หนี้รัก วิวาห์จำเป็น - ตอนที่ 225 หนีออกจากบ้าน
เจี่ยนอี๋นั่วอุ้มเจี่ยนซวงเดินออกมาจากสนามหญ้านั้นโดยที่เธอเอาเสื้อคลุมมาคลุมให้เจี่ยนซวงลูกสาวของเธอด้วย เพียงออกมาถึงข้างนอกก็มีคนสวมใส่ชุดสีดำมาขวางเธอเอาไว้ ก่อนจะพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วอย่างสุภาพว่า : “คุณผู้หญิงเจี่ยนครับ ท่านประธานเหลิ่งให้พวกเรามาเช็คดูคุณหนูครับ”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำว่า’คุณหนู’เธอก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที : “คุณหนูอะไร?”
แต่เมื่อเธอถามจบไปแล้ว เธอจึงได้เข้าใจว่า’คุณหนู’ที่ว่า ก็คือเจี่ยนซวงลูกสาวของเธอ ถึงแม้ว่าตอนนี้ดูเหมือนเจี่ยนซวงจะไม่เป็นอะไร แต่ว่าเธอได้ตกน้ำไป ลองมาตรวจเช็คดูสักนิดน่าจะดีกว่า เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าขึ้นลง ก่อนจะตามขึ้นรถพยาบาลไป หลังจากที่ขึ้นมาแล้ว ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วเคยเจอกับหมอวัยกลางคนกับเสี่ยวอู๋มาแล้ว ก่อนเขาจะยิ้มแล้วพูดกับเจี่ยนซวงว่า : “ไม่ต้องกลัวนะ พวกเขาแค่ตรวจร่างกายแป๊ปเดียว เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
หมอวัยกลางคนพูด ก่อนจะหยิบหูฟังทางแพทย์ขึ้นมาตรวจให้เจี่ยนซวง จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจี่ยนซวงใหม่ แล้วค่อยตรวจร่างกายให้เจี่ยนซวงอย่างละเอียดอีกครั้ง เมื่อตรวจเช็ตเสร็จเรียบร้อยแล้ว หมอวัยกลางคนคนนั้นจึงได้พูดกับเจี่ยนอี๋นั่งว่า : “เรียบร้อยดีครับ”
“ถ้าอย่างนั้นฉันพาลูกไปได้รึยังคะ?” เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นหมอวัยกลางคนคนนั้นพยักหน้า เธอก็ยื่นมือออกมาอุ้มเจี่ยนซวงอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่เธออุ้มเจี่ยนซวงแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็เหลือบไปมองเสี่ยวอู๋ที่นั่งอยู่ข้างๆ เมื่อเธอเห็นมือของเสี่ยวอู๋เธอรู้สึกได้ถึงความคุ้นเคย เจี่ยนอี๋นั่วจึงขมวดคิ้วขึ้นมาแล้วก็มองไปที่เสี่ยวอู๋อีกครั้ง เสี่ยวอู๋คนนี้มักจะให้ความรู้สึกคุ้นเคยกับเธออยู่เสมอ แต่ก็ไม่ได้มีความประทับใจใดๆ
เมื่อเสี่ยวอู๋สังเกตเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วมอง เขาก็ก้มหัวลง แสดงท่าทีเขินอายและประหม่าออกมา เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้คิดอะไรต่อ บางทีเธออาจจะเคยเจอกับเสี่ยวอู๋มาแล้วแต่เธออาจจะลืมไปแล้ว เพราะเสี่ยวอู๋เป็นคนของเหลิ่งเซ่าถิง อาจจะเป็นเหลิ่งเซ่าถิงที่จัดให้เสี่ยวอู๋มาคอยดูแลเธอ แต่เธอแค่จำไม่ได้
เจี่ยนอี๋นั่วที่กำลังหัวร้อนไม่ได้คิดและไม่ให้ความสนใจกับเสี่ยวอู๋ต่อ เธอห่อตัวเจี่ยนซวงเอาไว้ในผ้า ก่อนจะอุ้มตัวเจี่ยนซวงลงมาจากรถพยาบาล แล้วจึงเดินจากไป ก็มีคนชุดดำหลายคนเดินมาข้างหน้าเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดด้วยความสุภาพว่า : “คุณผู้หญิงเจี่ยนครับ ท่านประธานสั่งให้เราไปส่งคุณผู้หญิงไปยังสถานที่พักที่ปลอดภัยครับ”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว : “ฉันไม่ต้องการจัดการอะไรจากเขา”
หนึ่งในนั้นพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ท่านประธานเหลิ่งทำเพื่อความปลอดภัยของคุณผู้หญิงกับคุณหนูนะครับ ตอนนี้เป็นความรับผิดชอบของเราต่อคุณ ถ้าหากคุณไปอยู่ในที่ที่มันเหนือการควบคุมของพวกเรา อาจจะทำให้เกิดอันตรายกับคุณผู้หญิงกับคุณหนูได้นะครับ”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเช่นนั้นเธอก็ก้มหน้ามามองเจี่ยนซวง เธอทำได้เพียงเม้มปากแน่นก่อนจะพยักหน้าช้าๆแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า : “ก็ได้ ฉันจะไปกับพวกนาย”
เจี่ยนอี๋นั่วอุ้มเจี่ยนซวงขึ้นรถไป เจี่ยนซวงจึงมุดหน้าออกมาจากผ้าแล้วถามเจี่ยนซวงว่า : “หม่าม้าคะ พวกเขาคือคนที่คุณพ่อส่งมาให้ดูแลพวกเราหรอคะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า : “ใช่ค่ะ”
เจี่ยนซวงกระพริบตาก่อนจะขมวดคิ้วแล้วเอียงใบหน้าของเธอถามเจี่ยนอี๋นั่วว่า : “หม่าม้าคะ เราจะออกจากบ้านไปจริงๆหรอคะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วมองคนของเหลิ่งเซ่าถิงที่กำลังขับรถอยู่ ที่มองเธอที่นั่งอยู่บนรถของเหลิ่งเซ่าถิง ตอนนี้ทุกย่างก้าวของเธอนั้นอยู่ในการควบคุมของเหลิ่งเซ่าถิงทั้งหมด จะเรียกว่าออกจากบ้านได้ยังไงกันล่ะ? เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากของตัวเองด้วยความโกรธ ก่อนเธอจะพูดกับเจี่ยนซวงด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า : “หนูยังไม่ต้องถามหม่าม้าตอนนี้นะคะ เมื่อกี้หนูเพิ่งทำผิดไป หม่าม้ายังไม่หายโกรธนะ”
เจี่ยนซวงรีบมุดเข้าไปในผ้าทันทีก่อนจะเม้มริมฝีปาก ราวกับเธอไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องอะไร
เจี่ยนอี๋นั่วอุ้มเจี่ยนซวงเข้าไปในโรงแรมที่เหลิ่งเซ่าถิงได้จัดการเตรียมไว้ให้ จากนั้นก็มีคนนำเสื้อผ้าและอาหารเย็นมาส่งให้พวกเธอสองแม่ลูก เจี่ยนซวงโผล่ออกมาจากผ้าห่มด้วยรอยยิ้มก่อนจะพูดขึ้นว่า : “ว้าว ของอร่อยๆเยอะจังค่ะ หม่าม้าคะ เราออกจากบ้านมานี่ดีจังเลยนะคะ ต่อไปเราต้องหนีออกจากบ้านอีกแล้วล่ะค่ะ!”
เมื่อเจี่ยนอี๋นได้ยินคำว่า’หนีออกจากบ้าน’สี่คำนี้ เธอก็รู้สึกราวกับว่าเธอถูกเยาะเย้ยอยู่ ก่อนจะขมวดคิ้วอย่างไม่สบายใจแล้วก็เกาหัวของตัวเอง : “ซวงซวงคะ กินข้าวดีๆ แล้วก็ไม่ต้องพูดมากค่ะ”
เจี่ยนซวงกัดขนมหวานเข้าไป ก่อนจะถือแก้วชานมขึ้นมา แล้วก็เดินไปหาเจี่ยนอี๋นั่วอย่างระมัดระวัง พร้อมกับถามขึ้นด้วยเสียงเล็กของเธอว่า : “หม่าม้าคะ ชานมค่ะ หม่าม้ายังโกรธซวงซวงอยู่ใช่มั้ยคะ? ซวงซวงสัญญาค่ะว่าซวงซวงจะไม่ทำอีก!”
เจี่ยนอี๋นั่วรับแก้วชานมมาก่อนจะขมวดคิ้ว : “หม่าม้ายังโกรธหนูอยู่นะคะ!”
เจี่ยนซวงกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะถามด้วยเสียงเบาๆว่า : “แต่หม่าม้าโกรธคุณพ่อมากกว่า ใช่มั้ยคะ? ถึงแม้ว่าซวงซวงจะมีความผิด แต่ความผิดของคุณพ่อมากกว่าของซวงซวง คุณพ่อโกหกหม่าม้านะคะ! ถ้ามาเทียบกันกับซวงซวง ซวงซวงก็ยังถือว่าเป็ลูกที่เีอยู่นะคะ”
เจี่ยนอี๋นั่วมองเจี่ยนซวง : “ไม่ต้องคิดว่าคุณพ่อทำให้หม่าม้าโกรธ แล้วหนูจะไม่มีความผิดนะคะ คนละเรื่องกัน หนูไม่ฟังหม่าม้า ไปเล่นใกล้ๆแม่น้ำแบบนั้น หม่าม้าไม่ลืมนะคะ หม่าม้าเคยบอกแล้วไม่ใช่หรอถ้าหนูไม่ได้อยู่กับหนู ห้ามไปเล่นใกล้ๆแม่น้ำหรือบ่อน้ำ? อย่าคิดว่าหม่าม้าจะเยี่ยงเบนความโกรธไปเพราะว่าคุณพ่อนะคะ แล้วตอนนี้หนูก็กำลังเอาคุณพ่อมาเบี่ยงเบนความสนใจหม่าม้าอยู่ แล้วทำตัวเป็นเด็กว่าง่ายเชื่อฟังแบบนี้ หม่าม้าไม่พอใจเลยนะคะ” “หม่าม้าคะ หม่าม้าจะหย่ากับคุณพ่อใช่มั้ยคะ? หย่ากันเหมือนกันคุณพ่อคุณแม่ของเด็กๆคนอื่น”
เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า : “หม่าม้ากับคุณพ่อไม่ได้แต่งงานกันค่ะ ดังนั้นเราไม่ต้องหย่า!”
เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินเช่นนั้น เธอก็เบิกตาโตทันที : “จริงหรอคะ? ที่แท้คุณพ่อก็ไม่ใช่คุณพ่อตัวจริงนี่เอง แต่เป็นคุณพ่อตัวปลอม”
เจี่ยนอี๋นั่วอดที่จะไม่ยิ้มไม่ได้ : “อะไรคือคุณพ่อตัวปลอมคะ? ไม่ว่าหม่าม้าจะอยู่กับคุณพ่อมั้ยก็ตาม มันไม่ได้มีผลอะไรกับหนูมากหรอกค่ะ แล้วมันก็ไม่กระทบความสัมพันธ์ระหว่างหนูกับคุณพ่อด้วย คุณพ่อก็คือคุณพ่อของหนู ไม่ใช่คุณพ่อตัวปลอมหรอกค่ะ เจี่ยนซวงกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะกอดแขนของเจี่ยนอี๋นั่วเอาไว้ แล้วหัวเราะฮิฮิออกมา: “แต่ตอนนี้หม่าม้าก็ดูออกใช่มั้ยล่ะคะ ว่าหนูเป็นเด็กดีที่คอยอยํ่เครยงข้างหม่าม้า ส่วนลั่วหยางคนนั้นน่ะพึ่งไม่ได้เลย ไม่ได้ตามเรามาด้วย หม่าม้าว่าซวงซวงวามารถพึ่งพาได้มั้ยคะ? หม่าม้าฟังซวงซวงนะคะ ไม่ต้องไปสนใจเด็กชายคนที่ชื่อลั่วหยางแล้วค่ะ!”
เจี่ยนอี๋นั่วมองเจี่ยนซวงที่ความคิดราวกับเจ้าเด็กผี ก่อนจะยิ้มแล้วพยักหน้า : “ค่ะ…….ถ้าหนูไม่พูด หม่าม้าก็คงจะลืมไปเลย หม่าม้าควรจะโทรหาลั่วหยางแล้ว ไม่ให้พี่เขารู้สึกว่าหม่าม้าออกจากบ้านมาแล้วก็ไม่สนใจพี่อีก”
“ฮึ!” เจี่ยนซวงรีบหันหน้าแล้วพูดด้วยเสียงอู้อี้ : “จริงๆเลยนะ หม่าม้าไม่สนใจซวงซวงที่เสียสละมาอยู่เคียงข้างหม่าม้าเลย ยังสนใจลั่วหยางคนนั้นอีก หม่าม้าลำเอียง!”
เจี่ยนซวงพูดพร้อมกับยกไหล่ไปด้วยยู่ปากไปด้วย บวกกับทำท่าทางโมโหออกมา
เจี่ยนอี๋นั่วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา มืออีกข้างของเธอก็ลูบหัวเจี่ยนซวง พร้อมกับกดโทรไปหาที่เบอร์บ้านของเหลิ่งเซ่าถิง
ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะเป็นคนโทรไป แต่เธอไม่ได้ทันตั้งตัวที่จะรับสายไวขนาดนี้ ดังนั้นตอนที่เธอกดโทรแล้วมีคนรับเลยนั้น ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
“อี๋นั่ว เธอกินข้าวรึยัง?” เหลิ่งเซ่าถิงถามด้วยรอยยิ้ม ราวกับเมื่อกี้ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น
เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกโมโหขึ้นมาทันที ก่อนจะพูดตอบเหลิ่งเซ่าถิงไปว่า : “ฉันขอสายลั่วหยางหน่อยค่ะ คุณไม่ต้องมาคุยกับฉัน ฉันไม่อยากได้ยินเสียงคุณ”
เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว ก่อนจะวางโทรศัพท์ลงช้าๆ แล้วก็หันหลังมาหาลั่วหยางแล้วพูดด้วยเสียงเข้มว่า : “ขอสายลูกน่ะ”
ลั่วหยางมองเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะเดินไปช้าๆแล้วรับโทรศัพท์ : “ฮัลโหลครับ……..”
เจี่ยนอี๋นั่งรีบพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มทันที : “หนูกินข้าวรึยังคะ?”
ลั่วหยางหันมามองเหลิ่งเซ่าถิง เมื่อเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้าลั่วหยางห็ส่ายหน้าพร้อมกับพูดออกมาว่า : “ยังครับหม่าม้า”
เจี่ยนอี๋นั่วรีบขมวดคิ้วขึ้น : “นี่มันกี่โมงกี่ยาวแล้วคะ ทำไมยังไม่กินข้าวอีก?”
ลั่วหยางมองเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงกระพริบตาใส่คนเป็นลูกชาย ลั่วหยางก็ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะพูดว่า : “คุณผู้ชายเหลิ่งเขายืนยันที่จะไม่ให้คนใช้มาดูแลผมครับหม่าม้า เขาบอกว่าจะทำกับข้าวเอง ผมไม่รู้ว่าว่าฝีมือการทำอาหารของเขาเป็นยังไง แต่ว่าตอนนี้เห็นได้ชัดเลยครับว่าฝีมือเขาแย่มาก วันนี้ผมว่าผมน่าจะไม่ได้กินอาหารที่เขาหรอกครับ”
ลั่วหยางมองมาที่เหลิ่งเซ่าถิงอีกครั้ง เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเขียนอะไรลงในกระดาษว่า : “พูดต่อไป ถ้าลูกทำให้หม่าม้ากลับมาได้ พ่อจะให้รางวัลที่ลูกอยากได้”
ลั่วหยางขมวดคิ้ว ก่อนจะครึ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะพยักหน้า แล้งหันหน้ามาคุยโทรศัพท์ต่อ : “ผมอยากทานอาหารฝีมือหม่าม้าจังเลยครับ…….”
ลั่วหยางพูดถึงตรงนี้ เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นแล้วพูดอย่างขมขื่นว่า : “หม่าม้าครับ…….”
เจี่ยนอี๋นั่วเหม่อไปสักพัก ก่อนที่ดวงตาของเธอจะแดงก่ำ เธอรีบหันหลังมาหาเจี่ยนซวงแล้วจูงมือลูกสาวเพื่อที่จะไปทำกับข้าวให้ลูกชายของเธออย่างรวดเร็ว
เจี่ยนอี๋นั่วถือโทรศัพท์แล้วก็พูดด้วยความเร่งรีบว่า : “งั้นหม่าม้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ หนูไม่ต้องกลัวนะ”
เมื่อลั่วหยางได้ยินเสียงร้องไห้ของคนเป็นแม่ ก็อึ้งไปสักพัก ก่อนจกระพริบตาปริบๆแล้วพูดด้วยน่ำเสียงเข้มว่า : “จริงๆแล้ว…..จริงๆแล้วหม่าม้าไม่ต้องกลับมาก็ได้ครับ เมื่อกี้ที่ผมพูดคือคุณผู้ชายเหลิ่งสั่งให้ผมโกหก ผมทานข้าวแล้วครับหม่าม้า หม่าม้าไม่ต้องห่วงนะครับ หม่าม้ากับ….ยัยน้องสาวบ๊องคนนั้นรีบพักผ่อนเถอะครับ”
เมื่อลั่วหยางพูดจบก็วางโทรศัพท์ทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเหลิ่งเซ่าถิง : “ผมไม่อยากให้หม่าม้าเป็นห่วงแล้วผมก็ไม่อยากโกหกหม่าม้าเหมือนคุณพ่อด้วย แล้วอีกความต้องการของผมเมื่อกี้ก็คืออยากให้เจี่ยนซวงเงียบไปสักสองสามวัน พอมาคิดๆดูแล้ว ให้หม่าม้ากลับมาช้าหน่อยก็ดีครับ จะได้ทำให้ความต้องการของผมเป็นจริงได้นานขึ้น”
เมื่อลั่วหยางพูดจบ เขาก็เงยหน้ามองมองใบหน้าที่หมานๆของเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะพูดเสียงเบาๆ ว่า : “คุณพ่อเป็คุณพ่อของผม คุณพ่อคงไม่เอาเรื่องเมื่อกี้มาเป็นเหตุให้ผมผิวตายหรอกใช่มั้ยครับ?”
เหลิ่งเซ่าถิงหายใจเข้าลึกๆหนึ่งที ก่อนจะหรี่ตามองลั่วหยาง ก่อนจะยิ้มแล้วส่ายหัว : “ใช่ พ่อคงไม่ปล่อยให้เราหิวหรอก”
เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ เขาก็หรี่ตามองไปที่ลั่วหยางอย่างละเอียด ก่อนจะยิ้มแล้วยืนขึ้นแล้วพูดว่า : “แต่ก็ไม่รับประกันนะว่าเราจะไม่หิวตาย ในห้องครัวน่าจะมีของกินอยู่ ลูกลองไปดูเองแล้วกันว่ากินได้มั้ย พ่อควรจะกลับห้องแล้ว เราฉลาดอยู่แล้วนี่คงหาวิธีดูเองได้”
เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ เขาก็ก้มหน้ามามองขาของตัวเอง ก่อนจะพูดต่อด้วยรอยยิ้มว่า : “น่าจะรู้ดีนะ ว่าพ่อพิการอยู่ อีกอย่างพ่อก็ไม่ใช่พ่อที่ดีอะไร ลูกทรยศ”
เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ เขาก็เหลือบมามองลั่วหยาง แล้วเดินขึ้นห้องไป ลั่วหยางนั้งอยู่ที่เดิมอยู่สักพัก ก่อนจะถอนหายใจออกมา แล้วส่ายหัวไปมา : “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเมื่อพ่อแม่ของเด็กๆคนอื่นเขาเลิกกัน เด็กส่วนใหญ่จะอยู่กับแม่ เพราะพ่อบางคนไม่มีความรับผิดชอบเท่าไหร่”
ลั่วหยางพูด ก่อนจะไปเอาน้ำส้มในห้องครัว แล้วหันหลังมามองแผ่นหลังของเหลิ่งเซ่าถิงแล้วพูดขึ้นว่า : “อีกทั้งยังขี้เกนียวอีก”
หลังจากที่ลั่วหยางวางสายไปแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังถือโทรศัพท์เอาไว้อยู่ เมื่อกี้ลั่วหยางเรียกเธอว่าหม่าม้าแล้วหรอ? มันทำให้เจี่ยนอี๋นั่วในตอนนี้ประหลาดใจมากๆ ราวกับว่าเธอกำลังฝันอยู่
จนเจี่ยนซวงเขย่าแขนของเจี่ยนอี๋นั่ว เธอถึงได้สติกลับมา เจี่ยนอี๋นั่วรีบก้มหน้าลงมามองเจี่ยนซวงพร้อมกับพูดว่า : “มีอะไรคะ?”
เจี่ยนซวงมองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วหัวเราะฮิฮิออกมา ก่อนจะพูดว่า : “หม่าม้าคะ ทำไมถึงเหม่อไปล่ะคะ? เจอเรื่องอะไรไม่ดีหรอคะ? ลั่วหยางดื้อใช่มั้ย? ตอนนี้ซวงซวงเป็นเด็กดีมากๆใช่มั้ยคะ? หม่าม้ารู้สึกว่ามีซวงซวงเป็นลูกคนเดียวก็พอแล้วรึยังคะ?
เจี่ยนอี๋นั่วลูบหัวลูกสาว ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “เก็บความคิดนั้นของหนูไปเลยค่ะ ซวงซวงกับลั่วหยางเป็นเด็กดีทั้งสองคนเลยในใจของหม้าม้า ยกเว้นคนนั้น…….”
เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ เธอก็หรี่ตามองแล้วพูดด้วยเสียงเข้มว่า : “เมื่อกี้นี้เขาดื้อมากๆ!”
เจี่ยนซวงรีบกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดเสียงเบาว่า : “หม่าม้าหมายถึงคุณพ่อหรอคะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วตะคอก : “ไม่ใช่เรื่องที่หนูต้องใส่ใจค่ะ ไปกินข้าวแล้วก็อาบน้ำพักผ่อนเลยค่ะ!”
เจี่ยนซวงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เมื่อรู้ว่าตัวเองทำผิดเจี่ยนซวงก็จะเชื่อฟังอย่างว่าง่าย พอถึงเวลานอน เจี่ยนซวงก็รีบเข้าไปหาเจี่ยนอี๋นั่วอย่างไร้เดียวสาทันที
เจี่ยนอี๋นั่วนอนไม่หลับ ราวกับว่ามีไฟอยู่ในอกของเธอที่มันทำให้เธอรู้สึกไม่ดี เธอมองห้องที่เหลิ่งเซ่าถิงจัดไว้ให้ ก่อนจะก้มไปมองชุดที่เหลิ่งเซ่าถิงจัดเตรียมไว้ให้ บางทีก็ยังได้ยินเสียงคนที่เหลิ่งเซ่าถิงจัดการเพื่อปกป้องเธอ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าตอนนี้เธอเป็นเหมือนตัวตลก ที่เธอไม่สามารถออกมาจากขอบเขตที่เหลิ่งเซ่าถิงมีอิทธิพลได้เลย
เมื่อพูดถึงเรื่องการหนีออกจากบ้าน ก็ยิ่งเหมือนเธอทำเรื่องตลก เรื่องที่เธอโกรธอยู่ตอนนี้ก็ยิ่งตลกเข้าไปใหญ่
แต่ที่ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรำคาญใจก็คือ นอกจากที่เธอจะโกรธเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็โกรธตัวเองอยู่ เพราะเหลิ่งเซ่าถิงโกหกเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้ แต่เธอก็ยังเป็นห่วงเหลิ่งเซ่าถิง กังวลเรื่องแผลที่เขาได้รับบาดเจ็บ จะมีใครเอายามาให้เขามั้ย ห่วงว่าถ้าเหลิ่งเซ่าถิงจะดูแลลั่วหยางไม่ดี จะทำยังไง?
เจี่ยนอี๋นั่วยังจำได้ในตอนที่เธอขึ้นมาจากน้ำ ถึงแม้ว่าขาขวาของเหลิ่งเซ่าถิงจะไม่ได้เป็นอะไร แต่เห็นได้ชัดว่าขาซ้ายเขานั้นมันยังไม่มีแรง น้ำในแม่น้ำเย็นขนาดนั้น มันจะทำให้แผลเก่าของเขาแย่ลงมั้ยนะ อีกอย่างร่างกายของเหลิ่งเซ่าถิงก็ยังไม่ฟื้นตัวดี โดนน้ำเย็นแบบนั้น เขาจะป่วยมั้ยนะ?
“น่าตายจริงๆ! จะไปห่วงคนที่โกหกกันแบบนั้นทำไม?” เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงทันที พร้อมกับตะคอกออกมาด้วยความรำคาญใจ
เจี่ยนซวงที่นอนอยู่ข้างๆตกใจตื่น รีบยกมือขึ้นมากอดเจี่ยนอี๋นั่วทันที พร้อมกับเกลี้ยกล่อมเจี่ยนอี๋นั่วว่า : “หม่าม้าเป็นเด็กดีนะคะ ไม่โกรธแล้วนะคะหม่าม้า”