หนี้รัก วิวาห์จำเป็น - ตอนที่ 229 ฉันรักคุณมาโดยตลอด
เหลิ่งเซ่าถิงเพียงกดจูบไปที่มุมปากของเจี่ยนอี๋นั่วก็ผละออกมา พร้อมกับถามเจี่ยนอี๋นั่วด้วยความประหม่าว่า
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแล้วจ้องหน้าไปที่เหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงมองหน้าเจี่ยนอี๋นั่วด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะถามเบาๆ : “หรือว่าเธอโกรธจริงๆ?”
เจี่ยนอี๋นั่วกระพริบตาแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาเพียงแค่จ้องหน้าเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกน้อยใจเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า : “ถ้าเธอโกรธ ฉันจะไม่……”
เฉพาะตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับเจี่ยนอี๋นั่ว ที่เหลิ่งเซ่าถิงจะแสดงท่าทางตื่นตระหนกและประหม่าแบบนี้ออกมา
เหลิ่งเซ่าถิงยังพูดไม่ทันจบ เจี่ยนอี๋นั่วก็คว้าคอเสื้อของเหลิ่งเซ่าถิงมา ก่อนที่เจี่ยนอี๋นั่วจะจูบเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงไม่คิดเลยว่าจู่ๆเจี่ยนอี๋นั่วจะมีปฏิกิริยาตอบโต้มาเช่นนี้ เขายังคงงุนงง เพราะไม่ได้เตรียมตัวรับมือ เจี่ยนอี๋นั่วต้อนเขาเข้ากับกำแพงก่อนจะยกขาขึ้นแล้วยกมือมาคล้องคอของเหลิ่งเซ่าถิง แล้วพูดหนักๆไปที่ริมฝีปากของเหลิ่งเซ่าถิง
หลังจากจูบกันเรียบร้อยแล้ว ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกเสียวซ่านเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจออกมา แล้วพูดว่า : “ฉันโกรธมากค่ะ แล้วนี่ก็คือการทำโทษ”
“ทำโทษแบบนี้หรอ? งั้นต่อไปฉันคงต้องทำผิดบ่อยๆซะแล้ว” เหลิ่งเซ่าถิงที่ได้สติพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นมาสัมผัสกับริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ เขาคิดว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะผละออก แต่ไม่คิดว่าเจี่ยนอี๋นั่วนั้นจะไม่เลี่ยงเขาแบบนี้ แล้วยังจะให้เขาสัมผัสตามใจชอบอีก
เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่วและลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะถามขึ้นเบาๆ : “เธออภัยให้ฉันแล้วใช่มั้ย? เธออยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับฉันต่อมั้ย?”
เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะพูดอย่างไม่มั่นใจว่า : “แล้วตอนนี้ฉันทำอะไรได้ล่ะคะ? ไม่ว่าคุณจะโกหกฉันยังไง จะผลักไสฉันยังไง หรือจะกวักมือเรียกฉันยังไง ฉันก็กลับมาหาคุณอยู่ดี ฉันก็ยังห่วงคุณ ยังปล่อยคุณไปไม่ได้ ฉันทำอะไรได้ล่ะคะ? ฉันทำได้แค่ชอบคุณ แล้วช่วงนี้ฉันก็เอาแต่แข็งๆใส่คุณ ถึงแม้มันจะดูเหมือนทำให้คุณลำบากใจ แต่มันก็ทำให้ฉันลำบากใจเหมือนกันค่ะ ถ้าคิดๆดูแล้วฉันกำลังทำอะไรกัน? ฉันก็สามสิบแล้วนะคะ ถ้าเกิดโชคดีอยู่ได้อีกนานๆ ก็อาจจะอยู่จนถึงอายุแปดสิบได้ แล้วก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกห้าสิบปี ผ่านมาสามสิบปีแล้ว มันไวมากๆเลยนะคะ ห้าสิบปปีที่ว่าดูเหมือนจะนานแต่มันก็แค่ช่วงเวลาช่วงเวลานึงเท่านั้น พอฉันเห็นคุณบาดเจ็บ ฉันก็ไม่รู้แล้วว่าฉันจะเสียคุณไปเมื่อไหร่ ภัยพิบัติธรรมชาติแบบนี้ใครจะไปรู้ล่ะคะว่าวินาทีต่อไปจะเกิดหายนะอะไรขึ้น? ฉันว่าฉันจะไปเลี่ยงมันแล้วค่ะ! ฉันยอมแพ้แล้ว การที่ฉันต้องเผชิญหน้ากับคุณแบบนี้ฉันแต่จะแพ้ เพราะฉันรักคุณค่ะ ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ฉันก็ยังรักคุณมาโดยตลอด”
เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ ตาของเขาแดงก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมา แล้วค่อยๆยกยิ้มขึ้น : “คำพูดหวานๆซึ้งของเธอทำเอาฉันอยากจะฟังมันไปตลอดชีวิตเลย”
มือของเหลิ่งเซ่าถิงเย็นไปหมด จนรู้สึกไม่สบายใจที่ตะสัมผัสใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ยกมือขึ้นมากุมหลังมือของเหลิ่งเซ่าถิงเอาไว้ แล้วก็กดฝ่ามือของเขาเข้าหาใบหน้าของตัวเอง
เจี่ยนอี๋นั่วขยับใบหน้าหาฝ่ามือของเขาเบาๆ ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงสะอื้นว่า : “ไม่ซึ้งไม่ได้สิคะ อย่างตอนนี้ฉันไม่ทีอะไรเลย งานก็ไม่มี ไม่ได้ฉลาดเหมือนคนอื่นๆเขา หน้าตาก็ไม่ได้ดี อายุก็เยอะแล้วด้วย อีกไม่กี่ปีก็คงมีริ้วรอยตีนกาขึ้น นอกจากการพูดคำหวานพวกนี้เพื่อเล้าโลมคุณ แล้วฉันทำอะไรได้นอกจากโกหกเพื่อให้คุณอยู่เคียงข้างฉันได้อีกล่ะคะ? ฉันก็เลยตัดสินใจบอกรักคุณเพื่อให้คำพูดของฉันผูกคุณไว้เคียงเข้างงฉันแล้วก็ไม่ไปไหนจากฉันอีก”
“ขอบคุณนะ……”เหลิ่งเซ่าถิงจับแก้มของเจี่ยนอี๋นั่วเอาไว้ ก่อนจะกดจูบเธออีกครั้ง แล้วพูดเสียงสั่นว่า : “ขอบคุณที่โกหกกัน……”
เจี่ยนอี๋นั่วยกยิ้มขึ้นมาก่อนจะใช่ปลายจมูกของตัวเองถูไถไปกับจมูกเขาเหลิ่งเซ่าถิง : “งั้นต่อไปก็เป็นเด็ดกีให้ฉันโกหกแล้วกันนะคะ!”
“อือ……” เหลิ่งเซ่าถิงตอบเสียงเข้ม
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูเข้ามาขัดจังหวะ เจี่ยนอี๋นั่วตกใจกับเสียงเคาะประตูก่อนที่เหลิ่งเซ่าถิงจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า : “ไม่ต้องห่วง เธอกลับเข้าไปดูแลเด็กๆเถอะ อาจจะเป็นคนเข้ามาหาฉันเพื่อไปจัดการอะไรบางอย่างน่ะ”
เจี่ยนอี๋นั่งพยักหน้า ก่อนจะยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาของเหลิ่งเซ่าถิงแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม : “ท่านประธานเหลิ่งของฉัน ห้ามให้ใครเห็นน้ำตานะคะ ไม่อย่างนั้นลูกน้องของคุณจะตกใจเอา”
เมื่อเช็ดน้ำตาให้เขาเรียบร้อยแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็เดินเข้าห้องน้ำไป เหลิ่งเซ่าถิงมองตามแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนเข้าจะยิ้มแล้วเดินไปเปิดประตู ก็เห็นชายสวมชุดดำอยู่หน้าห้องที่พูดกับเหลิ่งเซ่าถิงด้วยความเคารพว่า : “ท่านประธานครับ ข้างล่างซ่อมเรียบร้อยแล้วครับ พวกท่านลงไปได้เลย……”
เหลิ่งเซ่าถิงรีบยกมือขึ้นมาขัดคนพูด ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า : “ไม่ ยังไม่ได้ซ่อมเรียบร้อยดี ฉันจะอยู่ในนี้กับภรรยาแล้วก็ลูกๆของฉันก่อน”
ชายคนนั้นอึ้งไปสักพัก ก่อนที่จะพยักหน้าขึ้นลง : “ครับ เข้าใจแล้วครับ แต่ว่าแผลของท่านประธานต้องรักษานะครับ……”
เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม : “แผลของฉันไม่เป็นอะไรหรอก เตรียมยามาให้ฉันก็พอ ฉันมีคนทำแผลให้แล้ว แล้วก็เตรียมเสื้อผ้ามาให้ฉันด้วย ……..เตรียมอาหารไว้ด้วยล่ะ มีคนทำอาหารใีมือไม่ดีทิ้งไว้ ฉันว่าลูกๆของฉันคงยังไม่อิ่มท้อง”
คนนั้นมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเหลิ่งเซ่าถิง เขาอดที่จะไม่เบิกตาโตไม่ได้ เขาเคยเห็นรอยยิ้มที่ถากถางและไม่แยแสของเหลิ่งเซ่าถิงมามาก รอยยิ้มพวกนั้นไม่มีความอบอุ่นอยู่เลยสักนิด ไม่คิดเลยว่ารอยยิ้มของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นจะอบอุ่นได้แบบนี้
เขาอึ้งไปสักพัก ก่อนที่จะรีบพยักหน้า แล้วพูดว่า : “ครับ ผมจะไปทำเดี๋ยวนี้ครับ”
เพียงผ่านไปได้ไม่นาน คนนั้นก็เตรียมอาหารเย็นมาพร้อมกับเสื้อผ้าและยา เหลิ่งเซ่าถิงรับมาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ปิดประตูลง เหลิ่งเซ่าถิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะเดินไปที่ห้องน้ำ ก่อนจะพูดเสียงต่ำว่า : “สามคนที่ซ่อนตัวอยู่ข้างใน หิวกันรึยัง? ออกมากินข้าวกันก่อนค่อยกลับเข้าไปข้างในมา”
เหลิ่งเซ่าถิงเพิ่งพูดจบ เจี่ยนซวงก็เปิดประตูแล้ววิ่งออกมาทันที : “คุณพ่อคะ มีอะไอร่อยๆบ้างหรอคะ? ซวงซวงหิวมากเลยค่ะ”
ก่อนที่ลั่วหยางจะเดินตามออกมาจากห้องน้ำ แล้วขมวดคิ้วพูดขึ้นว่า : “ผมก็กินไม่อิ่มครับเมื่อเช้า”
เจี่ยนอี๋นั่วมองลูกทั้งสองอย่างสงสัย ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “ทำไมกินไม่อิ่มคะ? หม่าม้าก็ทำอาหารไว้ให้หนูกินแล้วนะ?”
ลั่วหยางกระพริบตาและไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เจี่ยนซวงกลับตะโกนออกมาเสียงดัง : “โจ๊กที่หม่าม้าทำไม่อร่อยเลยค่ะ หนูกับพี่กินไปแค่ไม่กี่คำก็กินต่อไม่ได้แล้ว! เททิ้งไปแล้วค่ะ!”
เจี่ยนอี๋นั่วเหล่ตาไปมองเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะถามด้วยความสงสัย : “แล้วทำไมคุณกินไปหมดเลยล่ะคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “ผมว่ามันอร่อยมากเลยนะ”
“นั่นเพราะว่าปากคุณพ่อไม่รับรสชาติต่างหากค่ะ!” เจี่ยนซวงขมวดคิ้วก่อนจะถอนหายใจออกมาแรงๆ : “หม่าม้าคะ ถ้าว่างๆพาคุณพ่อไปหาหมอด้วยนะคะ หนูว่าการรับรสของคุณพ่อต้องมีปัญหาแน่ๆเลยค่ะ”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง : “คุณคงไม่ได้มีปัญหาการรับรสจริงๆใช่มั้ยคะ? หลายปีมานี่คุณยังไงกันแน่คะ? ไม่แค่ร่างกายแต่รวมถึงการรับรสก็มีปัญหาหรอ?”
เหลิ่งเซ่าถิงยื่นถ้วยหมูตุ๋นไปข้างหน้าเจี่ยนซวง เพื่อให้เจี่ยนซวงเงียบ ก่อนจะถามเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้มว่า : “ทำไม? คุณจะปล่อยผมไปหรอ?”
เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า ก่อนจะพูดด้วยความจริงจัง : “ไม่ใช่หรอกค่ะ ฉันแค่คิดว่าถ้าคุณไม่รับรสขริงๆคุณก็จะเข้ากันกับฉันโดยธรรมชาติเลยไงคะ ฉันทำอาหารรสชาติแย่แค่ไหนคุณก็ไม่สามารถรับรสได้ ฉันทำอะไรให้คุณกิน คุณก็กินได้หมดไง”
เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม : “อือ ฉันคงมีปัญหาเรื่องการรับรสจริงนั้นแหละ”
เจี่ยนอี๋นั่วพูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม : “ที่บอมมีปัผยหาเรื่องการรับรสนี่เพื่อฉันสินะคะ”
“หึ……….” เจี่ยนซวงตีไหล่ตัวเองเบาๆ ก่อนจะตะโกนออกมา : “คุณพ่อกับหม่าม้าอย่าเลี่ยนไปกว่าหมูตุ๋นได้มั้ยคะ เอาซะหนูกินไม่ลงเลย! หนูยังเป้ฯเด็กอยู่นะคะ ถึงหนูจะทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ชอบแต่อย่าลงโทษกันด้วยวิธีนี้เลยนะคะ”
ลั่วหยางเงยหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่งและเหลิ่งเซ่าถิง : “พวกคุณคืนดีกันแล้วหรอครับ?”
เหลิ่งเซ่าถิงมีท่าทาที่อึนๆส่วนเจี่ยนอี๋นั่วก็เขินอายเล็กน้อยต่อหน้าลูกๆ ใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วแดงระเรื่อ ก่อนจะกระแอมแล้วพูดขึ้นว่า : “ลั่วหยางกับซวงซวงคะ หม่าม้ามีเรื่องอะไรจะบอกหนู คือว่า…..”
“หม่าม้ากับคุณพ่อคืนดีกันแล้ว!” เจี่ยนซวงชิงพูดตัดบทเจี่ยนอี๋นั่ว เธอกินข้าวไปด้วยหัวเราะฮิฮิไปด้วย ก่อนจะพูดว่า : “หนูรู้ตั้งแต่แรกแล้วค่ะว่าหม่าม้าจะคืนดีกับคุณพ่อ”
ลั่วหยางครยอาหารขึ้นมาเข้าปาก ก่อนจะพูดว่า : “เพราะว่าคุณผู้ชายเหลิ่งเขาเจ้าเล่ห์ ยังไงคุณก็เอาชนะเขาไม่ได้หรอกครับ”
เจี่ยนอี๋นั่วที่ตั้งใจจะอธิบายเรื่องทุกอย่างให้ลูกๆทั้งสองของเธอฟัง เมื่อ ได้ยินที่ลั่วหยางและเจี่ยนซวงพูด เธอก็รู้สึกประหม่าและกระแอมขึ้นมาทันที : “อ่ะแฮ่มๆ เด็กสองคนนี้อย่าดูถูกหม่าม้าสิคะ? หม่าม้าก็อึดอัดมานานมากๆเหมือนกัน แต่คุณพ่อเขาก็พยายามที่จะเล้าโลมหม่าม้ามากๆเหมือนกัน ในระหว่างนั้นเราเจอเรื่องที่ลำบากแสนเข็นมากมากมาย เด็กอย่างหนูๆคงไม่เข้าใจหรอกค่ะ”
เจี่ยนซวงพยักหน้าขึ้นลง ก่อนจะหันไปมองจี้ที่สร้อยคอของลั่วหยาง แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยทันทีว่า : “หนูก็มีสร้อยคอที่มีจี้แบบนี้นะคะ พี่ดูสิ คล้ายกันกับของพี่เลย แค่ดอกไม้ไม่เหมือนกันเอง”
ลั่วหยางก้มหน้ามองสร้อยคอของตัวเองก่อนจะมองไปที่สร้อยที่ห้อยอยู่ที่คอของเจี่ยนซวง แล้วขมวดคิ้วก่อนจะพูดว่า : “เหมือนกันจริงๆด้วย เหมือนของเธอเป๊ะ ไม่แปลกเลยทำไมพี่ถึงคิดว่าสร้อยของพี่มันดูบ๊องๆ”
“พี่หมายความว่ายังไงคะ?” เจี่ยนซวงเบิกตาโตก่อนจะมองลั่วหยางอย่างดุเดือด
ลั่วหยางหายใจเข้าก่อนจะขมวดคิ้ว : “ไม่ำด้หมายความว่ายังไง แค่คิดว่าสร้อยเส้นนี้มันดูบ๊องๆ”
เจี่ยนซวงขมวดคิ้ว ก่อนจะมองลั่วหยางอย่างจริงจัง : “นี่พี่ว่าหนูบ๊องใช่มั้ย?”
ลั่วหยางมองเจี่ยนซวง : “เธอร้อนตัวเองนะ”
เจี่ยนซวงขมวดคิ้วด้วยความเสียใจก่อนจะหันหน้าไปมองเหลิ่งเซ่าถิงแล้วด้วยน้ำเสียงจะร้องไห้ว่า : “คุณพ่อคะ พี่แกล้งหนู”
เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “งั้นก็แกล้งกลับสิคะ”
เจี่ยนซวงเหม่อไปสักพัก ก่อนจะหันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจะร้องไห้ว่า : “หม่าม้าคะ……”
เจี่ยนอี๋นั่วจำได้ว่าตอนที่ตัวเองถูกเด็กทั้งสองคนนี้เยาะเย้ยเธอ เธอก้มหน้ากินข้าวพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “หืม? อะไรคะ? อยากกินอะไร?”
เจี่ยนซวงกระพริบตาปริบๆ เมื่อเห็นว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้ก็เลยรีบเก็บสีหน้าที่จะร้องไห้ของเธอแล้วก็รีบพูดขึ้นว่า : “หนูจะเอาขาไก่ค่ะ เอาอันใหญ่ๆนะคะ!”
เจี่ยนอี๋นั่วคีบขาไก่มาให้เจี่ยนซวง ก่อนจะแอบยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ ตอนที่เธอเงยหน้าขึ้นมา เธอก็เห็นเหลิ่งเซ่าถิงที่ยิ้มมาให้กับเธอ เจี่ยนอี๋นั่วก็พูดขึ้นมาทันที : “หัวเราะอะไรคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะคีบอาหารใส่ชามของเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “คิดว่าเธอลำบากมากๆ ควรจะกินเยอะๆ”
เจี่ยอนี๋นั่วก้มหน้าก้มตากินข้าวด้วยรอยยิ้ม เมื่อกินข้าวเสร็จ ลมข้างนอกก็กระโชกแรงขึ้น เจี่ยนอี๋นั่งจึงให้ลูกทั้งสองไปนอนก่อน เธอเดินไปอยู่ข้างๆเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นแล้วพูดว่า : “คุณต้องทายารึเปล่าคะ? มาค่ะเดี๋ยวฉันทาให้ แล้วเดี๋ยวเราก็เข้าไปนอนกัน ดีมั้ยคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม : “ได้สิ”
เพียงเหลิ่งเซ่าถิงพูดจบเขาก็ถอดเสื้อของตัวเองออกทันที เจี่ยนอี๋นั่วมองผ้าพันแผลที่เละเทะข้างหลังของเหลิ่งเซ่าถิง อาจจะเป็นเพราะรีบเร่งทำแผลมากๆ เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้นมาก่อนจะพูดว่า : “ทำไมพันแผลแบบนี้ล่ะคะ? หมอคนนี้นี่ไม่มีความรับผิดชอบเลย”
เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “ฉันกลัวเธอจะเป็นห่วง เลยรีบพันแผลแล้วขึ้นมาน่ะ”
เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากก่อนจะขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า : “ต่อไปไม่ทำแบบนี้อีกแล้วนะคะ ไม่ว่าฉันจะห่วงหรือไม่ห่วงก็ตาม คุณต้องพันแผลดีๆนะ เรื่องแบบนี้รีบเร่งกันไม่ได้นะคะ”
เจี่ยนอี๋นั่วพูดพร้อมกับค่อยๆแกะผ้าพันแผลออกทีละน้อย ก่อนที่เธอจะเห็นแผลข้างหลังของเหลิ่งเซ่าถิงซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นรอยขีดข่วนและรอยกระแทกจากของ
เจี่ยนอี๋นั่วพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว : “แผลพวกนี้มัน…….”
ก่อนหน้านี้กระจกหน้าต่างแตกน่ะ ก็เลยเป็นรอยบาดของกระจก” เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม
เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจ: “ทำความสะอาดแผลแล้วรึยังคะ? ถ้ามีเศษกระจกหลงเหลืออยู่จะทำยังไงคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว และไม่ได้ตอบคำถามของเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดขึ้น : “คนอย่างคุณ คงยังไม่ได้ล้างแผลใช่มั้ยคะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะไม่โมโห : “ทำไมคุณทำแบบนี้คะ? ทำไมไม่พูดล่ะคะ แล้วคุณก็ยังยิ้มแย้มกินข้าวกับฉันอีก คุณควรจะบอกฉันให้เร็วกว่านี้นะคะ ฉันจะได้ล้างแผลแล้วก็พันแผลให้ คุณนี่เป็นคนยังไกันแน่คะ ทำไมชอบทำให้คนอื่นเขาเป็นห่วงอยู่เรื่อยเลย!”
เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเสียงร้องไห้ของเธอก็เล็ดลอดออกมา เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตามห้เจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม : “ไม่ร้องนะ เราเพิ่งจะดีกันเอง เธอก็ร้องไห้แล้ว ตอนที่เราเลิกกันก่อนหน้านี้ ฉันไม่เคยเห็นน้ำตาของเธอเลยสักครั้ง”
เจี่ยนอี๋นั่วเช็ดน้ำตา ก่อนจะพูดและร้องไห้ไปด้วยว่า : “คุณเคยเห็นเด็กล้มมั้ยคะ?”
“หืม?” เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
เจี่ยนอี๋นั่วเบะปาก : “ตอนซวงซวงเด็กเวลาเธอล้มก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ ถ้าเกิดรอบข้างของเธอไม่มีใครให้พึ่งเธอก็ยังไม่ร้อง แต่ถ้ามีฉันหรือคนที่รักหรือชอบซวงซวงอยู่ข้างๆ ซวงซวงถึงจะร้องออกมาดังๆ”
“อ่า………”เหลิ่งเซ่าถิงเช็ดน้ำตาของเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพยักหน้าพร้อมกับยิ้มออกมา : “เป็นแบบนี้นี่เอง ดูเหมือนฉันจะพลาดเรื่องราวที่น่าสนใจไปเยอะเลยนะเนี่ย”