หนี้รัก วิวาห์จำเป็น - ตอนที่ 226 เสียหน้า
เจี่ยนอี๋นั่วว้าวุ่นใจทั้งคืน เธอนอนไม่หลับเลย หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วนอนไปได้เพียงแป๊ปเดียวเธอก็ตื่นขึ้นมาแล้ว หลังจากที่เธอตื่นขึ้นมาเธอก็ดึงผ้ายวมขึ้นมาคลุมโปรงอีกครั้ง เพราะไม่อยากตื่น เธอรู้สึกว่าเธอขายหน้าจริงๆ เมื่อวานเจี่ยนซวงยังต้องมาปลอบใจเธออีก ตอนนี้เธอรู้สึกเสียความเคารพในความเป็นผู้ใหญ่ของเธอมากจริงๆ
หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วตื่นขึ้นมา เธอก็ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหันหน้ามามองเจี่ยนซวง เมื่อเจี่ยนซวงเห็นเจี่ยนอี๋นั่วลืมตา เธอก็ยกมือขึ้นมากอดเจี่ยนอี๋นั่วทันที ก่อนจะพูดเสียงเบาว่า : “หม่าม้าเป็นอะไรคะ? เมื่อคืนดูหม่าม้าไม่ได้นอนเลย”
เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจก่อนจะนั่งลง : “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ น่าจะเพราะเปลี่ยนที่นอนเลยนอนไม่หลับน่ะค่ะ? มาค่ะ ซวงซวงควรจะเตรียมตัวลุกจากที่นอนแล้ว”
“หม่าม้าคิดถึงคุณพ่อใช่มั้ยคะก็เลยนอนไม่หลับ?” จู่ๆเจี่ยนซวงก็ถามขึ้น
“ไร้สาระแล้วค่ะ! หม่าม้า……”เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ก็หยุดไปสักพัก เมื่อคืนเธอคิดถึงเหลิ่งเซ่าถิงจริงๆ และเธอก็กังวลมากกับอาการบาดเจ็บที่ขาของเหลิ่งเซ่าถิง
เพื่อปกปิดความประหม่าของตัวเอง เจี่ยนอี๋นั่งขมวดคิ้วขึ้น : “อย่าพูดอะไรไร้สาระเลยค่ะ ……หม่าม้าไปเปิดโทรทัศน์ก่อน หนูดูไปก่อนนะคะ เดี๋ยวหลังจากหม่าม้าเข้ากห้องน้ำเสร็จจะล้างหน้าให้หนู”
เมื่อเห็นว่าเจี่ยนซวงพยักหน้าอย่างว่าง่าย เจี่ยนอี๋นั่วก็ไปเอกโทรทัศน์ทันที ในขณะนี้เป็นการรายงานข่าวฝนฟ้าอากาศอยู่ : พายุไต้ฝุ่นกำลังใกล้เข้ามาในเมืองของเรา จากข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่าวันนี้จะมีลมกระโชกแรง และมีฝนตกในเมืองของเรา ขอให้ผู้ชททุกท่านใส่ใจและระมัดระวังในความปลอดภัยของการเดินทางด้วย
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินข่าวฝนฟ้าอากาศเธอก็ขมวดคิ้วขึ้นมา ก่อนจะคิดในใจว่า : “พายุไต้ฝุานจะเข้างั้นหรอ?แล้วทางเหลิ่งเซ่าถิงจะเป็นยังไงนะ?”
แต่เธอเพียงคิดถึงตรงนี้ เจี่ยนอี๋นั่วก็ขมวดคิ้วขึ้นมาแน่น ก่อนจะส่ายหน้า เจี่ยนอี๋นั่วคิดมากไปรึเปล่านะ? คนของเหลิ่งเซ่าถิงที่คอยดูแลเขามีตั้งเยอะไม่ใช่รึไง? ทำไมจะไม่มีคนช่วยดูแลพวกเขาล่ะ? ผ่านเรื่องอะไรมาตั้งมากมาย แค่ไต้ฝุ่นแค่นี้จะนับประสาอะไรสำหรับเหลิ่งเซ่าถิง?
ถึงแม่ว่าเจี่ยนอี๋นั่สจะคิดได้เช่นนั้น แต่ในใจของเธอก็ยังไม่หายกังวล เธอจำได้ว่าคฤหาสน์ของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นอยู่ใกล้กับทะเล ถ้าเกิดไต้ฝุ่นมา ที่ทะเลมันจะไม่รุนแรงกว่าหรอ? มันจะอันตรายมั้ยนะ? เหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนดื้อรั้น แผลเก่าของเขาอยู่ ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรมั้ย หรือเขาจะไม่สนใจไต้ฝุ่นเลยนะ?
หลังจากที่เจี่ยนซวงกินข้าวเสร็จแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้น แล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเหลิ่งเซ่าถิง เธอกดโทรไปได้ไม่นาน ทางเหลิ่งเซ่าถิงก็รับโทรศัพท์ พร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยเสียงแหบๆของเขาว่า : “เจี่ยนอี๋นั่วใช่มั้ย?”
เสียงที่เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินนั้นแปลกหูมากๆ เธอจึงขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะพูดด้วยเสียงเข้ม : “สวัสดีค่ะ คุณ….คุณคือใครคะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วยังพูดไม่จบเธอก็นึกขึ้นได้ว่าเป็นไปได้สูงที่คนนั้นจะเป็นเหลิ่งเซ่าถิง แต่ทำไมเสียงของเหลิ่งเซ่าถิงถึงได้แหบขนาดนี้ล่ะ? แหบจนเธอแยกไม่ออกเลยเชียวเนี่ยนะ?
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดขึ้นว่า : “คุณเป็นอะไรไปคะ? ไม่สบายใช่มั้ย?”
เหลิ่งเซ่าถิงหยุดไปชั่วขณะก่อนจะไออกมาสองสามครั้ง : “ฉันไม่สบายน่ะ เพราะลงน้ำเมื่อวาน ไม่ได้พักผ่อนเท่าไหร่ด้วย”
“งั้นก็รีบไปหาหมอสิคะ? สุขภาพของคุณไม่ดีอยู่แล้ว ถ้าเกิดป่วยอะไรขึ้นมาอีกจะทำยังไงคะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้เธอก็ขมวดคิ้วขึ้นอีดครั้ง : “ไม่สิ นี่คุณคงไม่ได้โกหกฉันใช่มั้ยคะ? ไม่ใช่ว่าแกล้งป่วยใช่มั้ย?”
เหลิ่งเซ่าถิงไอก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ : “ถ้าไม่เชื่อ เธอก็ถามลั่วหยางได้เลย จากเรื่องเมื่อวานเธอก็คงจะรู้ว่าลั่วหยางเป็นคนซื่อสัตย์ขนาดไหน เดี๋ยวฉันจะให้ลั่วหยางมาคุย เธอจะได้รู้ว่าฉันโกหกรึเปล่า ลั่วหยางมานี่หน่อย มารับโทรศัพท์”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ก่อนจะได้ยินเสียงของลั่วหยางทางปลายสายด้วยน้ำเสียงที่สงบว่า : “เขาไม่สบายใจจริงๆครับ หนักด้วย แค่กๆ…..”
เมื่อเธอได้ยินลั่วหยางไอ เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบนั่งลง : “หนูก็ไม่สบายด้วยหรอคะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วัอนหายใจ ก่อนจะพูดกับลั่วหยางด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม : “ไม่เป็นไรนะคะ เอาโทรศัพท์ให้คุณพ่อ หม่าม้าจะคุยกับเขา”
หลังจากที่ลั่วหยางยื่นโทรศัพท์กลับมาให้เหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วก็ขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะคะคอกออกมาเสียงดังว่า : “คุณเหลิ่งเซ่าถิง! คุณเป็นอะไรไปคะ ทำไมไม่ดูแลลูกดีๆ? ตัวเองป่วยแล้วทำไมไม่ไปหาหมอคะ? แล้วตอนนี้ยังแพร่เชื้อให้ลูกอีก! แค่คืนเดียวทำไมไม่ดูแลตัวเองดีๆ ไม่ดูแลลั่วหยางดีๆคะ?”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็รอฟังเสียงแหบๆของเหลิ่งเซ่าถิงตอบกลับมา : “ฉันไม่ได้ตั้งใจแพร่ให้ลูกซะหน่อย ฉันไม่สบายจริงๆนะ ร่างกายเขาอาจจะมีภูมิต้านทานที่ไม่ดี หมอมาดูอาการแล้วด้วย ฉันกำลังรักษาตัว อีกอย่างลั่วหยางไม่อยากให้คนใช้ไปดูแลเขาแบบใกล้ชิด ไม่อยากพัฒนาความสัมพันธ์ระกว่างพ่อลูกกับฉันด้วย……..”
เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้ เธอก็ได้ยินเสียงพึมพำๆของลั่วหยางอยู่ปลายสาย แต่เธอฟังไม่ออกว่าพูดอะไร
แต่เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้ตอบคำถามของเจี่ยนอี๋นั่ว เพียงพูดด้วยเสียงแหบของเขาว่า : “เธออยู่ทางนั้นก็ดูแลตัวเองด้วยนะ ถ้าหายโกรธแล้วเธอคิดว่าอยสกกลับมาเมื่อไหร่ก็กลับมาเมื่อนั้นนะ ฉันกับลั่วอหยางสบายดี เธอไม่ต้องห่วง”
ดีอะไรล่ะ? ป่วยหนักขนาดนั้น อีกอย่างลั่วหยางก็ดูเหมือนจะไม่สบายด้วย นี่เรียกว่าสบายดีหรอ? อีกอย่างอะไรคือหายโกรธไม่ทราบ เธออยากกลับก็กลับงั้นหรอ? อย่างกับเธอเป็นวะใภ้ที่อารมณ์ฉุนเฉียวที่หนีออกจากบ้านอย่างนั้นแหละ!
เจี่ยนอี๋นั่วอยากพูดต่อ แต่ปลายสายทางเหลิ่งเซ่าถิงก็ไอออกมาอีก จึงทำให้เจี่ยนอี๋นั่วลืมสิ่งที่อยากพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงไปแล้ว จึงขมวดคิ้วแล้วรีบพูดขึ้นว่า : “คุณเป็นอะไรคะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วยังคงอยากถามต่อ แต่เธอก็ถูกเหลิ่งเซ่าถิงชิงพูดก่อน : “ไม่รบกวนเธอดีกว่า แค่ได้ยินเสียงเธอฉันก็สบายใจแล้ว ฉันวางสายก่อนนะ”
จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็วางสายไปจริงๆ แต่เจี่ยนอี๋นั่วยังคงถือโทรศัพท์แล้วก็เหม่ออยู่ ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นอย่างอดไม่อยู่ : “นี่……มันเกิดอะไรขึ้น?”
ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วเหม่ออยู่นั้น เจี่ยนซวงก็ขยับเข้ามาเขย่าแขนของเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดเสียงดัง : “หม่าม้าคะ…….หม่าม้า…..คุณพ่อเป็นอะไรหรอคะ? เราต้องกลับกันมั้ยคะ?”
หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วเหม่อไปได้สักพัก เธอก็หันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง ก็เริ่มเห็นลมที่พัดมาแรง ถึงแม้ว่าจะเป็นตอนกลางวัน แต่ตอนนี้ห้าก็มืดลง ดูเหมือนว่าจะมีพายุลูกใหญ่กำลังจะมา ซึ่งมันดูน่ากลัวมาก
เจี่ยนอี๋นั่วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนจะพูดว่า : “ได้ยินมาว่าคืนนี้จะมีพายุไต้ฝุ่น เหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนดื้อรั้น บางทีเขาอาจจะไม่ให้คนใช้เข้าใกล้พวกเขาเลยก็ได้ แล้วก็อยู่คนเดียวทั้งคืน ถ้าอย่างนั้น……เขากับลั่วหยางจะทำยังไง?”
เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงอาจจะใช้กุลอุบายไม่ซื่อกับเธออีกครั้ง แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่วางใจ
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้นมาทันที ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า : “เป็นเวรเป็นกรรมชาติที่แล้วแท้ๆ”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็ก้มหน้าลง แล้วพูดกับเจี่ยนซวงด้วยน้ำเสียงที่จนปัญญา : “ไปค่ะ เรากลับบ้านกัน”
เจี่ยนซวงถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง : “เราต้องกลับไปจริงๆหรอคะ? เราเพิ่งออกมากันแค่วันเดียวเองนะคะ เรากลับไปเร็วไปหน่อยมั้ยคะ? นี่มันเรียกว่าหนีออกจากบ้านหรอคะเนี่ย?”
เจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงตอนที่เธอออกมาอย่างหยิ่งผยองราวกับว่าเธอจะไม่ไปเจอหน้าเหลิ่งเซ่าถิงอีก สุดท้ายเธอก็อยู่ได้แค่คืนเดียว ก็ต้องกลับไปแล้ว ใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะเก็บสีหน้าเอาไว้ ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “จริงแล้ว….หม่าม้าก็ไม่ได้อยากกลับไปหรอกค่ะ แต่ว่าคุณพ่อกับพี่ของกนูป่วยหนัก ถ้าเราไม่กลับ หม้าม้าไม่รู้เลยว่าพวกเขาจะทำยังไง”
เจี่ยนซวงยู่จมูกก่อนจะเอียงหน้าแล้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว เธอมองเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะขมวดคิ้วแล้วถามว่า : “หม่าม้าคะ เราออกมาได้วันเดียว ถ้ากลับไปมันจะเสียหารึเปล่าคะ?”
ใช่ เสียหน้ามากๆ แต่ว่า…..เจี่ยนอี๋นั่วเป็นห่วงทางนั้นมากน่ะสิ
เจี่ยนอี๋นั่วจึงทำได้เพียงขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดต่อว่า : “เสียหน้าไม่เสียหน้าอะไรกันล่ะคะ? ตอนนี้คุณพ่อกับพี่ชายของหนูป่วยหนัก ถ้าไม่กลับไปดูแลอาการพวกเขาจะแย่กว่าเดิมนะคะ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะทำยังไง?”
เจี่ยนซวงกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะถามด้วยความสงสัยว่า : “อ้าว คุณพ่อรวยไม่ใช่หรอคะ? ทำไมไม่มีคนดูแลล่ะคะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยเสียงเย็นชา : “ใช่ค่ะ คุณพ่อรวย แต่คนรวยชอบดื้อรั้น ไม่อยากให้คนอื่นดูแลไงคะ!”
“หม่าม้าคะ…..” เจี่ยนซวงมุ่ยปาก เตรียมพูดต่อ
แต่เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้นแล้วมองเจี่ยนซวง : “หยุดพูดก่อนได้มั้ยคะ? ครั้งนี้ต้องทำตามหม่าม้า เรากลับไปกันก่อน โอเคมั้ยคะ?”
เจี่ยนซวงถึงได้พยักหน้าแล้วพูดเสียงเบาว่า : “ก็ได้ค่ะ ดูแล้วหม่าม้าจะต้องกลับให้ได้แบบนี้ หนูก็ไม่ขัดแล้วค่ะ แล้วก็ถ้าคุณพ่อกับพี่ชายนิสัยแปลกคนนั้นป่วยหนักกว่าเดิม ไม่ได้หม่าม้าไปดูและล่ะก็ หม่าม้าต้องโกรธซวงซวงแน่ๆ ซวงซวงไม่ทำเรื่องโง่ๆแบบนั้นหรอกค่ะ”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเช่นนั้น เธอก็ยกมือขึ้นมาลูบหัวเจี่ยนซวง แล้วชมลูกสาวว่า : “ค่ะ ซวงซวงเป็นเด็กดีมากๆ”
เมื่อเจี่ยนอี๋นัาวพูดจบ เธอก็จูงมือลูกสาวเดินออกจากห้องทันที ในขณะที่เตี่ยนอี๋นั่วกับเจี่ยนซวงออกมา ก็พบกับคนชุดดำที่มาดูแลพวกเธอคามคำสั่งของเหลิ่งเซ่าถิง เธอพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงขมขื่น : “พาพวกเรากลับไป กลับไปหาท่านประธานเหลิ่ง”
เมือเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็ไม่กล้ามองท่าทีของคนๆนั้นต่อ รีบก้มหน้าแล้วขมวดคิ้วไม่พูดอะไรต่อ เธอไม่กล้าคิดเลยว่าคนพวกนี้จะมองเธอยังไง หนีออกมาได้วันเดียว ก็เป็นฝ่ายกลับไปหาเหลิ่งเซ่าถิงซะแล้ว คนอื่นคงคิดว่าเธอเป็นคนเรื่องมากยุ่งยากแล้วมั้งนะ?
เมื่อถึงคฤหาสน์ เจี่ยนอี๋นั่วก็ถอนหายใจอยู่หน้าคฤหาสน์ ก่อนจะเตรียมตัวเคาะประตูใหญ่ของคฤหาสน์ แต่เพียงเธอยกมือขึ้นมากำลังจะเคาะ ประตูก็เปิดออกก่อนแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงถูกห่อหุ้มด้วยผ้าห่มพร้อมกับใบหน้าที่ซีดเซียวของเขา หลังจากที่เขาเปิดประตู เขาก็ยิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่วอย่างสดใส แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าของเขา : “ในที่สุดเธอก็กลับมา”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นสีหน้าของเหลิ่งเซ่าถิง เธอก็รู้ทันทีว่าเหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้โกหกเธอ เหลิ่งเซ่าถิงป่วยหนักจริงๆ
เจี่ยอนี๋นั่วรีบขมวดคิ้วขึ้น : “แค่คืนเดียวเอง คุณจะป่วยหนักได้ขนาดนี้เลยหรอคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม : “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะเพราะเป็นการแก้แค้นมั้งนะ เพราะฉันโกหกเธอ ฉันก็เลยป่วยแบบนี้”
เจี่ยอนี๋นั่วขมวดคิ้ว แล้วรีบพูดขึ้นว่า : “พูดบ้าอะไรคะ แก้แค้นอะไรกัน? อย่าพูดแบบนั้นนะคะ!”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจา เธอก็จูงมือเจี่ยนซวงเข้ามา เจี่ยนอี๋นั่วเดินตรงมาหาลั่วหยาง ก่อนจะยกมือของเธอขึ้นมาแตะหน้าผากลูกชาย ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “ถึงตัวจะไม่ร้อน ก็ต้องให้คุณหมอดูอาการนะคะ ว่าหนูป่วยมั้ย ทำไมถึงได้ไอ!”
“อ๋า? พี่ป่วยหรอคะ? งั้นก็อยู่ห่างๆซวงซวงด้วยนะคะ ห้ามมาแพร่เชื่อให้ซวงซวง!” เจี่ยนซวงพูดจบก็อ้าปากออกมาอย่างโอเวอร์
ลั่วหยางหันมามองเหลิ่งเซ่าถิง : “พวกเธอกลับมาแล้ว ความปรารถนาของผมเมื่อวานยังนับอยู่มั้ยครับ? ผมอยากให้น้องสาวบื้อนี่หุบปาก!”
เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้าพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม : “จำไม่ได้แล้วสิว่ามีปรารถนาอะไร”
เจี่ยนอี๋นั่วไม่เข้าใจที่เหลิ่งเซ่าถิงและลั่วหยางพูด จึงขมวดคิ้วขึ้นแล้วถาม : “พวกคุณพูดอะไรกันอยู่คะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงตอบด้วยรอยยิ้ม : “ไม่มีอะไรหรอก …….ก็แค่……”
เหลิ่งเซ่าถิงยังพุไม่จบเขาก็ไอออกมาอีกครั้ง
เจี่ยนอี๋นั่วเห็นเช่นนั้นเธอก็รีบหันไปดูเหลิ่งเซ่าถิงทันที ก่อนจะออกคำสั่ง : “คุณกลับไปที่ก้องแล้วนอนเดี๋ยวนี้เลยนะคะ”
เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะตอบด้วยเสียงแหบๆว่า : “อืม”
เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงพูดเขาก็หันหลังเดินกลับไปที่ห้องของเขาอย่างว่าง่าย เจี่ยนอี๋นั่วเห็นเหลิ่งเซ่าถิงเดินกลับห้องนอน เธอก็ขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะเดินไปที่ห้องครัวก่อนจะพับแขนเสื้อขึ้น : “โอเค เดี๋ยวฉันจะทำอาหารให้กิน”
“อ๋า? จะทำให้เรากินจริงๆหรอครับ/คะ?” ลั่วหยางและเจี่ยนซวงพูดเป็นเสียงเดียวกัน
เจี่ยนอี๋นั่วหันไปมองเจี่ยนซวงและลั่วหยาง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วพูดว่า : “พวกหนูมั่นใจในฝีมือของหม่าม้าหน่อยได้มั้ยคะ? ครั้งนี้หม่าม้าแค่จะทำโจ๊ก ไม่ต้องปรุงรสอะไรเลย ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอนค่ะ วางใจได้เลย”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็เตรียมทำโจ๊กทันที เจี่ยนอี๋นั่วยังทำโจ๊กได้ดีเหมือนเดิม เพราะว่าโจ๊กไม่ต้องปรุงรสใดๆ แค่เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆค้มมันก็พอแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วทำโจ๊ะไปด้วยพร้อมกับเก็บของในห้องที่เละเทะไปหมด ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบไปเห็นหน้าต่างที่ปิดไว้ เธอก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที : “ทำไมหน้าต่างพวกนี้ถึงผิดไว้หล่ะ?”
ลั่วหยางถือน้ำมา ก่อนจะดื่มลงไป แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า : “เพราะว่าไต้ฝุ่นจะมาไงครับ เมื่อคืนคุณผู้ชายเหลิ่งเลยลงมาปิดเอง”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว : “อะไรนะคะ? เขาปิดเองหรอคะ?”
ละ่วหยางที่ถือแก้วน้ำพยักหน้า : “ขาของเขาไม่ดีน่ะครับ ก็เลยไม่สะดวก ก็เลยใช้เวลาปิดนานมากๆ ผมก็ช่วยเขาจนเสร็จ เมื่อคืนเลยไม่ได้นอนน่ะครับ”
“คนมีตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมเขาไม่เรียกมาทำล่ะคะ?” เจี่ยนอี๋นั่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเหลิ่งเซ่าถิงต้องทำแบบนั้น? มีคนตั้งมากมายให้เขาเรียกใช้ ทำไมเขาต้องลงมือทำเองด้วย?
ลั่วหยางที่ถือแก้วน้ำขมวดคิ้ว : “ผมก็ไม่แน่ใจครับ แต่ว่าคุณผู้ชายเหลิ่งเขาเคยพูดว่าบ้านหลังนี้เขาดูแลมันอย่างดี ไม่มีความจำเป็นใดๆที่เขาจะต้องขอความช่วยเหลือจากใครครับ”
“ช่างดื้อรั้นจริงๆคนๆนี้” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเข้ม