา ๆ” อู๋หมิงเจินเจ่อหัวเราะเบา ๆ เอ่ยว่า “พูดได้ดี วาสนา พากเพียร นี่ไม่ใช่เงื่อนไขจำเป็นในการกลายเป็นผู้ฝึกตนใหญ่หรือ สหายเต๋าน้อยทั้งมีวาสนา ทั้งรู้จักพากเพียร ดูเจ้าอายุเยาว์วัยก็มีระดับการฝึกตนเยี่ยงนี้ คุณสมบัติในการหยั่งรู้ก็จะต้องไม่เลวเหมือนกัน อนาคตข้างหน้าไร้ขีดจำกัด”
ถูกชมเชยขนาดนี้ โม่เทียนเกอเขินอายอยู่บ้าง “ผู้อาวุโสชมเชยปานนี้ ผู้เยาวรับไม่ไหว เทียบกับผู้อาวุโสซึ่งเป็นผู้ฝึกตนใหญ่เช่นนี้ ผู้เยาว์ทุกวันนี้แม้แต่จิตวิญญาณใหม่ยังไม่สำเร็จเลยเจ้าค่ะ”
“ตามที่พระเฒ่าเห็น สหายเต๋าน้อยอยากจะผูกจิตวิญญาณเร็ว ๆ นี้แล้วกระมัง” อู๋หมิงเจินเจ่อยังคงกล่าวอย่างไม่เร็วไม่ช้า “ไม่แน่ว่า ก่อนที่พระเฒ่านั่งละสังขารจะสามารถเห็นสหายเต๋าน้อยกลายเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขั้นปลายละนะ วันนี้ก็ถือว่าผูกกรรมดีให้กับเหล่าลูกศิษย์ของวัดหัวเหยียนแล้วกัน”
“……” โม่เทียนเกอคิดในใจว่า อู๋หมิงเจินเจ่อผู้นี้มองการณ์ไกลจริง ๆ ถึงนางจะเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถผูกจิตวิญญาณ แต่การกลายเป็นผู้ฝึกตนใหญ่จิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายกลับยังไม่กล้าคิดในตอนนี้ ถึงอย่างไรเส้นทางฝึกฝนหลังจิตวิญญาณใหม่เทียบกับฝึกไปถึงจิตวิญญาณใหม่แล้วยากยิ่งกว่า คิดไม่ถึงว่า อู๋หมิงเจินเจ่อผู้นี้ถึงกับมองนางในแง่ดีขนาดนี้ ใช้ศักดิ์ศรีผู้ฝึกตนใหญ่จิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายมาผูกกรรมดีกับนาง
นี่กลับเป็นตัวนางคิดน้อยไป ถึงนางจะเป็นเพียงผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน แม้ว่าจะผูกจิตวิญญาณสำเร็จ ในสายตาของผู้ฝึกตนระดับสูงสุดของโลกอย่างอู๋หมิงเจินเจ่อก็เพียงแค่นั้นเอง แต่ข้างกายนางยังมีฉินซีอีกคน ไม่เพียงเป็นคู่เต๋าของนางในวันนี้ ยังเคยเป็นซือเกอของนางด้วย ในเมื่อสำนักอาจารย์ของนางสามารถบ่มเพาะผู้ฝึกตนใหญ่อย่างฉินซีออกมา ก็จะต้องเป็นสำนักใหญ่ของโพ้นทะเล นี่ควรค่าให้เขาไปผูกกรรมดีนี้แล้ว ถึงอย่างไร วัดหัวเหยียนถึงจะเป็นสำนักใหญ่สายพุทธ แต่ไม่ร่ำรวยทรงอำนาจและอัจฉริยะมากมายเท่ากับสำนักจิ่วเยี่ยน
“พระอาจารย์มองภรรยาในแง่ดีเกินไปแล้ว ผู้ฝึกตนใหญ่ขั้นปลาย ยังห่างไกลมากนะ!” ฉินซียิ้มเอ่ย ถึงเขาจะพูดถ่อมตัว แต่ก็เพียงพูดว่าห่างไกลมาก
อู๋หมิงเจินเจ่อผินหน้ามามองพวกเขาด้วยความหมายลึกซึ้งแวบหนึ่ง “สหายเต๋าฉิน มีความมั่นใจมากนะ……”
เขาเพิ่งจะพูดจบ ฉินซียังไม่ทันได้ตอบ จู่ ๆ มีเสียงเบา ๆ ดังขึ้น เจวี๋ยอู้ร้องครวญออกมาคำหนึ่ง กำลังจะหน้าทิ่มลงไปจากแท่นดอกบัว
อู๋หมิงเจินเจ่อเคลื่อนไหวเร็วยิ่ง โบกจีวรหนึ่งทีม้วนเจวี๋ยอู้ขึ้นมาวางบนแท่นดอกบัว มือซ้ายเชื่อมนิ้วทั้งห้า ร่ายศาสตร์ดรรชนีออกมาหนึ่งชุด แสงสีทองสายหนึ่งส่องลงบนร่างของเจวี๋ยอู้ เพียงหลายอึดใจ เจวี๋ยอู้ก็ร้องครวญครางฟื้นขึ้นมา
เขาลุกขึ้นอย่างอับอายอยู่บ้าง ก้มศีรษะเอ่ยว่า “ซือป๋อ ศิษย์ไร้ประโยชน์……”
“ไม่ต้องเป็นเช่นนี้” อู๋หมิงเจินเจ่อวาจาอ่อนโยน สีหน้าไม่ไหวติง “ด้วยระดับการฝึกตนของเจ้า บวกกับแสงเทพคุ้มครองกาย ก็ยากมากที่จะอยู่ที่เส้นทางนี้ได้อย่างไร้เภทภัย”
“แต่ว่า ประสกโม่นาง……” เขาเหลือบไปข้างหลังเห็นเพียงโม่เทียนเกอที่สีหน้าเคร่งขรึมอยู่บ้าง
“สหายน้อยโม่กับเจ้าไม่เหมือนกัน” อู๋หมิงเจินเจ่อเพียงกล่าวอย่างเรียบง่าย หลังจากนั้นคีบลูกประคำหนึ่งเม็ดตรงหน้าอก ท่องนามพุทธองค์หนึ่งคำ บนลูกประคำระเบิดพลังสภาวะอันศักดิ์สิทธิ์ไร้ที่เปรียบออกมาอย่างกล้าแข็ง แม้แต่กำแพงอาคมอิสระที่อยู่ใกล้ ๆ ยังถูกผลักออกไปหลายส่วน อู๋หมิงเจินเจ่อบีบนิ้ว ขยี้ลูกประคำจนแหลกลาญ ตบลงบนร่างของเจวี๋ยอู้
“ซือป๋อ” เมื่อมองเห็นแสงทองคุ้มครองกายที่สาดส่องบนร่าง เจวี๋ยอู้อุทานออกมา “นี่……”
“วัตถุนอกกาย ไม่ต้องเสียดาย” อู๋หมิงเจินเจ่อเพียงพูดประโยคนี้ออกมา
โม่เทียนเกอกับฉินซีสบตากัน ทั้งสองเข้าใจอยู่ในใจ ลูกประคำเส้นนี้จะต้องเป็นอาวุธเวทคู่ชีพของอู๋หมิงเจินเจ่อแน่ ๆ เพียงหนึ่งเม็ดในนั้นก็มีพลังสภาวะเช่นนี้ ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนใหญ่จิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายลึกล้ำสุดจะหยั่งโดยแท้
อาศัยลูกประคำของอู๋หมิงเจินเจ่อ สถานการณ์มั่นคงชั่วคราว ทั้งสี่คนมุ่งหน้าไปในเส้นทางอย่างเป็นระเบียบ
แต่ทว่า อันตรายที่แท้จริงของทางสายนี้มาถึงเป็นลำดับถัดไป ถ้าหากเป็นเพียงแค่กำแพงอาคมอิสระ ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นที่แข็งแกร่งสักหน่อยล้วนสามารถผ่านไปได้ ฝูเหยาจื่อไม่จำเป็นต้องเอ่ยเตือนเยี่ยงนั้นเลย จนกระทั่งขณะนี้ ทั้งสี่่คนจึงทราบว่าอันตรายของเส้นทางนี้ไม่ใช่วาจาเลื่อนลอยสักคำ
“ครืน” เสียงลมและอัสนีาดังขึ้นในความมืด จากนั้นเป็นพายุหมุนที่โจมตีมาอย่างกะทันหันโดยไร้วี่แวว
ฉินซีสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ปราณกระบี่รอบด้านส่งเสียงร้องเบา ๆ แสงสีแดงวูบขึ้น แทบจะหลุดออกจากตำแหน่งเดิม ส่วนเกราะป้องกันแสงพุทธะของอู๋หมิงเจินเจ่อยิ่งสั่นคลอน ราวกับว่าอีกเดี๋ยวก็จะพังทลาย
ถึงจะมีทักษะลับนานาชนิดคุ้มครองกาย โม่เทียนเกอขณะนี้ยังลมหายใจขาดห้วง เพียงรู้สึกว่าแรงกดดันอันมหาศาลแทบจะบดขยี้ตนเอง ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของนางจะเหนือกว่าผู้ฝึกตนร่วมระดับ แต่ถึงที่สุดแล้วมิใช่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ ไร้หนทางต่อต้านแรงกดดันเช่นนี้ กลับเป็นเจวี๋ยอู้ เนื่องจากมีลูกประคำของอู๋หมิงเจินเจ่อก่อนหน้านี้ ยังคงยืนอยู่บนแท่นดอกบัวอย่างมั่นคง
แต่เวลานี้ แม้แต่ฉินซีก็ไม่อาจสนใจนาง เขาสีหน้าเคร่งขรึม ควบคุมม่านพลังกระบี่ด้วยกำลังทั้งหมด ต้านทานพายุหมุน
โม่เทียนเกอแปะเครื่องรางหลายแผ่นบนร่างตนเอง ผูกผ้าเช็ดหน้าไหมขาว ป้องกันตนเองอย่างแน่นหนา จากนั้นล้วงโอสถออกมาจากในกระเป๋าเอกภพ กลืนกินลงไปโดยไม่นับจำนวน
ทำอย่างนี้แล้ว ในที่สุดแรงกดดันก็ลดลงหน่อย นางถอนหายใจโล่งอก ตามขบวนเดินทางไปไม่ให้ก่อปัญหา
พายุหมุนยิ่งมายิ่งใหญ่โต เสียงสายฟ้าดัง “ครืน” เริ่มดังขึ้นถี่ ๆ ระเบิดขึ้นรอบ ๆ พวกเขาด้วยพลังสภาวะอันน่าทึ่งไร้ที่เปรียบ แต่ฟ้าคำรามเช่นนี้กลับมิอาจฉีกกระชากความมืดมิดออกไป ราวกับว่านี่เป็นหลุมลึกไร้ก้นบึ้ง หาทางออกไม่เจอเลย
“อัสนีสวรรค์!” ฉินซีพูดเสียงเบา ๆ หนึ่งประโยค
โม่เทียนเกอสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย อัสนีสวรรค์ หรือว่าเป็นอัสนีแห่งเคราะห์สวรรค์ ทักษะเวทอัสนีเป็นทักษะเวทที่มีพลังทำลายล้างสูงที่สุดของโลกฝึกเซียนเสมอมา เอ่ยถึงพลังอำนาจ มันไม่แน่ว่าจะแข็งแกร่งกว่าทักษะเวทธาตุไฟ แต่กลับทะลวงการป้องกันและโจมตีจุดอ่อนโดยตรงได้ง่ายกว่าทักษะเวทไฟ! ดังนั้น เคราะห์สวรรค์ก็มักจะเป็นเคราะห์อัสนี ความน่ากลัวของทักษะเวทอัสนีแค่คิดก็ทราบแล้ว
“อมิตาพุทธ!” อู๋หมิงเจินเจ่อจู่ ๆ ตะโกนดังลั่น นามพุทธองค์ดุจอัสนี เสียงปะทะกับอัสนีสวรรค์พอดี กลายเป็นคลื่นเสียง สยบเสียงของอัสนีสวรรค์ลงไป
ความเคลื่อนไหวของฉินซีก็ไม่เชื่องช้า แสงกระบี่กลายเป็นปราณกระบี่ในพริบตา แขนยิงเปลวเพลิงสีฟ้าจางออกไป ไฟแท้สุดหยางฉีดเข้าไปในกระบี่อัคนีสามพลังหยาง ต้านทานแสงอัสนีพายุหมุน
“ครืน!” “เช้ง!” เสียงดังไม่หยุด โม่เทียนเกอปกป้องตัวเองสุดความสามารถ ตามติดแนบชิดอยู่ด้านข้าง
อันตรายเช่นนี้ ไม่รู้ว่ากินเวลานานเท่าไหร่ ในที่สุด เบื้องหน้าปรากฏแสงสีขาว ในพริบตานั้น เสียงอัสนีสลายไป พายุหมุนไร้ร่องรอย พลังวิญญาณอันเข้มข้นโถมใส่หน้า
……………….
*投桃报李 ถ้อยทีถ้อยอาศัย ตรงกับสำนวนไทยหมูไปไก่มา
**无明 อู๋หมิง หมิงแปลว่าสว่าง เข้าใจ รู้แจ้ง อู๋แปลว่าไร้/ไม่มี อู่หมิงคือไร้ความรู้แจ้ง ส่วนไท่ (太) แปลว่ามากเกินไป ไท่หมิงก็คือรู้มากเกินไปแล้ว
นี่ภาวนาอยู่ว่าขอให้อู๋หมิงเป็นคนดีจริง ๆ ไม่ได้เทิร์นดาร์กเหมือนคนอื่น ขนาดหลิงอวิ๋นเฮ่อยังทำท่าว่าฆ่าเทียนเกอได้ถ้าอาจารย์สั่งมาเลยเนี่ย ทั้ง ๆ ที่แอบชอบนางเอกแท้ ๆ
ตอนที่ 463 – ทั้งกลุ่ม