หนึ่งเซียนยากเสาะหา (Lady Cultivator) - ตอนที่ 457 ศาลเจ้าอีกแห่ง
ตอนที่ 457 – ศาลเจ้าอีกแห่ง
“ปีนั้น เหวยซือยังเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางคนหนึ่ง มีชื่อเสียงจอมปลอมในอวิ๋นจง เวลานั้น ทะเลกุยสวีมีตำนานอย่างหนึ่ง ทุก ๆ ร้อยปีจะมีภูเขาเซียนปรากฏ คนที่มีชะตาได้เห็นจะก้าวเข้าสู่มหามรรคากลายเป็นเซียน ณานศักดิ์สิทธิ์ทั้งตัวของเหวยซือล้วนมาจากซากโบราณกาล สำหรับตำนานประเภทนี้ ค่อนข้างมีประสบการณ์”
ฝูเหยาจื่อกล่าวช้า ๆ ว่า “ตำนานที่แพร่หลายมาเนิ่นนานประเภทนี้ ในระหว่างที่แพร่หลายจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอันมาก แต่ส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องโคมลอย ดังนั้น เหวยซือไปยังสถานที่ในตำนานของทะเลกุยสวี เสาะหาร่องรอยของตำนานนี้”
“สิ่งที่ซือฟุพูดก็คือรอยแยกมิติแห่งนี้?”
“มิผิด” ฝูเหยาจื่อเอ่ย “เหวยซือสืบเสาะที่ทะเลกุยสวีอยู่หลายปี ในที่สุดเสาะพบเงื่อนงำบางอย่าง บังเอิญว่าในขณะนั้นเอง ในทะเลถึงกับค้นพบภูเขาเซียนในตำนานขึ้นมาจริง ๆ……”
โลกฝึกเซียนเมื่อแสนปีก่อนกับทุกวันนี้ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ในเมื่อปรากฏชะตาเซียน เหล่าผู้ฝึกตนย่อมแห่แหนไปหา อันที่จริง ภูเขาเซียนที่ว่ากันในข่าวลือเป็นเพียงภาพลวงตา ชะตาเซียนที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ภูเขาเซียนเลย ฝูเหยาจื่อเข้าใจจุดนี้ จึงได้ตามรอยจนพบรอยแยกมิติแห่งนี้
ทว่าร่องรอยบางเบาที่ฝูเหยาจื่อทิ้งเอาไว้ทำให้คนอื่นอีกสี่คนเสาะพบที่นี่เช่นกัน พวกเขาก็คือผู้ฝึกตนอีกสี่คนที่อวิ๋นจงเรียกขานว่าห้าปราชญ์ในภายหลัง
ผู้ฝึกตนห้าคนนี้ สองเต๋าหนึ่งพุทธหนึ่งขงจื้อหนึ่งมาร ต่างอยู่ในกลุ่มอำนาจที่ไม่เหมือนกัน ล้วนเป็นผู้เลิศล้ำในหมู่ผู้ฝึกตนแห่งยุค หลังจากเข้าสู่รอยแยกมิตินี้ พวกเขาเริ่มแรกเป็นศัตรูและหวาดระแวงกัน จากนั้นแยกย้ายไปตามทางของตนเอง สุดท้ายค้นพบว่ามิติแห่งนี้อยู่เหนือความสามารถของพวกเขา ได้แต่ร่วมมือกันสำรวจดี ๆ
ประสบการณ์ในมิตินี้เรียกได้ว่าตายเก้ารอดหนึ่ง โชคดีที่พวกเขาล้วนเป็นชนชั้นที่เฉลียวฉลาดอย่างยิ่งยวด หลังจากปล่อยวางความแค้นเก่าก่อน ได้รับวาสนาอันน่าทึ่งจากข้างใน อีกทั้งแบ่งปันทักษะฉีกกระชากมิติ
ตั้งแต่ออกมาจากรอยแยกมิติ เนื่องจากไม่ไว้วางใจกันและกัน พวกเขาทำลายเส้นทางเข้าออก แบ่งทักษะฉีกกระชากมิติเป็นห้าส่วน แยกย้ายกันไป ภายหลัง แต่ละคนฝึกฝนจนมีมีณานศักดิ์สิทธิ์น่าทึ่งและกลายเป็นผู้ฝึกตนชั้นสูงสุดของอวิ๋นจง เรียกขานว่าห้าปราชญ์
พูดได้ว่า ไม่มีมิตินี้ ไม่มีวาสนาที่นี่ ก็ไม่มีห้าปราชญ์อวิ๋นจง
“พวกเราห้าคนฝึกตนมาถึงขอบเขตนี้ล้วนเป็นชนชั้นที่ฉลาดเหนือคน แต่เข้าสู่มิติแห่งนี้ กลับจำกัดไปทุกแห่งหน สุดท้ายไม่อาจไม่ร่วมมือ สาเหตุที่ใหญ่ที่สุดในนี้ก็คือปราณแห่งปีศาจแรกเริ่ม”
ฟังถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอถามว่า “ซือฟุ ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มที่ข้าเคยเห็นถึงจะแกร่งกล้า แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นนี้ ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มในมิตินี้ สรุปแล้วมีความเร้นลับอะไรเจ้าคะ”
ฝูเหยาจื่อหัวเราะเบา ๆ กล่าวว่า “คำถามนี้ เหวยซือก็ไม่มีหนทางตอบเจ้า เพราะว่าระดับการฝึกตนจำกัด พวกเราในปีนั้นก็ได้แต่รับวาสนาจากข้างใน สุดท้ายหนีออกมาอย่างปลอดภัย ไม่สามารถสำรวจปริศนาทั้งหมด”
“เช่นนั้นพวกท่านในปีนั้นพบเจอปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มได้อย่างไรเจ้าคะ”
ฝูเหยาจื่อเงียบงันเนิ่นนานจึงได้ตอบว่า “ใต้วังเซียนนี้มีวังใต้ดินแห่งหนึ่ง”
“วังใต้ดิน?”
“มิผิด” ฝูเหยาจื่อกล่าว “ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มนี้มาจากศิลาจารึกของวังใต้ดิน”
“ศิลาจารึก!!!” โม่เทียนเกอหน้าเปลี่ยนสี
“ทำไมหรือ” ฉินซีหันหน้าไปมองนาง
โม่เทียนเกอขยิบตาให้เขา ใช้จิตสัมผัสสื่อสารกับฝูเหยาจื่อต่อไป “ซือฟุ ในวังใต้ดินนี้……บูชาหนึ่งในห้าวิญญาณใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ฝูเหยาจื่อชะงัก ประหลาดใจอยู่บ้าง “มิผิด เจ้ารู้ได้อย่างไร”
เป็นศาลเจ้าห้าวิญญาณอีกแห่ง! โม่เทียนเกออดคิดถึงการคาดเดาของตนเองไม่ได้
ตอนที่อยู่ระดับสร้างฐานพลัง นางพบแห่งหนึ่งที่ธารน้ำแข็งสุดเหนือ เริ่นอวี่เฟิงศิษย์สำนักเจิ้งฝ่าเดินเข้าสู่สายมารด้วยเหตุนี้ หลังมาที่อวิ๋นจง เฟยเฟยพูดว่าในหุบเขาไร้กังวลก็มีหนึ่งแห่ง จากนั้นค้นพบว่า เหมยเฟิงเจ้าเมืองซิงลั่วซึ่งอยู่ใกล้เคียงหุบเขาไร้กังวลฝึกฝนมหาเวทปีศาจแรกเริ่ม ปัจจุบันค้นพบปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มในรอยแยกมิติทะเลกุยสวีนี้ และฝูเหยาจื่อยืนยันว่าทะเลกุยสวีก็มีศาลเจ้าห้าวิญญาณหนึ่งแห่ง ในนั้นมีศิลาจารึกที่เปล่งปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มออกมาหนึ่งแผ่น
เรื่องราวนี้ นางเคยวิเคราะห์ว่า ศาลเจ้าที่บูชาหนึ่งในห้าวิญญาณหนึ่งแห่ง ศิลาจารึกอันแปลกประหลาดหนึ่งแผ่น สามารถหยั่งรู้มหาเวทปีศาจแรกเริ่มออกมาจากในนั้น ในนี้เกี่ยวกันกับคนสามคน ซงเฟิงซ่างเหริน เจ้าเมืองเหมย
เริ่นอวี่เฟิงไม่สามารถฝึกมหาเวทปีศาจแรกเริ่มที่แท้จริงสำเร็จ เป็นไปได้ว่าเป็นเพราะระดับการฝึกตนของเขาต่ำเดินไป ความสามารถในการหยั่งรู้ก็ไม่ดี ส่วนซงเฟิงซ่างเหรินกับเจ้าเมืองเหมยฝึกฝนมหาเวทปีศาจแรกเริ่มเป็นเรื่องที่ไร้ข้อกังขาแม้แต่น้อย
และตอนนี้ ฝูเหยาจื่อพูดอีกว่า ในรอยแยกมิตินี้ก็มีหนึ่งแห่ง นับแบบนี้ก็มีสี่แห่ง
วิญญาณทั้งห้าคือ มังกรเขียว พยัคฆ์ขาว หงส์แดง เต่าดำ พูดอย่างนี้ ศาลเจ้าเทพมังกรที่เรียกกันแห่งนั้น อันที่จริงน่าจะเป็นศาลเจ้ามังกรเขียว
ศาลเจ้าห้าวิญญาณที่หลงเหลือมาแต่ปฐมกาลนี้สรุปว่ามีความเร้นลับอะไรกันนะ?
“ซือฟุ ศาลเจ้าแห่งนี้ สิ่งที่บูชาเป็นตัวไหนในห้าวิญญาณเจ้าคะ”
“เป็นหงส์แดง” ฝูเหยาจื่อสงสัย “หรือว่าเจ้าเคยเห็น”
โม่เทียนเกอสูดลมหายใจลึก ๆ คำหนึ่ง กล่าวว่า “มิผิด ตอนที่ศิษย์อยู่ระดับสร้างฐานพลัง เคยเห็นศาลเจ้าที่เหมือนกันที่ธารน้ำแข็งสุดเหนือของเทียนจี๋ สิ่งที่บูชาในนั้นคือมังกรเขียว” ประสบการณ์ของนางได้เคยบอกกับฝูเหยาจื่อแต่แรกแล้ว เพียงแต่ไม่สามารถลงรายละเอียดในนั้นจนยิบย่อยเกินไป พอพูดอย่างนี้ ฝูเหยาจื่อก็ทราบแล้ว
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ดูท่าเรื่องนี้ไม่ปกติอยู่บ้าง……”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ไม่ได้ยินฝูเหยาจื่อพูดจาอีก โม่เทียนเกออดส่งเสียงออกมามิได้ว่า “ซือฟุ? ท่านยังไม่ได้พูดให้ชัดเจนเลย ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มในมิตินี้สรุปแล้วเป็นเรื่องราวเช่นไรเจ้าคะ? ยังมี ศิลาจารึกแผ่นนั้นในปีนั้นเล่า? พวกท่านใช่หรือไม่ว่า……”
“ปีนั้นจอมมารเทียนหมอเดิมอยากเอาศิลาจารึกแผ่นนั้นไป เพียงแต่พวกเราคนอื่นไม่ให้เขาเอาไป” ฝูเหยาจื่อพูดอย่างเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย
โม่เทียนเกอร้อง “อ้อ” คำหนึ่งแสดงออกว่าเข้าใจ ในสถานการณ์เช่นนั้น ถึงพวกเขาจะร่วมมือกัน แต่กลับหวั่นเกรงกันและกัน ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มนี้กล้าแข็งขนาดนี้ อีกสี่คนไม่สามารถให้จอมมารเทียนหมอเอาศิลาจารึกไปแล้วให้เขาฝึกมหาเวทปีศาจแรกเริ่มสำเร็จเด็ดขาด
พูดอย่างนี้ ไยมิใช่ว่าศิลาจารึกนี้ยังอยู่ในศาลเจ้า……
“เนื้อหาบนศิลาจารึกนี้ พวกเราพิจารณาดูคร่าว ๆ แล้ว ลมปราณชนิดนี้เรียกว่าปราณแห่งปีศาจแรกเริ่ม ก็เป็นสิ่งที่พวกเราทราบจากศิลาจารึก” ฝูเหยาจื่อเปลี่ยนหัวข้อไปพูดว่า “–เจ้ารู้สึกว่าประหลาดหรือไม่ สิ่งที่ตั้งอยู่บนภูเขาได้เห็นชัด ๆ ว่าเป็นวังเซียน เหตุใดในวังใต้ดินจึงมีศาลเจ้าแห่งหนึ่ง ในเมื่อสิ่งที่ศาลเจ้านี้บูชาเป็นหนึ่งในห้าวิญญาณ เหตุใดจึงมีศิลาจารึกที่เปล่งปราณมารออกมาเล่า”
“……ศิษย์ก็คิดไม่ออก”
ฝูเหยาจื่อก็ไม่ได้คาดหวังว่านางจะสามารถตอบได้ กล่าวว่า “เหวยซือมีลางสังหรณ์ว่า หากสามารถแก้ปริศนาข้อนี้ก็จะทราบความลับของโลกฝึกเซียนปฐมกาล”
“……” โม่เทียนเกอทราบว่าซือฟุท่านนี้ลุ่มหลงกับการสำรวจความหมายแท้จริงของมรรคาเซียน แต่นางรู้สึกว่าความน่าจะเป็นนี้น้อยเกินไป ฝูเหยาจื่อแปลงเทพกลายเป็นปราชญ์ เป็นสิ่งที่อวิ๋นจงล้วนทราบ ในเมื่อร่างจริงของเขากลายเป็นผู้ฝึกตนแปลงเทพไปแล้ว เหตุใดไม่กลับมาสำรวจที่นี่ต่อ ถ้าไม่ใช่ไม่จำเป็นก็คือทำไม่ได้
ผู้ฝึกตนแปลงเทพรู้สึกว่าไม่จำเป็นหรือทำไม่ได้ แล้วนางจะทำอย่างไรได้เล่า
“เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว พูดถึงปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มอย่างเดียว ในมิตินี้ พลังวิญญาณเต็มเปี่ยม ควรจะเป็นเส้นเลือดวิญญาณที่ดี ไม่รู้มีสาเหตุอะไร ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มในวังใต้ดินรั่วไหลออกมา ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มนี้พิสดารถึงสิบส่วน พลังวิญญาณยิ่งแกร่ง มันก็ยิ่งแกร่ง ดังนั้น หากค้นพบว่ารอบบริเวณมีปราณแห่งปีศาจแรกเริ่ม ไม่อาจใช้อาวุธเวทที่ทรงพลังเป็นอันขาด มิเช่นนั้นพวกเจ้าจะเจอกับการโต้กลับ”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ ซือฟุ”
การสื่อสารกับฝูเหยาจื่อยุติลงชั่วคราว โม่เทียนเกอแจ้งข้อมูลที่เพิ่งได้ฟังให้กับฉินซี
ฉินซีฟังจบ ไม่พูดจาไปครึ่งค่อนวัน
โม่เทียนเกอเห็นเขาตกอยู่ในห้วงคิดจึงถามว่า “ทำไม หรือว่าท่านคิดอะไรออก” ฉินซีความคิดละเอียดอ่อน ไม่แน่ว่าจะสามารถคิดถึงสิ่งที่นางคิดไม่ถึง
ฉินซีเอ่ยว่า “อย่างอื่นข้าไม่เคยเห็นกับตา แต่ว่า กระดูกมังกรที่เจ้าได้มาจากสุดเหนือ ข้ากลับเคยเห็น”
“ใช้แล้ว มีปัญหาหรือ”
“ไม่มีปัญหานั่นล่ะที่ประหลาด” ฉินซีพูด “กระดูกมังกรนั้นพลังสภาวะกล้าแข็งและศักดิ์สิทธิ์ น่าจะไม่แปลกปลอม หรือก็คือ ศาลเจ้าแห่งนั้น สิ่งที่บูชาเป็นห้าวิญญาณที่แท้จริง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงมีศิลาจารึกที่เปล่งปราณมารออกมาเล่า”
“……” จุดนี้ก็เป็นสิ่งที่โม่เทียนเกอคิดไม่ออก ดังนั้นขณะนี้ไม่มีคำตอบ เพียงมองฉินซี รอเขาพูดต่อไป
“ข้าคิดได้เพียงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง” ฉินซีหยุดชั่วรู้ พูดสองคำเสียงเนิ่บช้าว่า “สะกด”
โม่เทียนเกอตะลึง เข้าใจขึ้นมาทันที “ที่แท้เป็นเช่นนี้!” สะกดปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มด้วยพลังของห้าวิญญาณ
ฉินซีมองดูนาง ยิ้มเอ่ยว่า “นี่เป็นเพียงความเป็นไปได้ ไม่แน่ว่าจะเป็นความจริง อีกประการ อย่างนี้ก็มีจุดที่ไม่สมเหตุสมผล ศิลาจารึกนี้มีคนได้รับหลายคนแล้ว ถึงแม้ว่าจะหยั่งรู้ศาสตร์มารออกมา แต่กลับไม่มีอำนาจที่กล้าแข็งจนเกินไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เพราะอะไรต้องสะกดทว่าไม่ทำลายไปตรง ๆ เลยเล่า?”
โม่เทียนเกอคิดแล้วกล่าวว่า “นี่ไม่สามารถอธิบายได้ ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มในมิตินี้สามารถทำให้ห้าปราชญ์ในปีนั้นปวดศีรษะขนาดนี้ ทราบได้ว่ากล้าแข็งถึงสิบส่วน ดังนั้น ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มบนศิลาจารึกนี้เดิมน่าจะกล้าแข็ง ทว่าศิลาจารึกที่คนอื่นได้รับ เนื่องจากสาเหตุบางประการหรือว่าผ่านวันเวลาเนิ่นนาน ได้สูญเสียพลังในอดีตไป”
ฉินซีคิดชั่วขณะ พยักหน้า “ที่เจ้าพูดก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ แต่ว่า ศาลเจ้านี้ตกค้างจากปฐมกาล แม้แต่ในตำราล้วนไม่เคยเห็นการจดบันทึก สรุปว่าเป็นเรื่องราวเช่นไรก็เป็นเพียงการคาดเดาของพวกเราเท่านั้น”
“อืม” โม่เทียนเกอปล่อยวางการสืบสาวชั่วคราว คิดแล้วกล่าวว่า “แต่ว่า วังใต้ดินนี้พวกเรายังต้องลงไป ศิลาจารึกแผ่นนั้น ถ้ามีโอกาส พวกเราก็ต้องเอาไป — จริงสิ ท่านได้รับกระเป๋าเอกภพของเหมยเฟิง ในนั้นมีศิลาจารึกที่เหมือนกันหรือไม่”
ฉินซีฟังแล้วล้วงกระเป๋าเอกภพของเหมยเฟิงออกมาจากอกเสื้อ เอื้อมมือเข้าไปคลำดูหนึ่งรอบ คลำศิลาจารึกอันหนักอึ้งหนึ่งแผ่นออกมาได้ตามคาด
โม่เทียนเกอมองดู ความแตกต่างจากแผ่นที่เริ่นอวี่เฟิงได้รับมีเพียงสิ่งที่สลักอยู่ด้านบนไม่เหมือนกัน มิใช่มังกรเขียว ทว่าเป็นเต่าดำ
“เป็นศาลเจ้าเต่าดำตามคาด” เมื่อหาศิลาจารึกแผ่นนี้เจอ การคาดเดาของนางได้รับการยืนยันไปหนึ่งส่วนแล้ว ศาลเจ้าห้าวิญญาณ, ศิลาจารึก, มหาเวทปีศาจแรกเริ่ม สามสิ่งนี้มีความสัมพันธ์กันจริง ๆ
ฉินซีโยนศิลาจารึกกลับเข้าไป เอ่ยว่า “รอให้พวกเราว่าง ๆ แล้วค่อยศึกษากันช้า ๆ”
“อืม” นางคิดแล้วไม่วางใจ ย้ำเตือนอีกประโยคว่า “วันนั้นตอนที่ข้าแตะถูกศิลาจารึก แทบจะสติเลอะเลือนไป ท่านต้องระวังนะ”
ฉินซียิ้ม เอ่ยยว่า “วางใจเถอะ สาเหตุที่เจ้าในวันนี้ถูกพรากจิตสมาธิไปง่ายดายปานนั้นน่าจะเป็นเพราะระดับการฝึกตนไม่เพียงพอ เจ้าไม่ใช่ว่าได้มอบศิลาจารึกนั้นให้กับซือฟุหรือ ซือฟุไม่เกิดเรื่องขึ้นเลย แสดงว่าข้าก็จะไม่มีปัญหา”
คิดดูก็ใช่ วันนั้นนางอยู่แค่ระดับสร้างฐานพลัง สภาวะจิตใจเทียบไม่ได้กับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เลย
……………….
ตอนที่ 458 – หุบเขาอัคคีแท้