หนี้รัก วิวาห์จำเป็น - ตอนที่ 67 คุณจ้องพอหรือยังครับ?
เจี่ยนอี๋นั่วได้ฟังคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว ก้มหัวลงพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ต่อไปฉันจะทำให้คุณเดือดร้อนให้น้อยที่สุดนะคะ”
เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้าหลบไปอีกมุม มุมที่เจี่ยนอี๋นั่วมองไม่เห็น มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย แล้วค่อยๆลูบที่ผมของเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ พูดขึ้นว่า:“คุณทานมื้อเย็นหรือยัง?”
เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าตอบรับ:“ค่ะ คนรับใช้เสิร์ฟอาหารมาให้ ฉันทานไปแล้วนิดหนึ่ง จากนั้นฉันก็ไม่รู้ว่าคุณนายเหลิ่งจะจัดการอย่างไรต่อ ก็รู้สึกกังวลใจจนทานไม่ลง ก็เลยวางอาหารอยู่บนโต๊ะนั้นแล้ว กลิ่นอาหารมันเหม็นเหรอคะ? ฉันจะให้คนรับใช้เก็บอาหารที่เหลือออกไปเดี๋ยวนี้”
เหลิ่งเซ่าถิงถลกแขนเสื้อขึ้นพร้อมหันหน้าเหลือบมองไปอาหารบนโต๊ะ:“ ยังเหลือเยอะแยะขนาดนี้เลยเหรอ? ถ้าหากคุณทานอิ่มแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมจะทานต่อล่ะนะ เย็นนี้ผมยังไม่ได้ทานอะไรเลย และผมก็ไม่อยากให้คนครัวจัดเตรียมอาหารให้ผมใหม่อีก”
“อุ้ย? นั่น นั่นมันไม่สะอาดแล้วนะคะ” เจี่ยนอี๋นั่วทานอาหารไปแล้วไม่กี่คำ แต่ก็ถือว่าเธอเคยทานแล้ว เวลานี้เหลิ่งเซ่าถิงจะทานของเหลือที่เธอทานเหลือไว้เหรอ?
“ไม่สะอาด?” เหลิ่งเซ่าถิงคิ้วขมวดหันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“คุณเอาทรายใส่เข้าไปในอาหารเหรอ?”
เจี่ยนอี๋นั่วก้มหัวลงพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ แค่ฉันเคยทานแล้ว ”
เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าตอบรับ:“ผมรู้แล้ว”
“ คุณจะทานอาหารที่ฉันทานเหลือนี้เหรอคะ?” เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ไหวที่จะถาม
เหลิ่งเซ่าถิงคิ้วขมวด ถอนหายใจเฮือก:“ผมเคยพูดกับคุณแล้วนะว่าผมหิวมาก และถ้าหากผมหิวมากๆอารมณ์ของผมจะเปลี่ยนไปทันที ฉะนั้นคุณอย่าพูดอะไรรบกวนผมอีก”
เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบก็เดินไปข้างๆโต๊ะ หยิบตะเกียบคีบผักที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ค่อยๆป้อนเข้าปากแล้วกินทันที ท่าทางการกินของเหลิ่งเซ่าถิงดูสุภาพมาก ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แม้แต่เสียงตักน้ำซุปก็ไม่ได้ยินเสียง ท่าทางการกินของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นเหมือนผู้ดีจริงๆ
แต่ว่าเวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วแค่คิดแต่เรื่องที่เหลิ่งเซ่าถิงกำลังทานอาหารที่ตัวเองทานเหลือ ภายในจิตใจของเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกแปลกๆ เธอเคยจำได้ว่า การที่เราทานของเหลือของคนอื่นนั้นจะต้องเป็นคนที่สนิทสนมกันมากเท่านั้นถึงจะทานได้ และยังต้องมีความสนิทกว่าคนที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งซะอีก ถ้าในใจของเจี่ยนอี๋นั่วไม่คิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นพวกรักร่วมเพศที่ไม่เข้าใจเรื่องความรักระหว่างชายหญิง เธอคงคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงคงมีความรู้สึกต่อเธอแล้วแน่ ๆ ถ้าไม่อย่างนั้นเหลิ่งเซ่าถิงคงไม่ทานอาหารที่เธอทานเหลือหรอก?
เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงกินเสร็จ ลุกขึ้นเรียกคนรับใช้เข้ามาเก็บจานชาม จากนั้นก็เริ่มทำงานหน้าคอมฯต่อ เจี่ยนอี๋นั่วเอนตัวลงนอนที่เตียงจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง เมื่อสายตาของเธอจ้องมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงนั้น เหลิ่งเซ่าถิงก็เงยหน้ามองไปทางเธอทันที เหมือนราวกับว่าบนตัวเหลิ่งเซ่าถิงมีพลังงานบางอย่างรับรู้ว่าเธอกำลังมองเขาอยู่
“อะแฮ่ม ๆ……” เหลิ่งเซ่าถิงเอามือปิดปาก พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“คุณจ้องพอหรือยังครับ?”
เพราะรู้จักนิสัยของเหลิ่งเซ่าถิงดีพอ เวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วมีความกล้ากว่าเมื่อก่อนมาก รีบตอบอย่างตรงไปตรงมา:“ยังจ้องไม่พอค่ะ”
“อื้อ?”เหลิ่งเซ่าถิงคาดไม่ถึงว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะกล้าตอบตรงไปตรงมาขนาดนี้ เขาเงยหน้าขึ้นมองพร้อมไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง พร้อมถามคำถามย้ำไปอีกหนี่งรอบ:“คุณกำลังพูดอะไรอยู่?”
เจี่ยนอี๋นั่วตอบกลับอย่างหน้าตาเฉย:“ยังจ้องไม่พออ่ะ อย่าบอกนะว่าคุณไม่รู้ว่าตัวคุณเองนั้นหล่อเหลาขนาดไหน ?”
“อื้อ……”เหลิ่งเซ่าถิงรีบหันกลับไปทันที ทำท่าเหมือนกำลังค้นหาหนังสือบนชั้นวางหนังสือเพื่อเก็บซ่อนอาการเขินอายหน้าแดงบนใบหน้าของตัวเอง
ผ่านไปสักพัก หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงหายจากอาการเขินอายหน้าแดง เขาจึงหันหลังตอบกลับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา:“ต่อจากนี้ไปอย่าพูดเรื่องไร้สาระต่อหน้าผมอีก ผมไม่อยากได้ยินคำพูดที่เหลาะแหละแบบนี้”
เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆพยักหน้าพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“เอาเถอะค่ะ ต่อไปนี้ฉันจะไม่ชมว่าคุณหล่ออีกแล้ว”
เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็เอนตัวลงนอนบนเตียงจากนั้นก็เปิดคอมฯเริ่มเคลียร์งานในบริษัทต่อ เหลิ่งเซ่าถิงกลับรู้สึกหงุดหงิด เขาปิดคอมฯ แล้วเดินตรงไปข้างเตียงเจี่ยนอี๋นั่ว พูดกับเธอด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า:“เอาผ้าห่มให้ผมที ผมจะเข้านอนแล้ว”
เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบปิดคอมฯของตัวเองแล้วเก็บคอมฯไว้ข้างๆ หันหลังหยิบผ้าห่มและกำลังจะยื่นให้เหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงหน้าคิ้วขมวดพูดขึ้นว่า :“ตอนนี้อากาศค่อนข้างหนาว ร่างกายของคุณพึ่งหายดีได้ไม่นาน หรือไม่งั้นคุณไม่ต้องนอนที่พื้นแล้ว มานอนด้วยกันบนเตียงนี้เถอะ……”
ถ้าหากยังเป็นเหลิ่งเซ่าถิงคนเดิม เจี่ยนอี๋นั่วไม่กล้าพูดคำเหล่านี้แน่นอน แต่ว่าตอนนี้สำหรับเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วมองว่าเขาไม่ใช่ชายแท้ เธอคิดว่าตอนนี้ถึงจะนอนเตียงเดียวกันกับเหลิ่งเซ่าถิงมันก็ไม่เป็นอะไรหรอก
เหลิ่งเซ่าถิงหน้าคิ้วขมวดเหลือบมองไปที่รอยยับผ้าปูที่นอนบนเตียง หลังจากนั้นเงยหน้ามองเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วเอามือตบที่ข้างลำตัวเบาๆ ขยับที่นอนให้เหลือช่องว่างไว้หัวเราะพูดขึ้นว่า:“คุณนอนนี่เถอะ ฉันจะนอนอีกด้านหนึ่ง ฉันจะพยายามรบกวนคุณให้น้อยที่สุดนะคะ”
เหลิ่งเซ่าถิงหายใจเข้าลึกๆหน้าคิ้วขมวดจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว ที่เขาปฏิเสธเธอตลอดเพราะต้องการเว้นระยะห่างระหว่างเขาและเธอ และมันก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดระหว่างเขาและเธอ แล้วเขาก็ถูกคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่วดึงดูดใจ เป็นครั้งแรกที่มันทำให้เขาเกิดความลังเล
“เกิดอะไรขึ้นคะ?”เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะพูดขึ้นว่า:“คุณกลัวฉันเหรอคะ?”
คำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว มันกระทบจิตใจของเหลิ่งเซ่าถิง ทำให้เหลิ่งเซ่าถิงรีบตอบกลับทันที:“ทำไมผมต้องกลัวคุณด้วย? ก่อนหน้านี้ที่ผมต้องแยกเตียงนอนกับคุณ เป็นเพราะว่าไม่อยากให้เราใกล้ชิดกันมากเกินไป และไม่ทำระหว่างผมและคุณมีความรู้สึกดีๆต่อกัน ถ้าไม่อย่างนั้นคุณจะตอแยผมไม่หยุด”
“ถ้าหากเป็นแบบนี้ งั้นคุณก็วางใจเถอะ ฉันจะไม่ตอแยคุณอย่างแน่นอน ฉันคิดได้แล้ว ตอนนี้มาย้อนคิดดูฉันรู้สึกว่าการที่ฉันรักคุณมันเป็นเหมือนดั่งความฝัน แต่หลังจากที่ตื่นจากความฝัน” เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะพูดว่า ในเมื่อเหลิ่งเซ่าถิงชอบผู้ชาย ถ้าอย่างงั้นเธอจะไปตอแยเหลิ่งเซ่าถิงอีกทำไมล่ะ ?
คำพูดของเจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้ทำให้เหลิ่งเซ่าถิงมีความสุขเลยสักนิด แต่กลับทำให้เขาหน้าคิ้วขมวดจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยน้ำเสียงที่เบา :“คิดได้แล้วเหรอ?ตื่นจากความฝันแล้วจริง ๆ เหรอ?”
“ใช่ค่ะ ดังนั้นคุณโปรดวางใจเถอะค่ะ ฉันจะไม่รบกวนคุณอีกและจะไม่ทำอะไรให้คุณลำบากใจอีกแล้ว ”เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาหัวเราะพูดขึ้นว่า:“เป็นแบบนี้? คุณพอใจไหมคะ?”
“พอใจ”เหลิ่งเซ่าถิงหายใจเข้าลึกๆ กัดฟันพูดขึ้นว่า:“ผมพอใจมากจริงๆ”
จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็เอนตัวลงนอนที่เตียงทันที หันหลังแล้วดึงผ้าห่มมาห่ม ถ้าหากเจี่ยนอี๋นั่วมองไม่ออกว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังโกรธเธออยู่ ถ้าอย่างนั้นเธอคงเป็นคนตาบอดแล้วจริงๆ แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้จริงๆทำไมเหลิ่งเซ่าถิงถึงโกรธเธอขนาดนี้ เธอก็ทำตามในสิ่งที่เหลิ่งเซ่าถิงต้องการทุกอย่าง และทำสำเร็จทุกอย่างแล้วไม่ใช่เหรอ? เหลิ่งเซ่าถิงต้องการให้เธอเลิกรักเขา เธอก็พยามยามจนทำสำเร็จแล้ว เธอก็คิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วกลัวเหลิ่งเซ่าถิงทำตัวไม่ถูก จึงเว้นช่องว่างระยะห่างบนเตียงให้แล้ว แต่ทำไมเหลิ่งเซ่าถิงยังไม่พอใจอีกล่ะ?
เจี่ยนอี๋นั่วไม่เข้าใจพร้อมคิ้วขนวด เอื้อมมือไปแตะที่หลังเหลิ่งเซ่าถิงเบาๆ ถามด้วยน้ำเสียงที่เบา :“คุณโกธรฉันเหรอคะ ?”
หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วเข้าใจว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นพวกรักร่วมเพศนั้น การที่ต้องเผชิญหน้ากับเหลิ่งเซ่าถิงนั้นทำให้เธอไม่รู้สึกกังวลและกลัวแล้ว เธอทำเหมือนเหลิ่งเซ่าถิงเป็นเหมือนรูมเมทที่อยู่ด้วยกัน ทำเหมือนเหลิ่งเซ่าถิงเป็นเหมือนเพื่อนเป็นเหมือนพี่น้องที่เรียนด้วยกันในรั้วมหาวิทยาลัย เพียงแต่นิสัยเพื่อนรูมเมทคนนี้อย่างเหลิ่งเซ่าถิงนั้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เธอต้องปลอบใจเขาอยู่ตลอดเวลา
ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วกลัวเสียหน้า และไม่ยอมที่จะปลอบใจเหลิ่งเซ่าถิงง่ายๆ แต่ว่าตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงไม่ใช่คนเดิมแล้ว เขาไม่ใช่ท่านประธานใหญ่เหลิ่งที่ทำตัวสูงส่งอีกแล้ว แต่กลับเป็นพวกที่เก็บกดและน่าสงสารอย่างมาก เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าปลอบใจเขาหน่อยมันก็ไม่เสียหายอะไร
มองเหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้ตอบกลับ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าตัวเองไม่มีศักดิ์ศรีเลย เธอหัวเราะและปลอบใจเหลิ่งเซ่าถิงอย่างต่อเนื่อง:“คุณว่าฉันพูดอะไรผิดไปเหรอ ฉันจะแก้ไขเอง”คุณยกโทษให้ฉันเถอะนะ”
เหลิ่งเซ่าถิงหันหลังไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว ทำหน้าคิ้วขมวด :“ทำไมคุณถึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคน?”
ถ้าเจี่ยนอี๋นั่วพูดความจริงกับเหลิ่งเซ่าถิง เป็นเพราะเธอรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่อ่อนแอเลยจงใจยอมเขา เธอจะต้องถูกเหลิ่งเซ่าถิงฆ่าทิ้งแน่ๆ เจี่ยนอี๋นั่วตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เบา :“ ก็ไม่มีอะไรค่ะ เพียงเพราะอยากทำดีกับคุณเท่านั้นเอง”
“คุณกำลังคิดวางแผนจะทำอะไรอยู่หรือเปล่า?”เหลิ่งเซ่าถิงคิ้วขมวดถามกลับ”
เจี่ยนอี๋นั่วรีบส่ายหัว ยกนิ้วสาบาน:“ฉันไม่ได้คิดจะวางแผนอะไรทั้งสิ้น ฉันต้องการให้คุณใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อันที่จริงแล้วคุณช่วยเหลือฉันหลายอย่าง ฉันก็ควรที่จะตอบแทนคุณบ้าง เวลาที่ฉันจะอยู่ด้วยกันกับคุณมันเหลือไม่มากแล้ว คุณก็คิดซะว่าฉันกำลังประจบคุณอยู่สิ รอให้ฉันไปจากตระกูลเหลิ่ง และฉันคงมีคุณค่อยปกป้องดูแลแค่นี้ก็พอแล้วค่ะ ”
“พูดแบบนี้ ค่อยฟังขึ้นหน่อย ”เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงที่เบา
เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบก็จ้องมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว ผ่านไปสักครู่หนึ่ง ค่อยพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า:“ คุณขยับใกล้เข้ามาหน่อย ผมจะนอนกอดคุณ”
ในเมื่อกลับมานอนด้วยกันบนเตียงเดียวแล้ว ถ้าอย่างงั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็ทำใจตามตัวเองอีกครั้ง เขาอยากรู้ว่าเมื่อเขาสัมผัสเจี่ยนอี๋นั่วที่ยังรู้สึกตัวอยู่นั้น เมื่ออยู่ในอ้อมกอดของเขาเธอจะรู้สึกยังไง เธอจะอ่อนโยนเหมือนตอนเธอหลับไหม? เมื่ออยู่ในอ้อมกอดของเขา แล้วเธอยังจะรู้สึกกลัวหรือรู้สึกชอบเขากันแน่ ?
“อะไรคะ?”เจี่ยนอี๋นั่วเบิ่งตาโต
ถึงแม้เหลิ่งเซ่าถิงจะเป็นพวกรักร่วมเพศ แต่พฤติกรรมแบบนี้มันดูสนิทสนมกันมากเกินไปไหม
แต่ยังไม่ทันที่เจี่ยนอี๋นั่วจะส่ายหัวปฏิเสธ เหลิ่งเซ่าถิงก็รับคว้าตัวเธอไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาทันที
ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็แนบชิดอกของเหลิ่งเซ่าถิง ยังไม่ทันที่จะตะโกนออกมาว่าเจ็บ เหลิ่งเซ่าถิงก็เอื้อมมือไปกอดรัดที่เอวเจี่ยนอี๋นั่วแล้วดึงเธอให้มาแนบชิดอกของเขา เดิมทีเหลิ่งเซ่าถิงยังรู้สึกเครียด แต่สักพักค่อยๆผ่อนคลายและสบายใจขึ้นทันที เจี่ยนอี๋นั่วตกใจพร้อมขยับตัวไปมาสักครู่ เหลิ่งเซ่าถิงกระซิบข้างหูเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา:“คุณอย่าขยับ ไม่ใช่อยากตามใจผมหรอกหรือ และทำดีกับผมหน่อยไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างงั้นคุณก็อย่าขยับสิ”
เจี่ยนอี๋นั่วแทบจะแนบชิดอกของเหลิ่งเซ่าถิง เธอถามกลับอย่างไม่สบอารมณ์:“นี่คุณเห็นฉันเป็นหมอนข้างเหรอ?”
“หมอนข้าง?”เหลิ่งเซ่าถิงก้มหัวลงสูดดมกลิ่นอันหอมอ่อนๆบนเรือนร่างของเจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยน้ำเสียงหัวเราะเบาๆ:“มีหมอนข้างที่ไม่เชื่อฟังอย่างคุณด้วยเหรอ?”
เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ ค่อยๆหยุดชั่วขณะ เอามือจับที่หลังของเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ หัวเราะพูดขึ้นว่า:“แต่ เรือนร่างของคุณก็ไม่เลวนะ เวลาสวมกอดแล้วมันรู้สึกผ่อนคลายและสบายมากเลย เหมือนกับหมอนข้างยังไงอย่างงั้นเลยล่ะ”
นี่เปรียบฉันเหมือนหมอนข้างจริงๆเหรอ!
เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวด ร้องตะโกนใจ :ฉันไม่ควรสงสารคุณจริงๆเลย