หนี้รัก วิวาห์จำเป็น - ตอนที่ 81 คุณปล่อยฉันนะ
“ทำไม?” เจี่ยนอี๋นั่วมองไปยังประตูใหญ่ของห้องอาหาร แล้วถามเสียงเบา
ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าแรงของเธอกำลังไหลออกอย่างรวดเร็วอีกครั้ง อีกทั้งความรู้สึกของเธอเปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาด ทั้งร่างของเธอร้อนไปหมด ถึงขนาดฉู่หมิงเซวียนที่มองหน้าแล้วทำให้เธอคลื่นไส้ เธอยังอยากจะยื่นมือออกไปกอดเขา……
“เพราะตอนนั้นคุณดื่มเหล้า ผมได้ในสิ่งที่ผมอยากได้แล้ว เก็บหรือไม่เก็บคลิปไว้ ไม่ได้สำคัญอะไรแล้ว คุณคิดว่าผมยังอยากจะข่มขู่คุณอีกงั้นเหรอ? ความจริงผมแค่อยากได้คุณก็เท่านั้น”
ฉู่หมิงเซวียนยิ้มแล้วพูด:“ตอนนี้ผมเดาว่า คุณคงให้คนลบคลิปสำรองไปแล้วใช่ไหม? แต่ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่สนใจเรื่องพวกนั้นด้วยซ้ำ ใช้คลิปข่มขู่คนอื่นมันผิดกฎหมายน่ะ ผมต้องขอบคุณคุณด้วยซ้ำที่ช่วยลบหลักฐานพวกนั้น ความรู้สึกที่ได้เป็นพลเมืองดีนี่มันดีจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น ผมใกล้จะได้สิ่งที่ผมต้องการที่สุดแล้วล่ะ”
ฉู่หมิงเซวียนพูดถึงตรงนี้ สายตาของเขาก็มองไปที่ใบหน้า ลำคอ แล้วก็แขนที่ขาวเนียนของเจี่ยนอี๋นั่วที่กำลังพยุงตัวข้างโซฟา
“ร้อนมากล่ะสิ?” เสียงของฉู่หมิงเซวียนแหบพร่า เขาจ้องนัยน์ตาของเจี่ยนอี๋นั่วแล้วจุดไฟความปรารถนา แต่เขากลับนั่งอยู่ที่นั่นไม่ได้ขยับไปไหน เขามองเจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วพูด:“อยากได้ผู้ชายล่ะสิ? ฤทธิ์ของยาพวกนี้มันแรงมาก คุณต้านไม่อยู่หรอก ผมจะรอให้คุณมาขอร้องผมละกัน”
“สารเลว……” เจี่ยนอี๋นั่วกัดฟันพูด หน้าของเธอแดงไปหมด จังหวะการหายใจก็แรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าสมองของเธอกำลังเลือนราง แต่ร่างของเธอกลับร้อนรุ่มกระสับกระส่ายผิดปกติ
ฉู่หมิงเซวียนยกเท้าขึ้นมาไขว้ แล้วรินเหล้าให้ตัวเองอย่างสบายอกสบายใจ หลังจากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว:“คุณยังจำครั้งแรกที่พวกเราเจอกันไดไหม? มุมมองคุณคือฉากที่ฝนตกฉากนั้นใช่หรือเปล่า? ผมกางร่มให้คุณ? ที่จริงพวกเราเคยเจอกันเมื่อนานมาแล้ว ผมมาสัมภาษณ์ที่บริษัทอี๋เหม่ยก็เพื่อเข้าใกล้เจี่ยนฉางรุ่น หลังจากที่สัมภาษณ์เสร็จ ผมก็ออกมาจากห้องสัมภาษณ์พร้อมคนอื่นๆ หลังจากนั้นผมก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีครีมเดินมา เธอไม่ถือว่าสวยมาก แต่กลับดึงดูดสายตาของผู้คน ผมมองไปที่เธออยู่ตลอด จนเธอเดินผ่านผมไป ไม่เหลียวมองผมเลยสักนิด หลังจากนั้นผมก็ได้เข้ามาที่บริษัท แล้วก็รู้ว่านั่นคือคุณ……เจี่ยนอี๋นั่ว ลูกสาวของเจี่ยนฉางรุ่น”
เจี่ยนอี๋นั่วฟังคำพูดของฉู่หมิงเซวียน แล้วเม้มปาก มือของเธอวางอยู่บนมือถือ เธอคิดว่าจะโทรไปแจ้งความ แต่เพราะสมองมันเบลอไปหมด ตอนนี้แม้แต่เลขบนโทรศัพท์เจี่ยนอี๋นั่วก็มองไม่ชัดแล้ว ตอนที่เธอพยายามจะกดโทรอีกครั้ง จู่ๆฉู่หมิงเซวียนก็ยื่นมือมา หยิบโทรศัพท์ในมือของเจี่ยนอี๋นั่วไป
เจี่ยนอี๋นั่วไม่มีแรงที่จะต่อต้านเลยสักนิด เธอทำได้แค่มองฉู่หมิงเซวียนหยิบมือถือของเธอไปตาปริบๆ เรื่องที่ยิ่งทำให้เจี่ยนอี๋นั่วหมดหวังนั้น ไม่ใช่มือถือของเธอที่ถูกหยิบไป แต่เป็นช่วงที่ฉู่หมิงเซวียนหยิบมือถือเธอไปนั้น ได้แตะหลังมือเธออย่างไม่ได้ตั้งใจ คิดไม่ถึงว่าจะทำให้เธอสั่นไปทั้งตัว เกือบจะทำให้เธอทนไม่ไหวที่จะยื่นมือออกมา จับมือของฉู่หมิงเซวียน ขอร้องเขา อ้อนวอนเขาให้ช่วยเธอ ขอร้องเขาให้หยามน้ำหน้าเธอ……
อีกนานแค่ไหน เธอจะสามารถฝืนไปได้อีกนานแค่ไหน? ตอนแรกเธอเคยถูกเหลิ่งหมิงอันบังคับฝืนใจ เจี่ยนอี๋นั่วไม่ใช่ผู้หญิงที่คิดว่าบริสุทธิ์ไปซะทุกอย่าง เธอถึงขนาดว่ารังเกียจวิธีการพูดที่สกปรก ร่างกายของเธอคือตัวเธอเอง ไม่ว่าจะยังไง เธอต้องรับผิดชอบตัวเอง ไม่ใช่การผ่านผู้ชายมาไม่กี่คน แล้วมาเปรียบเทียบคุณค่าของตัวเธอเอง
แต่ฉู่หมิงเซวียนกับเหลิ่งหมิงอันไม่เหมือนกัน ฉู่หมิงเซวียนคือคนที่ทำร้ายพ่อของเธอ แล้วทำร้ายน้องสาวของเธออีก ฉู่หมิงเซวียนคือศัตรูตัวฉกาจในชีวิตนี้ของเจี่ยนอี๋นั่ว ถ้าเจี่ยนอี๋นั่วถูกฉู่หมิงเซวียนขืนใจ งั้นเจี่ยนอี๋นั่วยอมตายไปดีกว่า!
เจี่ยนอี๋นั่วฟังฉู่หมิงเซวียนพูดต่อ แต่เสียงของเขาฟังแล้วมันทั้งไกลทั้งเลือนราง:“อี๋นั่ว……คุณรู้ไหม? ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อคุณที่อำมหิตขนาดนั้น บางทีตอนนี้พวกเราคงแต่งงานกันไปแล้ว พวกเราคงได้อยู่ด้วยกันตั้งแต่เด็ก พวกเราคงได้เรียนประถมด้วยกัน เรียนมัธยมด้วยกัน บางทีตอนนี้ผมคงมีลูกแล้ว ……คุณดูท่าทางเจ็บปวดมากนะ……ในเมื่อเจ็บปวดขนาดนั้น……ลองมาขอร้องผมดีกว่า……มาสิ……คลานมาขอร้องแทบเท้าผม……”
คำพูดของฉู่หมิงเซวียนที่ทำให้คนคลื่นไส้ ตอนนี้กลับมีแรงดึงดูดที่ร้ายแรงมากกับเจี่ยนอี๋นั่วที่ใกล้จะสูญเสียสติสัมปชัญญะเต็มที เธอถึงกับลองขยับร่างกาย เงยหน้าขึ้นมองไปยังฉู่หมิงเซวียน
เสียงของฉู่หมิงเซวียนยิ่งเพิ่มความแหบพร่า เขาจ้องเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูด:“อี๋นั่ว คุณมานี่สิ ให้ผมได้รักคุณ”
เจี่ยนอี๋นั่วขยับเล็กน้อย เข้าไปใกล้ฉู่หมิงเซวียน เธอจ้องใบหน้าของฉู่หมิงเซวียนที่เต็มไปด้วยความปรารถนา จู่ๆก็ขมวดคิ้ว แล้วหยิบแก้วเหล้าที่วางอยู่ข้างๆ ใช้แรงเฮือกสุดท้ายขว้างไปยังฉู่หมิงเซวียน:“คุณมันสารเลว!”
ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะใช้แรงทั้งหมดที่มี แต่เพราะว่าแรงของเธอตอนนี้เหลือไม่เท่าไหร่แล้ว แก้วเหล้าของเธอพึ่งจะขว้างออกไป ไปไม่ถึงหน้าฉู่หมิงเซวียน ก็หล่นแตกลงบนพื้นซะแล้ว
“นิสัยโผงผางจริงๆ มาถึงขนาดนี้แล้ว ยังไม่ยอมเริ่มก่อนอีกเหรอ?” ฉู่หมิงเซวียนมองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วค่อยๆหุบยิ้มลง
“ดูแล้วจนปัญญาจริงๆ ในเมื่อคุณไม่ยอมเริ่มก่อน ครั้งนี้ผมเริ่มก่อนละกัน” ฉู่หมิงเซวียนพูดแล้วเข้าไปใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว
เจี่ยนอี๋นั่วรับรู้ได้ว่าฉู่หมิงเซวียนเริ่มเข้ามาใกล้ ก็รีบยกมือขึ้นเพื่อจะผลักออก แต่มือของเธอก็ถูกฉู่หมิงเซวียนจับไว้ทันที ฉู่หมิงเซวียนกดร่างของเธอลง เธอขมวดคิ้วมองห้องอาหารที่มืดสลัว ถูกความปรารถนาและความเคียดแค้นทรมาน ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วไม่กล้ายืนยันว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า……
เวลานี้ จู่ๆเจี่ยนอี๋นั่วก็มองเห็นแสงสว่าง เธอมองไปยังทิศทางของแสงสว่างนั่น ทันใดนั้นฉู่หมิงเซวียนที่กดร่างของเธอลงก็ถูกผลักออกไป มีใครคนหนึ่งกอดเธอไว้ สมองของเจี่ยนอี๋นั่วได้เบลอไปหมดแล้ว เธอรับรู้ได้แค่กอดของผู้ชายคนนี้เย็นเล็กน้อย แต่กลับรู้สึกสบายใจ
ตอนนี้ใจเธอสงบลง แล้วกอดผู้ชายคนนั้นแน่น……
เหลิ่งเซ่าถิงเม้มปากแน่น แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้ ต้องขับรถไปด้วย ต้องห้ามการก่อกวนของเจี่ยนอี๋นั่วไปด้วย สุดท้ายเหลิ่งเซ่าถิงก็ต้องหยุดรถที่ซอยเล็กๆ ถึงจะเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุได้
เหลิ่งเซ่าถิงใช้แรงกดไหล่ของเจี่ยนอี๋นั่ว พูดเสียงเย็นชา:“คุณมีสติหน่อย คุณมองสิว่าผมเป็นใคร!”
เจี่ยนอี๋นั่วเหมือนกับว่าไม่ได้ยินที่เหลิ่งเซ่าถิงพูด ยังคงเข้าใกล้เหลิ่งเซ่าถิงอยู่ เธอเหมือนกับปลาหมึก ที่พันตัวเหลิ่งเซ่าถิงอย่างจริงจัง ถึงแม้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะใช้แรงผลักเจี่ยนอี๋นั่ว แต่ก็ยังถูกเจี่ยนอี๋นั่วก่อกวนจนหายใจติดขัด
เจี่ยนอี๋นั่วถูกบังไว้อีกฝั่ง เหมือนแมวน้อยที่ถูกเจ้าของเตะออกไป ใบหน้าเผยอารมณ์ที่ดูน้อยใจ ราวกับว่าไม่ให้เธอกอดเหลิ่งเซ่าถิงต่อเป็นเรื่องที่เธอน้อยใจมากจริงๆ
เหลิ่งเซ่าถิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว เขาไม่เคยโมโหขนาดนี้มาก่อน เขาไม่รู้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วเป็นผู้หญิงที่โง่ขนาดนี้ ทั้งๆที่รู้ว่าฉู่หมิงเซวียนคิดไม่ดีกับเธอ เธอก็ยังกล้าไปตามนัดคนเดียว ทำไมเธอถึงบอกเขาไม่ได้? แล้วยังกล้าดื่มเหล้าที่ฉู่หมิงเซวียนเตรียมไว้อีก?
ถ้าไม่ได้เห็นว่าเธอใช้แรงต่อต้านฉู่หมิงเซวียน เหลิ่งเซ่าถิงคงคิดจริงๆว่าเธอตั้งใจทำแบบนั้น!
“คุณนึกออกไหมว่าผมเป็นใคร? ถ้าผมไม่ได้ให้เอสืบจากมือถือของคุณ ตอนนี้คุณจะเป็นยังไง?” เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่ว จ้องเจี่ยนอี๋นั่วแล้วถามเสียงเย็นชา
เจี่ยนอี๋นั่วก็เข้าไปใกล้เหลิ่งเซ่าถิงอีก ยกมือขึ้นพยายามจะกอดเหลิ่งเซ่าถิง พูดเสียงเบา:“คุณกอดฉัน……”
เหลิ่งเซ่าถิงผลักเจี่ยนอี๋นั่วออก แล้วขมวดคิ้วพูด:“คุณมีสติหน่อย คุณมองสิว่าผมเป็นใคร!”
“ฉัน……ฉันไม่สนว่าคุณเป็นใคร……”
ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่มีสติสัมปชัญญะหลงเหลืออยู่แล้ว เธอรับรู้แค่ว่าตอนนี้เธอกำลังจะจูบผู้ชายคนนี้ พอจูบก็รู้สึกสบายขึ้นมา ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะจูบต่อไป ขณะที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วจูบติดอยู่กับริมฝีปากของเหลิ่งเซ่าถิงนั้น เขาก็เบิกตากว้าง ขมวดคิ้ว แล้วอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาจับเอวของเจี่ยนอี๋นั่ว
พูดเสียงเย็นชา:“ห้ามถอด!คุณมีสติหน่อย”
แต่เหลิ่งเซ่าถิงในตอนนี้ถูกเจี่ยนอี๋นั่วทรมานจนหายใจติดขัดแล้ว ตอนที่เขาพูดแบบนี้ อำนาจในการขู่ก็ลดน้อยลงมาก
เหลิ่งเซ่าถิงถูกเจี่ยนอี๋นั่วพันแข้งพันขา จังหวะการหายใจยิ่งนานเข้าก็ยิ่งติดขัด เขาจ้องเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วขมวดคิ้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วจะถูกยาควบคุม ดูแล้วบุ่มบ่ามบ้าพลัง แต่ถ้าเหลิ่งเซ่าถิงยินยอม เขาจะสามารถควบคุมเจี่ยนอี๋นั่วได้อยู่หมัด ทำให้เธอไม่สามารถสัมผัสร่างกายของเขาได้
เหลิ่งเซ่าถิงมัดมือของเจี่ยนอี๋นั่ว กลับถูกเจี่ยนอี๋นั่วดิ้นหลุดออกได้ง่ายๆ ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วจูบเหลิ่งเซ่าถิงอีกครั้ง ในที่สุดเหลิ่งเซ่าถิงก็ยื่นมือไปกอดเจี่ยนอี๋นั่วแน่น
ตอนที่เห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงสื่อสายตามา เจี่ยนอี๋นั่วที่ถูกยาควบคุมถึงกับรู้สึกถึงความอันตราย จึงอยากหนีอย่างอดไม่ได้ แต่พอเธอเตรียมที่จะหนี เธอก็ถูกเหลิ่งเซ่าถิงกดไว้ใต้ร่างอีกครั้ง
“ตอนนี้ไม่อนุญาตให้คุณหนี……” เหลิ่งเซ่าถิงพูด แล้วก้มหน้าจูบไปที่คอของเจี่ยนอี๋นั่วที่โผล่ออกมา