หนี้รัก วิวาห์จำเป็น - ตอนที่ 218 ลองคบกันดูไปก่อน
เจี่ยนซวงขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของลั่วหยาง และถามด้วยน้ำเสียงเบา :“มันจำเป็นต้องเงียบนานขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ลั่วหยางพยักหน้าทันที: “ใช่สิ ต้องเงียบนานขนาดนั้นแหล่ะ ก็เมื่อกี้นี้น้องเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะขออะไรก็ได้ ”
เจี่ยนซวงก้มหน้าลงหน้าตาน่าสงสาร แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเบา : “หนูคิดว่าพี่คงอยากจะขอแค่ขนมจากหนูเท่านั้น!หนูคาดไม่ถึงว่าพี่ไม่อยากฟังหนูพูดอ่ะ ”
หลังจากเจี่ยนซวงพูดจบ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อไม่ให้ร้องไห้ออก และหันไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว เธอขยับริมฝีปากเพื่อต้องการขอความช่วยเหลือจากเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าคำพูดเหล่านั้นเธอเป็นคนพูดออกมาด้วยตัวเอง และแม้ว่าเธอจะขอความช่วยเหลือจากเจี่ยนอี๋นั่ว และคิดว่าคุณแม่ของเธอคนนี้คงจะไม่ช่วยเธออย่างแน่นอน
ในท้ายที่สุดเจี่ยนซวงก็ตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไรออกมาอีกเลย เธอเม้มริมฝีปาก นั่งหดตัวลงบนโซฟาและนั่งเงียบสงบลง เมื่อลั่วหยางเห็นเจี่ยนซวงหลบอยู่บนโซฟา ดวงตาของเธอก็เบิกกว้าง และหน้าตาที่แสดงออกมากำลังอารมณ์เสียเป็นอย่างมาก
ลั่วหยางอดไม่ได้ที่จะยักคิ้วและหัวเราะออกมาเบา ๆ
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นโมเม้นนี้ ก็อดไม่ได้ที่หัวเราะออกมา เมื่อเห็นเจี่ยนซวงและลั่วหยางเด็กทั้งสองคนนั้นทะเลาะกันบ้างเล่นกันบ้าง ทำให้พวกเขาค่อยๆทำความคุ้นเคยและสนิทสนมกันมากขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วจึงลุกขึ้นและหยิบหนังสือขึ้นมาพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม: “เกือบเที่ยงแล้ว และหลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงก็สามารถทานข้าวเที่ยงได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเรามามีความสุขกับเวลาหนึ่งชั่วโมงนี้ดีกว่านะ ”
ลั่วหยางลดตาลง พลิกหนังสือหน้าถัดไป และพยักหน้าเห็นด้วย
เจี่ยนซวงหน้ามุ่ยด้วยความเสียใจ และทันทีที่เธอต้องการพูด เธอก็รีบยกมือขึ้นและใช้มือเล็ก ๆ ปิดปากของเธอทันที จากนั้นเจี่ยนซวงก็จ้องมองไปที่นาฬิกาอย่างมีความหวัง แต่เวลาที่เธอไม่สามารถพูดคุยได้นั้นมันช่างเป็นเวลาที่นานแสนนานเหลือเกิน ทำให้เจี่ยนซวงเกือบทนต่อไปไม่ไหว และเดินวนไปเดินวนมาอย่างทรมานใจ เจี่ยนซวงปิดปากของเธอพร้อมขมวดคิ้วและจ้องมองไปที่เวลา หลังจากนั้นไม่นานเจี่ยนซวงก็เดินวนในห้องโถงหลายรอบ จากนั้นก็ไปดึงเสื้อผ้าของเจี่ยนอี๋นั่ว
หลังจากเธอได้ทำทุกวิถีทางแล้วมันไร้ผล เจี่ยนซวงก็เงียบสงบนิ่งลง ขมวดคิ้วถอนหายใจออกมา และนั่งลงบนโซฟาอย่างน่าเวทนา แล้วจ้องมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง
เงียบไปไม่ถึงสิบนาที ทันใดนั้นเจี่ยนซวงก็ตะโกนออกมาว่า :“คุณพ่อ!”
เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง และกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อน ๆ :“ซวงซวงหนูหยุดก่อความวุ่นวายได้แล้วนะคะ คุณพ่อของหนูได้รับบาดเจ็บที่ขา เขาจะมาถึงนี่ได้อย่างไรกัน?หนูควรจะทำตามสัญญาเรื่องที่หนูเคยรับปากเอาไว้ดีๆนะคะ ”
เจี่ยนซวงรีบวิ่งไปที่ข้างกายเจี่ยนอี๋นั่วทันที เขย่าแขนของเจี่ยนอี๋นั่วและพูดอย่างรีบร้อน: “เป็นคุณพ่อจริงๆค่ะ คุณแม่ดูสิคะ …… เป็นคุณพ่อจริง ๆ ค่ะ”
จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นและมองไปยังทิศทางที่เจี่ยนซวงชี้ไป เป็นอย่างนั้นจริงๆด้วย เจี่ยนอี๋นั่วเห็นเหลิ่งเซ่าถิงนั่งอยู่บนรถเข็นวีลแชร์จอดอยู่บนบันไดชั้นสอง เขาลดสายตาลงและมองลงมาที่พวกเขา ขมวดคิ้วเล็กน้อยและดูเหมือนว่าเขาจะอารมณ์ไม่ค่อยดี
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นรถเข็นของเหลิ่งเซ่าถิงจอดอยู่หน้าบันได ถ้าหากเกิดไม่ระวังแล้วลื่นตกบันได ถ้าอย่างนั้นไม่กล้าคิดต่ออีก้ลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น?
เจี่ยนอี๋นั่วไม่ทันนึกถึงสิ่งอื่นใด เธอก็รีบวิ่งไปสองสามก้าวอย่างรวดเร็ว และวิ่งตรงไปหาเหลิ่งเซ่าถิง แล้วจับรถเข็นวีลแชร์ที่เหลิ่งเซ่าถิงนั่งอยู่ และรีบพูดว่า: “ทำไมคุณมาที่นี่ด้วยตัวเองล่ะคะ ?ฉันเคยบอกคุณไว้แล้วว่าถ้ามีอะไรให้เรียกหาฉันไม่ใช่เหรอคะ ?”
เหลิ่งเซ่าถิงจ้องมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วเห็นเธอหน้าคิ้วขมวด และมีเหงื่อไหลออกจากหน้าผากของเธอ และเขารู้สึกว่าอารมณ์ของเขาไม่เลวร้ายเหมือนก่อนหน้านั้นแล้ว เมื่อกี้นี้เหลิ่งเซ่าถิงนอนอยู่บนเตียงคนเดียว และได้ยินเสียงที่คลุมเครือจากชั้นล่าง โดยไม่รู้ว่ามันจะรู้สึกอารมณ์เสียมากขนาดไหน
เหลิ่งเซ่าถิงก็หัวเราะออกมาอย่างช้าๆ”เพราะผมรู้สึกเบื่อที่จะต้องนอนอยู่ตรงนั้นคนเดียว ผมจึงอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นมาดู ผมอยากรู้ว่าพวกคุณกำลังทำอะไรกันอยู่ ?เป็นยังไงบ้าง สนุกกันมากไหม?”
เจี่ยนซวงรีบร้องไห้แล้ววิ่งไปที่ข้างๆของเหลิ่งเซ่าถิงและฟ้องด้วยน้ำเสียงเบา: “คุณพ่อคะ พวกเขารังแกซวงซวงคะ”
เหลิ่งเซ่าถิงจ้องมองไปที่เจี่ยนซวงขมวดคิ้วและถามอย่างสงสัย: “อ้าว? หนูห้ามพูดไม่ใช่เหรอลูก? ในสิ่งที่พวกหนูคุยกันเมื่อกี้นี้คุณพ่อได้ยินหมดแล้ว”
ดวงตาของเจี่ยนซวงเบิกกว้าง และเธอตะโกนเสียงออกมาด้วยความเสียใจ: “คุณพ่อเป็นอะไรคะ
เจี่ยนซวงยังคงพร้อมที่จะบ่นไม่หยุด แต่แล้วเธอก็เห็นลั่วหยางเงยหน้าขึ้นมอง และทำท่าทางให้เธอเงียบเดี๋ยวนี้
เจี่ยนซวงเม้มริมฝีปากทันทีและหยุดพูด และนั่งลงบนบันไดด้วยสีหน้าเศร้าโศก เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองไปที่เจี่ยนซวงที่นั่งสงบลง เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา จากนั้นก็พูดกับเหลิ่งเซ่าถิงด้วยน้ำเสียงเบา:“ บันไดนี้คุณเดินไม่สะดวกหรอก เดี๋ยวฉันจะเข็นคุณกลับไปนะคะ ”
หลังจากที่เจี่ยนซวงพูดจบ เหลิ่งเซ่าถิงก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที: “ผมรู้สึกเบื่อนิดหน่อยที่ต้องอยู่ในห้องคนเดียว”
เจี่ยนซวงขมวดคิ้วด้วยความลำบากใจและพูดว่า :“งั้นหนูควรทำอย่างไงดี?”
เจี่ยนซวงรีบหัวเราะออกมาทันที: “คุณแม่นี่โง่มากจริงๆเลยนะคะ ถ้าคุณพ่อไม่สามารถลงมาชั้นล่างได้ พวกเราก็ขึ้นไปชั้นบนสิคะ ห้องของคุณพ่อใหญ่มากขนาดนั้น พวกเราจะเล่นอย่างมีความสุขได้แน่นอนค่ะ และหนูก็อยากจะ……”
เมื่อเจี่ยนซวงพูดถึงนี่ ลั่วหยางก็ทำท่าทางให้เจี่ยนซวงเงียบอีกครั้ง เจี่ยนซวงก็ขมวดคิ้ว แล้วค่อยๆยกมือขึ้นปิดปากไม่กล้าพูดอีกต่อไป และเป็นความเงียบสงบที่ถาวร
เจี่ยนอี๋นั่วคิดอยู่สักพักหนึ่ง และรู้สึกว่านี่ก็เป็นวิธีที่ดีเช่นกัน แต่ปัญหาเดียวของเจี่ยนอี๋นั่วก็คือรู้สึกอับอายเล็กน้อย วิธีที่คบกันระหว่างเธอและเหลิ่งเซ่าถิงนั้น เจี่ยนอี๋นั่วไม่ต้องการให้เจี่ยนซวงและคนอื่น ๆ เห็น เพราะกลัวว่าจะมีเรื่องอะไรน่าอับอายเกิดขึ้นอีก ทำให้เจี่ยนซวงและลั่วหยางหัวเราะเยาะเธอได้
แต่เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นเหลิ่งเซ่าถิงนั่งอยู่บนรถเข็นวีลแชร์แล้ว และเมื่อเธอเห็นเหลิ่งเซ่าถิงตัวซีดเซียว ผอม และดูอ่อนแอมาก เจี่ยนอี๋นั่วก็ขมวดคิ้วและพูดอย่างไม่เต็มใจว่า :“สิ่งที่ซวงซวงพูดก็มีเหตุผลอยู่นะ เอาอย่างนี้ดีไหมพวกเรามาอยู่เป็นเพื่อนคุณในห้องนี้ดีไหมคะ? ถ้าเป็นแบบนั้นคุณจะได้ไม่รู้สึกเบื่ออีก
เหลิ่งเซ่าถิงรีบหรี่ตาและหัวเราะออกมาทันที เขายิ้มและพยักหน้าตอบรับทันที: “โอเคเลย เมื่อถึงเวลาตอนเที่ยง ก็ให้พวกเขาส่งอาหารมาที่ห้องของผมโดยตรง”
“เอ่อ …… ” เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่ทันได้วางแผนว่าตอนเที่ยงต้องจัดเตรียมอะไรบ้างเลย และคาดไม่ถึงว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะ ตัดสินใจไว้ล่วงหน้าแล้ว
เหลิ่งเซ่าถิงยังไม่ทันรอให้เจี่ยนอี๋นั่วปฏิเสธ เขาจึงรีบดันรถเข็นและหันหลังกลับทันที เจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่าเป็นเรื่องลำบากมากที่เหลิ่งเซ่าถิงจะหมุนรถเข็นด้วยตัวเอง ดังนั้นเธอจึงอดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้า และจับรถเข็นของเหลิ่งเซ่าถิง และพูดอย่างรวดเร็ว: “มาเดี๋ยวฉันช่วยคุณเองค่ะ”
หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็ดันรถเข็นของเหลิ่งเซ่าถิงและดันตรงไปยังห้องของเหลิ่งเซ่าถิง หลังจากที่ดันไปถึงหน้าห้อง เจี่ยนอี๋นั่วเพิ่งนึกขึ้นว่าลืมเรียกเจี่ยนซวงและลั่วหยาง และเธอรีบหันกลับไปและตะโกนเรียกพวกเขา: “พวกหนูรีบขึ้นมาสิลูก และอย่าลืมเอาหนังสือและของเล่นของพวกหนูขึ้นมาด้วยนะคะ ”
เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินเสียงตะโกนเรียกของเจี่ยนอี๋นั่ว และโผล่หัวออกมาทันที มองไปที่ลั่วหยางจากราวบันได และพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “พี่ไม่ขึ้นมาเหรอคะ?”
ลั่วหยางปิดหนังสือ และถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วเดินขึ้นบันไดไป เมื่อเจี่ยนซวงเห็นว่าลั่วหยางก็กำลังเดินขึ้นมาด้วย ค่อยสบายใจขึ้นและเดินตามหลังลั่วหยางแล้วบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงเบา :“นี่ เมื่อกี้นี้พี่เห็นคุณพ่อหัวเราะไหมคะ?แม้ว่าพี่จะดูคล้ายกับคุณพ่อมาก แต่ว่าคุณพ่อดูดีกว่าพี่นะ เอ๊ะ ทำไมพี่ถึงถือแต่หนังสือของตัวเองล่ะ?แล้วหนังสือของหนูล่ะคะ ?พี่นี่จริงๆเลยนะ นี่พี่เป็นพี่ชายของหนูนะคะ ตัวเองเดินขึ้นมาคนเดียวกลับไม่ช่วยเอาหนังสือของหนูขึ้นมาด้วย หรือต้องการให้หนูลงไปเอาชั้นล่างอีกรอบคะ?จริงๆเลย ชิ เดี๋ยวหนูจะลงไปหาหนังสือของหนูเอง !และหลังจากนั้นหนูก็จะไม่ให้พี่ดูหรอก”
หลังจากที่เจี่ยนซวงพูดจบ เธอก็กำลังจะหันกลับไปและลงไปชั้นล่าง ลั่วหยางก็เปิดหนังสือของตัวเอง และหยิบหนังสือนิทานที่ถูกหนีบไว้หนังสือของเขา โยนให้เจี่ยนซวง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า :“นี่คือหนังสือของน้องใช่ไหมล่ะ?”
เมื่อเจี่ยนซวงเห็นหนังสือนิทานของตัวเอง ที่ลั่วหยางโยนให้กับเธอ และพยักหน้าทันทีและพูดด้วยรอยยิ้ม: “นี่มันเป็นหนังสือนิทานของหนูจริงๆด้วย! นี่พี่ยังคิดจะเอาหนังสือของหนูมาด้วยเหรอคะ และยังช่วยหนูถือไว้ตลอดด้วย หนูรู้สึกว่าพี่ก็ ……”
ก่อนที่คำพูดของเจี่ยนซวงจะพูดจบลง ลั่วหยางได้ยกนิ้วขึ้นชี้ไปริมฝีปากของเขา และพูดด้วยน้ำเสียงเบา :“จุ๊ จุ๊ เงียบ หยุดพูด ตอนนี้ยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงนะ”
เจี่ยนซวงไม่คาดคิดมาก่อนว่าลั่วหยางจะยังจำเวลาได้ เธอสูดหายใจเข้าและแสดงใบหน้าที่เสียใจร้องไห้ออกมา แล้วเม้มริมฝีปากของเธอ แล้วไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก เดินตามหลังของลั่วหยางด้วยใบหน้าที่เศร้า เจี่ยนซวงไม่พูดไม่จาเดินตามหลังลั่วหยางจนเดินเข้าไปในห้องของเหลิ่งเซ่าถิง และเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงได้รับความช่วยเหลือจากเจี่ยนอี๋นั่วให้นอนลงบนเตียงแล้ว
เจี่ยนซวงรีบก้าวไปข้างหน้าทันที และดึงที่มุมเสื้อผ้าของเจี่ยนอี๋นั่ว เพราะเธอไม่สามารถพูดได้ เจี่ยนซวงจึงได้ แต่มองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วอย่างอ้อนวอน
เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ไหวที่จะหัวเราะออกมา เธอพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม: “คุณแม่จะเตรียมสถานที่ให้พวกหนูนั่งเล่นกันนะคะ ”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงนอนลงแล้ว เธอจึงเอาพรมจากห้องข้างๆมาปูที่พื้น และพูดกับเจี่ยนซวงและลั่วหยางด้วยรอยยิ้มว่า:“พวกเรามานั่งที่นี่กันเถอะ”
เจี่ยนอี๋นั่วปูพรมไว้ตรงมุมหน้าต่าง แสงแดดวันนี้อบอุ่นมาก และไม่แสบตาเลยสักนิด เมื่อมันส่องมาที่เรือนร่าง แล้วรู้สึกสบายเป็นพิเศษ นั่งใต้หน้าต่างแบบนี้ และได้อาบแดด มันทำให้เธอมีความสุขมาก เจี่ยนซวงก็ล้มตัวลงนอนบนพรมนั้นและหายใจออกมายาว ๆ หลังจากพลิกหนังสือนิทานเพียงไม่กี่หน้า เธอก็หดตัวเป็นลูกบอลเล็ก ๆ และหลับไปบนพรมนั้น
ลั่วหยางก็เริ่มก้มหัวลงและทำท่าหาวง่วงนอน เหมือนกับว่าเขากำลังจะนอนหลับ
เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและโอบไหล่ของลั่วหยางและพูดด้วยรอยยิ้ม: “ถ้าหากลูกง่วงนอนก็นอนเถอะ อย่างไรก็ตามพรมนี้หนามาก ลูกจะไม่รู้สึกเย็นหรอกนะคะ”
ลั่วหยางกระพริบตาอย่างลำบาก และพูดด้วยด้วยเสียงเบา: “ผมไม่สามารถนอนบนพื้นได้ครับ เพราะมันดูไม่มีมารยาทครับ ผมไม่เหมือนเด็กคนอื่น ไม่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ครับ ”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของลั่วหยาง เธอก็ขมวดคิ้ว เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าถึงแม้ว่าลั่วหยางจะดูเป็นคนที่มีกฎระเบียบและฉลาดมาก ในสายตาของคนอื่นเขาอาจจะเป็นเด็กที่สมบูรณ์แบบ
แต่เบื้องหลังความสมบูรณ์แบบของเขานั้น เขาถูกฝึกวินัยมาและใช้กฎของผู้ใหญ่หลายคนเพื่อฝึกวินัยเขา คุณพ่อและแม่บุญธรรมของลั่วหยาง อาจรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา และรู้ว่าลั่วหยางจะต้องกลายเป็นทายาทของตระกูลเหลิ่ง และกลับมาอยู่ข้างๆเหลิ่งเซ่าถิงอีกครั้ง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าที่จะประมาท และพยายามสอนลั่วหยางให้เป็นเด็กที่สมบูรณ์แบบให้มากที่สุด
บางทีสำหรับคุณพ่อและคุณแม่บุญธรรมของลั่วหยางแล้ว ลั่วหยางไม่ได้เป็นเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป เพียงแค่มีภารกิจที่ได้รับมอบหมาย
แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์คนที่เลี้ยงดูลั่วหยางมาได้ และไม่สามารถบ่นว่าทั้งสองคนได้เพิกเฉยต่อจิตใจและความรู้สึกของลั่วหยาง และไม่ได้เห็นว่าลั่วหยางเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น และไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นพ่อแม่ของลั่วหยางจริงๆ และเธอเป็นคุณแม่ที่ละเลยหน้าที่ เธอไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะไปเรียกร้องแบบนี้ ?
โชคดีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินไป และทุกอย่างยังมีโอกาสที่จะแก้ไขให้กลับมาได้