หนึ่งเซียนยากเสาะหา (Lady Cultivator) - ตอนที่ 461 เส้นทางวังเซียน
ตอนที่ 461 – เส้นทางวังเซียน
ภายในเวลาวันสองวัน ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายต่างทยอยกันมาถึง ด้านข้างของวังเซียนค่อย ๆ คึกคักขึ้นมา
นอกจากผู้คนเหล่านี้ ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางและขั้นต้นที่เข้ามาในมิติคนอื่นแทบจะไม่ปรากฏตัวเลย ปรากฏการณ์นี้ปกติมาก ประการแรก พวกอาจารย์เต๋าหยวนมู่ถึงจะเชื้อเชิญให้พวกเขาเข้ามาในมิตินี้ การมาถึงวังเซียนกลับต้องอาศัยความสามารถของแต่ละคน บนภูเขาวิญญาณนี้ไม่ขาดสถานที่อันตราย ผู้ที่ความแข็งแกร่งด้อยกว่ามาไม่ได้ก็มีอยู่ ประการที่สอง ในทางกลับกันนอกวังเซียนนี้มีสมบัติวิญญาณทั่วไปหมด ผู้ฝึกตนจำนวนมากยอมรับกับตัวเองว่าความแข็งแกร่งสู้ไม่ได้ ไม่มาเข้าร่วมก็ปกติมาก — จิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นกับจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายแทบจะต่างราวฟ้ากับดิน อย่าได้เห็นว่าอาจารย์เต๋าหยวนมู่ยามปกติค่อนข้างเป็นมิตร ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางพื้น ๆ ถึงจะรวมตัวโจมตีกันสิบกว่าคน เขายังไม่เห็นในสายตาเลย
ทุกคนไม่ได้รอนานเกินไป วันที่หก บัณฑิตอวี๋กับผู้ฝึกตนของสำนักศึกษาเยว่ซานเร่งมาถึงท้ายสุด หลังจากปรึกษากันรอบหนึ่งก็ตัดสินใจเข้าสู่วังเซียน ขณะนี้ นอกจากผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายและคนร่วมสำนัก มีเพียงแค่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางและขั้นต้นไม่กี่คนที่มาถึง
“สหายน้อยโม่ วังเซียนนี้สรุปว่าเปิดอย่างไร ตอนนี้เจ้าควรจะบอกพวกเราแล้วกระมัง”
ในการแลกเปลี่ยนของพวกหยวนมู่ ไพ่ต่อรองของโม่เทียนเกอก็คือวิธีการได้รับชะตาเซียน รวมทั้งเส้นทางเฉพาะ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่ห้าปราชญ์อีกสี่คนทิ้งเอาไว้ เนื่องจากพลังตกลงจึงไม่ได้ถ่ายทอดเนื้อหาทั้งหมด นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่พวกหยวนมู่ไม่อาจไม่รับปากนาง
โม่เทียนเกอยิ้มแล้วพยักหน้า “นี่ย่อมแน่นอน”
จากนั้น นางเงยหน้ามองพวกหลิงอวิ๋นเฮ่อ เอ่ยว่า “สหายเต๋าทั้งสี่ เชิญมาเถอะ”
ทั้งสี่คนต่างคนต่างมองผู้อาวุโสของสำนัก หลังจากได้รับการชี้แนะจึงได้เดินเข้าไป
โม่เทียนเกอล้วงแผ่นหยกหนึ่งชิ้นออกจากในกระเป๋าเอกภพ “วังเซียนแห่งนี้ กำแพงอาคมโบราณกาลร้ายกาจถึงสิบส่วน ปีนั้นผู้อาวุโสห้าปราชญ์ร่วมแรงร่วมใจ ก็ได้แค่เพียงคิดวิธีการอย่างหนึ่งออก เปิดเส้นทางสายหนึ่งเป็นการชั่วคราว เส้นทางสายนี้สามารถคงอยู่เป็นระยะเวลาสามวัน หากผ่านพ้นเวลานี้ไปแล้ว อยากจะเปิดเส้นทางอีกจะไม่ง่ายดายขนาดนั้นแล้ว นี่เป็นแผ่นหยกที่บันทึกวิธีการเอาไว้ ทุกท่านจดจำไว้ก่อนเถอะ”
ผู้ที่รับแผ่นหยกเป็นคนแรกคือหลิงอวิ๋นเฮ่อ เขารับไปอย่างไม่ลังเลสักเศษเสี้ยว แทรกจิตหยั่งรู้เข้าไป หลังจากผ่านไปชั่วขณะ ก็ส่งแผ่นหยกให้คนต่อไป
จากนั้นเป็นเจวี๋ยอู้ หานซื่อจือ หยางเฉิงจี รอจนทั้งสี่คนอ่านจบกันหมด โม่เทียนเกอถามว่า “ทั้งสี่ท่านต้องการเวลาทำความคุ้นเคยสักหน่อยหรือไม่”
คนอื่นยังไม่ทันตอบ เจวี๋ยอู้เอ่ยอย่างยิ้มแย้มขึ้นมาแล้วว่า “ประสกโม่ พระน้อยโง่เขลา เกรงว่าจะไม่อาจเกาะกุมไว้ได้ในชั่วขณะนี้ ทำลายเรื่องใหญ่ของผู้อาวุโสทั้งหลาย โปรดให้เวลาข้าครึ่งชั่วยาม ทำความคุ้นเคยศาสตร์เวทสักหน่อย”
โม่เทียนเกอยิ้ม ผงกศีรษะ “เช่นนั้นพวกเรามาเริ่มกันหลังจากนี้ครึ่งชั่วยาม”
ในเมื่อเจวี๋ยอู้พูดอย่างนี้แล้ว คนอื่นก็ไม่สะดวกจะพูดอะไร ต่างคนต่างเสาะหาที่นั่งสมาธิ ท่องศาสตร์ เริ่มปรับลมหายใจ
“เทียนเกอ” เมื่อเห็นโม่เทียนเกอกลับมา ฉินซีกังวลอยู่บ้าง “วิธีการอันนี้……”
“วางใจเถอะ ไม่เป็นไร” โม่เทียนเกอรู้ว่าเขาอยากพูดอะไร ความกล้าแข็งของกำแพงอาคมวังเซียนนี้ ทุกคนแค่มีตาก็มองเห็น อยากจะทำลายกำแพงอาคมอย่างนี้ กว่าครึ่งต้องการพลังอันกล้าแข็ง พวกเขาห้าคนเป็นเพียงผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน หากถึงเวลาโดนพลังสะท้อนกลับ จะต้องเสียชีวิตทันทีเป็นแน่ ทนรับพลังอย่างนั้นไม่ได้เลย
“แต่ตอนที่เข้าไปจะยุ่งยากนิดหน่อย” นางเอ่ยหลังจากขบคิดชั่วครู่ “เดิมทีข้าวางแผนว่าจะหยิบยืมพลังของพวกเขาปกป้องตัวเอง แต่ตอนนี้ท่านมาแล้ว……”
“ทำไม มีอะไรยากหรือ”
โม่เทียนเกอมองไปรอบ ๆ ที่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายจำนวนน้อยซึ่งร่วมทางกับผู้ฝึกตนขั้นต้นขั้นกลาง เอ่ยกับเขาว่า “ข้าไม่รู้ว่าม่านพลังกระบี่ของท่านจะสามารถสกัดกั้นอันตรายในเส้นทางได้หรือไม่”
“อันนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลใจเกินไป” ในสมองจู่ ๆ มีเสียงของฝูเหยาจื่อดังขึ้น เขาเอ่ยว่า “อาวุธเวทคู่ชีพของซือเกอคนนี้ของเจ้าน่าจะเป็นสมบัติวิญญาณที่สืบทอดมาจากโบราณกาล เขาใช้เลือกสกัดหล่อเลี้ยงมานานแล้ว พลังอำนาจไม่สามัญ อีกอย่าง เขาเคยฝึกวิชากายาพิสุทธิ์ การผ่านเส้นทางน่าจะไม่ใช่ปัญหา”
“แต่ว่าซือฟุ แล้วข้าเล่า”
“ฮา……” ฝูเหยาจื่อหัวเราะเบา ๆ “เจ้าลืมสิ่งของที่เหวยซือให้เจ้าซื้อมาก่อนหน้านี้แล้วหรือ ชีพจรปราณของเจ้าแข็งแรง บวกกับเครื่องรางคุ้มครองกายที่เหวยซือให้เจ้าเตรียม น่าจะไม่ย่ำแย่”
“เทียนเกอ?” ฉินซีเห็นนางเป็นครึ่งค่อนวันยังไม่ตอบจึงร้องเรียกคำหนึ่ง
“ไม่มีอะไร ฝูเหยาจื่อซือฟุคุยกับข้าน่ะ”
“อ้อ?” อันที่จริงฉินซีอยากรู้ถึงสิบส่วน เขารู้ว่าบนกระบี่ฝูเซิงมีจิตสัมผัสอันกล้าแข็งขุมหนึ่ง แต่กลับไม่เคยได้สื่อสารด้วย บางครั้งได้ยินสิ่งที่โม่เทียนเกอเล่าต่อก็ยิ่งปรารถนาในใจ ไม่รู้ว่าจิตสัมผัสบนกระบี่เป็นของผู้ฝึกตนอันน่ามหัศจรรย์เช่นไร
ครึ่งชั่วยามผ่านไป หลิงอวิ๋นเฮ่อและพวกหยุดปรับลมหายใจแล้ว ทุกคนมองไปทางเจวี๋ยอู้ถี่ ๆ มีเพียงเขาที่ยังหลับตานั่งสมาธิ จดจ่ออยู่กับการท่องเงียบ ๆ
รออีกครู่หนึ่ง เขาพ่นลมหายใจออกมาหนึ่งคำในที่สุด ลืมตาขึ้น ประนมมือขออภัยทุกคน เอ่ยกับโม่เทียนเกอว่า “ประสกโม่ พระน้อยได้แล้ว”
โม่เทียนเกอพยักหน้า ลุกขึ้นเดินไปตรงกลาง ล้วงจานม่านพลังหลายชิ้นออกจากอกเสื้อ ตั้งที่นอกประตูวังเซียน
ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทั้งหมดมองความเคลื่อนไหวของนางด้วยสายตาที่ไม่ว่อกแว่ก พวกเขาล้วนอยากรู้มาก กำแพงอาคมบนวังเซียนนี้ ด้วยระดับการฝึกตนของพวกเขาล้วนหยั่งความลึกไม่ถึง ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานหนึ่งคน ถึงจะมีคำชี้แนะของฝูเหยาจื่อ จะสามารถทำลายได้อย่างไรเล่า
“ชิ้ง!” ธงม่านพลังผืนสุดท้ายตกลง บนจานม่านพลังเกิดแสงสีขาวสว่างจ้าขึ้นในพริบตา ส่งเสียงกระเรียนสดใสคำหนึ่ง แผนที่ดวงดาวปรากฏขึ้นบนพื้น
บัณฑิตอวี๋เห็นดังนี้ก็หรี่ตา เขาเป็นผู้ทรงภูมิ เต๋าแห่งม่านพลังก็เรียนมาผ่าน ๆ แต่ถึงกับมองไม่ออกว่าม่านพลังที่นางตั้งมีความเร้นลับอะไร…… ห้าปราชญ์ก็คือห้าปราชญ์จริง ๆ ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายแล้ว เทียบกับห้าปราชญ์ในปีนั้นยังแกร่งกว่าเล็กน้อย แต่ม่านพลังที่ห้าปราชญ์ตั้ง เขายังมองไม่ทะลุ
“ผู้อาวุโสทั้งหลายเจ้าคะ” โม่เทียนเกอเอ่ยกับพวกหยวนมู่เสียงดัง “เราระดับการฝึกตนไม่ดี ยังต้องการให้พวกท่านเหล่าผู้อาวุโสปกป้อง หากในพวกเรามีคนที่พลังวิญญาณไม่พอ ได้โปรดช่วยเหลือด้วยเจ้าค่ะ”
“นี่ย่อมแน่นอน” อาจารย์เต๋าหยวนมู่เอ่ย “จุดนี้สหายน้อยโม่ไม่ต้องกังวล”
โม่เทียนเกอยิ้ม ๆ เรื่องเกี่ยวพันกับการเปิดวังเซียน คาดว่าพวกเขาล้วนจะทุ่มสุดกายสุดใจ
นางผินหน้ากลับ เอ่ยกับพวกหลิงอวิ๋นเฮ่อว่า “สหายเต๋าทั้งสี่ เช่นนั้นพวกเราก็เริ่มกันเถอะ”
ทั้งสี่คนต่างพยักหน้า แยกย้ายกันยืนอยู่บนห้ามุนของม่านพลัง ประคองมอบวัตถุศักดิ์สิทธิ์
เช่นเดียวกับวิธีการเปิดมิติ ทั้งห้าคนท่องศาสตร์เวท เกิดเสียง “หึ่ง” วัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นต่างลอยขึ้นไปส่องแสงสีขาว แต่ว่าครั้งนี้ กลับเป็นพลังวิญญาณอันกล้าแข็งระเบิดออกมาบนวัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้น ใช้คนทั้งห้าเป็นสื่อ เจาะลงไปในม่านพลังใต้เท้า!
โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว ทนรับความเจ็บปวดของพลังวิญญาณอันกล้าแข็งนี้ซึ่งใช้ชีพจรปราณของตนเองเป็นเส้นทาง นางผ่านการฝึกห้าวิญญาณ ชีพจรปราณแข็งแรง ความเจ็บปวดชนิดนี้ทนได้ไม่ยากเลย แต่ว่าอีกสี่คนก็ไม่ได้โชคดีอย่างนี้แล้ว บนใบหน้าพวกเขาปรากฏแววเจ็บปวดในระดับที่ไม่เท่ากัน โดยเฉพาะหยางเฉิงจีกับเจวี๋ยอู้ พวกเขาระดับการฝึกตนต่ำที่สุด ผลกระทบที่ได้รับมากที่สุด
ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทั้งหมดแล้วจับจ้องพวกเขาห้าคน ประมุขมารกุ่ยฟางกับอู๋หมิงเจินเจ่อยิ่งมีแววห่วงใยบนใบหน้า
เห็นอยู่กับตาว่าลมปราณบนวัตถุศักดิ์สิทธิ์ยิ่งมายิ่งอ่อนลง พวกเขาห้าคนสีหน้ายิ่งมายิ่งขาวซีด อาจารย์เต๋าหยวนมู่เดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าวเป็นคนแรก ฝ่ามือตบลงบนร่างของหลิงอวิ๋นเฮ่อ พอเขาลงมือ อู๋หมิงเจินเจ่อและพวกก็ขึ้นหน้ามาทันที
อาจารย์เต๋าเถี่ยเมี่ยนของสำนักจิ่วเยี่ยนมองฉินซี ถามว่า “สหายเต๋าฉิน ต้องการให้เหล่าฟูทำแทนหรือไม่” อีกสี่คนล้วนมีผู้อาวุโสจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย มีโม่เทียนเกอคนเดียว ฉินซียังคงมีระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลาง อีกทั้งท่าทางเพิ่งจะเลื่อนขึ้นขั้นกลาง
ฉินซีส่ายหน้า ประสานมือให้เขา “เจตนาดีของสหายเต๋า จ้ายเซี่ยขอรับด้วยใจ” พูดจบ ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ตบลงบนร่างโม่เทียนเกอเช่นกัน
วิชาเวทที่พวกเขาสองคนฝึกเป็นหนึ่งอินหนึ่งหยาง วัฏจักรไม่สิ้นสุด ในกระบวนการถ่ายทอดพลังวิญญาณ สิ้นเปลืองน้อย แต่กลับได้รับประโยชน์มาก จุดนี้อาจารย์เต๋าเถี่ยเมี่ยนไม่ทราบ เพียงนึกว่าฉินซีไม่วางใจก็เลยไม่ได้ยืนกราน
มีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เติมพลังวิญญาณไม่หยุด สีหน้าคนทั้งห้าดูดีขึ้นมาในที่สุด
เวลาผ่านไปทีละนิด ม่านพลังใต้เท้ายิ่งมายิ่งสว่าง ในที่สุด แสงบนวัตถุศักดิ์สิทธิ์ค่อย ๆ จางไป ทว่าม่านพลังราวกินพลังวิญญาณจนเต็มอิ่ม เปล่งประกายแสงบาดนัยน์ตาออกมา ในประกายแสง ปรากฏปากถ้ำอันมืดมิดขนาดหนึ่งตัวคนขึ้นมาหนึ่งปาก
เมื่อเห็นปากถ้ำนี้ปรากฏ ผู้ฝึกตนในที่แห่งนี้ ใบหน้าแต่ละคนเผยแววปิติ
โม่เทียนเกอผ่อนลมหายใจ ในที่สุดนับว่าเสร็จสิ้นแล้ว
“ผู้อาวุโสทั้งหลาย” นางเอ่ยเสียงดัง “ผู้เยาว์ขอเตือนก่อนหนึ่งประโยค ในเส้นทางนี้อันตรายถึงสิบส่วน หากไร้อาวุธเวทป้องกันที่แข็งแกร่ง โปรดเข้าไปอย่างระมัดระวัง”
“สหายน้อยโม่วางใจ” อาจารย์เต๋าหยวนมู่เอ่ยอย่างเฉยเมย “ทุกคนสามารถกลายเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ระดับจิตวิญญาณใหม่ ล้วนเข้าใจหลักเหตุผลนี้ เรื่องของวาสนา ต่างอาศัยชะตาฟ้าลิขิต ถึงจะตายอยู่ในนี้ก็ไม่โทษคนอื่น”
“ใช่แล้ว หลักเหตุผลที่สหายเต๋าน้อยเข้าใจ พวกข้าไยจะไม่เข้าใจ” อู๋หมิงเจินเจ่อยิ้มแย้ม “สหายเต๋าน้อย เจ้าเคยพูดก่อนหน้านี้……ตลอดทางนี้จะร่วมทางกันหรือไม่เล่า”
โม่เทียนเกอยิ้มบาง เงื่อนไขการแลกเปลี่ยนก่อนหน้านี้ของนางคือต้องบอกพวกเขาว่าเสาะหาชะตาเซียนอย่างไร การเปิดวังเซียนเป็นเพียงก้าวแรก และด้วยระดับความไว้วางใจกันและกันของพวกเขา คนเหล่านี้จะไม่เชื่อวาจาของนาง จำเป็นต้องให้นางร่วมทาง เลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกนางวางอุบาย
“นี่ย่อมแน่นอน แต่ว่า……” นางเหล่มองผู้ฝึกตนโดยรอบ ที่นี่มีคนมากขนาดนี้ นอกจากสามเจ้าที่คุยเงื่อนไขตอนแรก ยังมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายจำนวนมาก นางล่วงเกินไม่ได้
สุดท้ายยังเป็นอาจารย์เต๋าหยวนมู่เอ่ยเสียงดังว่า “สหายเต๋าทุกท่าน ก่อนหน้านี้เหล่าฟูกับอวี๋เซียนเซิงและสหายเต๋าอู๋หมิงเชิญทุกท่านร่วมสำรวจสถานที่ลับ บัดนี้นับว่าทำตามสัญญาเรียบร้อยแล้ว เมื่อเข้าไปในเส้นทางนี้ ทุกคนต่างอาศัยความสามารถเสาะหาชะตาเซียน เป็นอย่างไร?”
“ตาเฒ่าหยวนมู่ท่านพูดไร้สาระมากปานนี้ทำอะไร พวกเราเหล่าผู้ชรามีชีวิตมานานนมแล้ว หรือว่าแม้แต่หลักเหตุผลพวกนี้ยังไม่เข้าใจ? ช่างเถอะ ๆ พวกท่านรับผิดชอบหน้าที่สุดคุณธรรมแล้ว เข้าไปหรือไม่ หาเจอหรือไม่ ล้วนเป็นฟ้าลิขิต ใครยังจะโทษท่าน?” ซูเซียงเจินเจ่อโบกมืออย่างหมดความอดทน
เขาดูเหมือนคนหยาบกร้าน แต่มีชีวิตมานานขนาดนี้ ฝึกตนถึงจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย จะดูไม่ออกได้อย่างไร? วัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาถือในมือจะต้องมีความลับอะไร เรื่องพวกนี้จะไม่แบ่งปันให้กับคนอื่น
เมี่ยวอิงหยวนจวินเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “สิ่งที่สหายเต๋าซูเซียงพูดถูกแล้ว สหายเต๋าหยวนมู่ เวลาไม่มาก ยังคงอย่าได้เสียเวลาเลย”
อาจารย์เต๋าหยวนมู่พยักหน้า เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหล่าฟูก็ไม่เกรงใจแล้ว สำนักจิ่วเยี่ยนข้าเดินทางก่อน ทุกคนไม่คัดค้านกระมัง”
สำนักจิ่วเยี่ยนทั้งมีวัตถุศักดิ์สิทธิ์ ความแข็งแกร่งก็กล้าแข็งที่สุด คืนอื่นย่อมไม่คัดค้าน จึงมองผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ห้าคนของสำนักจิ่วเยี่ยนต่างคนต่างใช้วิชา ปล่อยอาวุธเวทออกมา คุ้มครองหลิงอวิ๋นเฮ่อ นำหน้าเข้าไปในเส้นทาง
จากนั้นเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สามคนของสำนักศึกษาเยว่ซานและหานซื่อจือ ต่อด้วยประมุขมารกุ่ยฟางพาหยางเฉิงจีไป
ก่อนที่อู๋หมิงเจินเจ่อจะเข้าไปในเส้นทางได้หันร่างมาประนมมือให้โม่เทียนเกอและฉินซี “สหายเต๋าฉิน พวกท่านสองคนต้องการจะร่วมทางกับพวกข้าหรือไม่”
ในการเข้ามิติแห่งนี้ วัดหัวเหยียนก็มีผู้ฝึกตนขั้นต้นหลายคน ขณะนี้ผู้ฝึกตนขั้นต้นเหล่านี้ล้วนไม่มา จึงมีเพียงอู๋หมิงเจินเจ่อคนเดียวที่พาเจวี๋ยอู้ไป
ฉินซีมองโม่เทียนเกอแวบหนึ่ง เห็นนางพยักหน้า ยิ้มเอ่ยว่า “พระอาจารย์เชื้อเชิญอย่างจริงใจ พวกเราเคารพมิสู้เชื่อฟัง”
……………….
ตอนที่ 462 – เข้าวังเซียน