หนี้รัก วิวาห์จำเป็น - ตอนที่ 214 ขาหักแล้ว
ในที่สุดเจี่ยนซวงก็ทานอาหารอิ่ม แล้วเงยหน้าขึ้นมองไปที่ลั่วหยาง พูดด้วยน้ำเสียงเบา :“เอ๊ะ พี่เห็นแล้วหรือยังคะ ริมฝีปากของคุณแม่มีรอยแผล พี่รู้ไหมคะว่าเกิดอะไรขึ้น? เมื่อหนูหลับแล้ว และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่ตื่นมาก็เห็นคุณปากแตกแล้ว”
เจี่ยนซวงไม่ได้คาดหวังว่า ลั่วหยางจะตอบกลับหรอก เธอก็พูดพึมพำอยู่คนเดียว ไม่คาดคิดว่าลั่วหยางกลับพยักหน้าให้เล็กน้อยและพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม: “ฉันรู้”
เจี่ยนซวงบ่นพึมพำคนเดียวแต่ลั่วหยางกลับตอบกลับคำถามที่เธอถามจริงๆ แล้วดวงตาของเจี่ยนซวงเบิกกว้างทันที และถามอย่างไม่คาดคิดมาก่อน: “จริงเหรอคะ พี่รู้เหรอคะ? แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ?”
“ความรัก” ลั่วหยางนึกถึงคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงเมื่อวานนี้ และพูดให้เจี่ยนซวงฟังซ้ำอีกรอบ
เจี่ยนซวงได้ยินคำตอบของลั่วหยาง เธอเบิกตากว้างทันทีด้วยความตกใจ จากนั้นปิดปาก ยิ้มแล้วพูดว่า :“ที่แท้คุณพ่อเป็นคนจูบนี่เอง”
แม้ว่าเมื่อวานนี้ลั่วหยางจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง แต่เขาไม่รู้ว่าเจี่ยนซวงเดาออกได้อย่างไร ลั่วหยางเหลือบมองไปที่เจี่ยนซวงอย่างคาดไม่ถึง เขาดื่มนมไปด้วย และขมวดคิ้วด้วยความสงสัยไปด้วย
เจี่ยนอี๋นั่วเดินไปที่ห้องของเหลิ่งเซ่าถิงอย่างรวดเร็ว และเมื่อเธอไปถึงห้องของเหลิ่งเซ่าถิง ก็เคาะประตูเบา ๆ และเมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากภายในห้อง เจี่ยนอี๋นั่วก็เปิดประตูทันทีและเดินเข้าไป: “ขาของคุณทำไม……”
ก่อนที่เธอจะพูดจบ เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นชายวัยกลางคนและชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังตรวจร่างกายของเหลิ่งเซ่าถิงอยู่ เสื้อผ้าของเหลิ่งเซ่าถิงถูกปลดออกเผยให้เห็นหน้าอกที่แข็งแกร่งของเขา เจี่ยนอี๋นั่วรีบปิดปากของเธอทันที และเธอรีบหันหลังไป ใบหน้าของเธอเริ่มแดงขึ้นทันที
“โอ้ คุณหนูเจี่ยนไม่ต้องหลบเลี่ยงแล้วล่ะครับ คุณประธานเหลิ่งใส่เสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ ” ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมองเหลิ่งเซ่าถิง เมื่อเห็นว่าขาข้างขวาของเหลิ่งเซ่าถิงถูกใส่เฝือกเอาไว้ ทำหน้าคิ้วขมวด:“เกิดอะไรขึ้นกับขาของคุณคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้ตอบกลับ เพียงแค่เงยหน้าขึ้นเหลือบมองชายวัยกลางคนคนนั้น ชายวัยกลางคนก็รีบถอนหายใจออกมาทันที:“ คุณประธานเหลิ่งขาหักแล้วครับ แต่เดิมสุขภาพของคุณประธานเหลิ่งก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะฟื้นตัวขึ้นได้
เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงอย่างประหม่า: “ใช่ค่ะ เมื่อวานนี้เขาต้องการที่จะช่วยฉัน ดังนั้นจึงทำให้ล้มลงจนขาหักใช่ไหมคะ ?”
เหลิ่งเซ่าถิงเงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่วและหัวเราะออกมาเบา ๆ : “ไม่เป็นไรหรอก คุณไม่ต้องโทษตัวเอง”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง เมื่อเห็นว่ายังมีรอยฟกช้ำบนใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิง และรอยฝ่ามือของเธอยังคงชัดเจนอยู่บนใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกผิด เมื่อวานนี้เธอแสดงปฏิกิริยาโมโหมากเกินไปหรือไม่?
ชายวัยกลางคนยิ้มให้กับเหลิ่งเซ่าถิงและกล่าวว่า :“คุณประธานเหลิ่งครับ ผมได้ทำการรักษาโรคของคุณเสร็จแล้ว ดังนั้นผมจะพาเสี่ยวอู๋กลับก่อนนะครับ”
เมื่อชายวัยกลางคนเห็นเหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า จากนั้นยิ้มแล้วพาเสี่ยวอู๋กลับไป เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นคนทั้งสองเดินผ่านไป เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปมองและเหลือบไปเห็น “เสี่ยวอู๋” ที่อยู่ข้างชายวัยกลางคน เขาก็หันหน้าและเหลือบมองมาที่ เจี่ยนอี๋นั่วเช่นกัน ในขณะนี้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าแววตาของเสี่ยวอู๋นั้นดูคุ้นเคยมาก แต่เมื่อเธอเห็นรูปร่างหน้าตาที่แสนจะธรรมดาของเขา
เมื่อเสี่ยวอู๋เห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วกำลังมองเขาอยู่ ก็ยิ้มอย่างอึดอัดทำตัวไม่ถูก จากนั้นก็ดันแว่นตาลง และเดินตามหลังชายวัยกลางคนออกไป ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเป็นพิเศษ มันไม่ต่างจากชายหนุ่มหน้าตาจืดชืดธรรมดา ๆทั่วไป
“คุณกำลังมองอะไรอยู่?” เหลิ่งเซ่าถิงเห็นเจี่ยนอี๋นั่วมองเสี่ยวอู๋ตลอด อดไม่ได้ที่ทำหน้าตาเคร่งเครียดและพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทุกประโยคที่พูดออกมามันดูมีอำนาจมาก และด้วยประโยคเมื่อกี้นี้ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วตกใจกลัวจนตัวสั่น รีบหันหน้ากลับมามองเหลิ่งเซ่าถิง พูดตะกุกตะกักและรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว: “ฉัน……ฉันไม่ได้มองอะไรนี่คะ?”
หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เหลิ่งเซ่าถิงก็หัวเราะออกมาทันที: “เมื่อคืนนี้การกระทำที่หยาบคายของผม คุณยังเต็มใจที่จะมาหาผมอีก ผมมีความสุขมากจริงๆ”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและพูดว่า:“ฉันคาดไม่ถึงว่าคุณจะได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ไม่เช่นนั้นฉันคงไม่ทิ้งคุณและเดินกลับห้องไปแบบนี้หรอก ตอนนี้ขาข้างซ้ายของคุณได้รับบาดเจ็บยังไม่หายดี แล้วนี่ขาข้างขวายังมาหักอีก และอีกทั้งสาเหตุที่ขาข้างขวาของคุณได้รับบาดเจ็บนั้นมันเป็นเพราะการที่คุณช่วยเหลือฉัน ถ้าหากไม่ใช่เพราะคุณ คนที่กระดูกหักน่าจะเป็นฉันซะมากกว่า ”
เหลิ่งเซ่าถิงจ้องมองที่เจี่ยนอี๋นั่ว แล้วค่อยๆหัวเราะออกมา เดิมทีเขาเตรียมคำพูดบางอย่างเพื่อบอกเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เหลิ่งเซ่าถิงกลับคาดไม่ถึงว่าก่อนที่เขาจะพูดอะไรบางอย่างที่เขาวางแผนไว้ออกมา เจี่ยนอี๋นั่วก็ชิงพูดออกมาก่อนแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิงแสดงออกมาชัดเจนมากขึ้น เขายิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่วและพูดว่า: “คุณไม่ต้องตำหนิตัวเอง ตอนนี้ผมสบายดี ก็แค่ ……ไอ แค่กแค่ก……”
เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงไอแค่กแค่ก รีบเดินไปที่ข้างโต๊ะทันทีและหยิบกาน้ำขึ้นมารินน้ำอุ่นให้กับเหลิ่งเซ่าถิง ยื่นน้ำอุ่นไปไว้ที่มือของเหลิ่งซิ่ง :“คุณกระหายน้ำแล้วใช่ไหมคะ?”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นริมฝีปากแห้งของเหลิ่งเซ่าถิงแล้วนั้น ในใจของเธอก็รู้สึกผิดและตำหนิตัวเองมากขึ้น เธอรู้สึกว่าที่เหลิ่งเซ่าถิงกระหายน้ำขนาดนี้ เป็นเพราะอาการบาดเจ็บที่ขาของเหลิ่งเซ่าถิง ขาข้างขวาของเหลิ่งเซ่าถิงได้รับบาดเจ็บเป็นเพราะถูกเธอทับจนหัก แม้ว่าอาการบาดเจ็บที่ขาข้างซ้ายของเขาจะได้บาดเจ็บและมันไม่ได้เป็นเพราะเธอ และเป็นเพราะว่าเหลิ่งเซ่าถิงต้องการแย่งชิงอำนาจกับคนอื่น จึงถูกเล่นงาน สาเหตุใดเหลิ่งเซ่าถิงจึงต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ นอกเหนือจากการสนองความต้องการอยากมีอำนาจของตัวเองแล้ว แล้วยังต้องการมีอำนาจที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น จึงจะสามารถปกป้องเธอและซวงซวงได้อย่างนั้นหรือ?
เมื่อวานเจี่ยนอี๋นั่วยังผลักไสไล่ส่งเหลิ่งเซ่าถิงอยู่เลย มาตอนนี้เป็นเพราะว่าขาข้างขวาของเหลิ่งเซ่าถิงหัก เธอจึงได้แต่โทษตัวเองว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะเธอคนเดียว
“คุณอย่าโทษตัวเองเลย อันที่จริงๆมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณเลย มันเป็นเพราะสุขภาพของผมไม่ดี” เหลิ่งเซ่าถิงจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว และถอนหายใจออกมาเบาๆ: “เมื่อวานนี้คุณพูดว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ถึงผมจะไม่มีคุณผมก็มีชีวิตอยู่ได้ ใช่สิ ผมยังมีชีวิตอยู่ได้ แต่มีชีวิตที่เลวร้ายแค่นั้นเอง”
เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากของตัวเองและก้มหัวลง : “เหลิ่งเซ่าถิง เราหยุดพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ก่อนได้ไหมคะ ถ้าคุณยังพูดต่ออีก ฉันคงไม่สามารถพูดคุยกับคุณได้ต่อไปแล้วจริงๆ”
เหลิ่งเซ่าถิงปิดปากทันที ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเบา ๆ : “ได้สิ ถ้าคุณไม่ชอบฟัง ผมก็จะไม่พูดอีก”
เจี่ยนอี๋นั่วคาดไม่ถึงว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะเชื่อฟังเธอขนาดนี้ ในความเป็นจริงเธอและเหลิ่งเซ่าถิงต่างก็เป็นคนที่มีนิสัยที่ดื้อรั้น แม้ว่าก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนั้นจะดีมาก ก็ไม่เคยมีฝ่ายใดยอมตามใจอีกฝ่ายทุกอย่างแบบนี้ ในบางครั้งเมื่อทั้งสองคนปรึกษาหารือกัน ก็มักจะมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันอยู่เสมอ
ตอนนี้เห็นเหลิ่งเซ่าถิงเห็นด้วยอย่างมีความสุข ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และอดไม่ได้ที่จะหันหน้ามองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงอย่างจริงจัง แววตาของเจี่ยนอี๋นั่วที่จ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง มันทำให้เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกทำตัวไม่ถูก เขายกมือขึ้นปิดขาข้างขวาทันที และถามพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ ว่า:“มีอะไรหรือเปล่า?”
เจี่ยนอี๋นั่วกำลังอ้าปากของเธอและเตรียมที่จะพูด แต่หลังจากคิดไปคิดมาแล้วเธอก็ส่ายหัวและพูดด้วยน้ำเสียงเบา :“ไม่มีอะไรคะ แค่ตอนนี้คุณได้รับบาดเจ็บที่ขาทั้งสองข้าง ต้องการเรียกคนรับใช้หรือเปล่าคะ? ”
ในใจเจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกแปลก ๆ เธอมาอยู่ที่คฤหาสน์นานมาแล้ว แต่กลับไม่เคยเห็นคนรับใช้สักคน
ดูเหมือนเหลิ่งเซ่าถิงจะดูออกว่าเจี่ยนอี๋นั่วกำลังเกิดความสงสัยอยู่ เขาก็หัวเราะออกมาเบา ๆ:“ผมมักจะสั่งให้คนรับใช้มาทำความสะอาดในเวลาที่กำหนดเท่านั้น และโดยปกติจะไม่อนุญาตให้พวกเขามา และที่นี่เป็นบ้านของพวกเราทั้งสี่คนเท่านั้น ผมไม่ต้องการให้คนอื่นมายุ่งวุ่นวายที่นี่ ดังนั้นผมจึงไม่ต้องการหาคนรับใช้ ไม่เป็นไร คุณไม่ต้องกังวล ผมสามารถดูแลตัวเองได้”
“แต่คุณได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ คุณจะดูแลตัวเองได้อย่างไร?” เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวด:“ครอบครัวธรรมดาทั่วไปเขายังมีพี่เลี้ยงเลย อันที่จริงมีคนรับใช้มาดูแลมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกนะคะ”
“แต่ครอบครัวของคนธรรมดาทั่วไปนั้น ไม่ได้ต้องการที่อยากทำความรู้จักกันมากขึ้นแถมสนิทกันเร็วขึ้นเหมือนครอบครัวของเรานี่ และสมาชิกในครอบครัวของเราทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะให้เกียรติและยอมรับซึ่งกันและกัน ”
เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงนี่ เขาก็ลดสายตาลงและยิ้มอย่างขมขื่น: “ตอนนี้พวกเราไม่สามารถอนุญาตให้คนอื่นเข้ามาแทรกแซงพวกเราได้”
เจี่ยนอี๋นั่วคาดไม่ถึงว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะคิดอย่างรอบคอบขนาดนี้ ขมวดคิ้วสักครู่ เธอรู้สึกว่าสิ่งที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดนั้นมันดูสมเหตุสมผล ทั้งสี่คนในคฤหาสน์แห่งนี้ แต่กลับมีประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างกันถึงสามแบบ ตอนนี้ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมันก็เป็นเรื่องยากอยู่แล้ว พวกเขายังไม่คุ้นเคยซึ่งกันและกัน ถ้าหากมีคนอื่นอีก และไม่อยากให้อะไรมาหันเห ความสนใจของพวกเขา ? โดยเฉพาะเด็กเล็กๆทั้งสองคนนี้ ถ้าหากมีคนอื่นอยู่ พวกเขาอาจจะหันเหให้ความสนใจกับสิ่งอื่นมากกว่า
เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงนี่ ก็พยักหน้าตอบรับเบา ๆ และพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงว่า: “ความกังวลของคุณก็สมเหตุสมผลเช่นกัน ถ้า……ถ้าอย่างนั้นต่อไปนี้ฉันจะดูแลคุณเอง?”
เหลิ่งเซ่าถิงค่อย ๆหรี่ตาลงช้าๆและหัวเราะออกมา แล้วก็ค่อยๆส่ายหัวเบา ๆ : “ไม่ต้องแล้ว คุณยังต้องดูแลเด็ก ๆ แล้วยังต้องมาดูแลผมอีก ลำบากคุณเปล่าๆ”
เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจออกมาเบา ๆ :“ถึงจะลำบากแต่ก็ไม่มีทางเลือกอีกแล้วนี่ เมื่อเทียบกับคนธรรมดาทั่วไปแล้ว อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกิน เมื่อถึงเวลากินก็จะมีคนนำมันมาให้ หน้าที่ของฉันคือต้องดูแลคุณให้ดีเท่านั้นก็พอแล้ว และสำหรับเด็กทั้งสองคนนั้น ซวงซวงสามารถดูแลตัวเองได้ดีมาก ลั่วหยาง……ลั่วหยางฉันต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยกับเขาให้มากกว่านี้ แต่สิ่งนี้ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับการดูแลคุณหรอกนะ ฉันคิดว่าฉันสามารถจัดสรรเวลาได้ และทำมันทั้งหมดให้ออกมาดีที่สุด ”
เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาก็หรี่ตาลงทันที และกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย: “ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องลำบากคุณแล้วจริงๆ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและส่ายหัว
เหลิ่งเซ่าถิงก้มหน้าลง และพูดด้วยความลำบากใจ: “ความจริงแล้วในตอนนี้ผมมีเรื่องที่อยากจะให้คุณช่วยเหลือหน่อย คุณสามารถพยุงผมไปเข้าห้องน้ำหน่อยจะได้ไหม?”
เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆหุบยิ้มทันที: “ไปห้องน้ำเหรอคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าตอบรับ เขามองไปที่ท่าทางที่แสดงออกมาของเจี่ยนอี๋นั่ว และยิ้มอย่างไม่สบอารมณ์: “ดูเหมือนว่าจะทำให้คุณลำบากใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวผมไปเข้าเองคนเดียวได้……”
เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงนี่ พร้อมกับจับที่หัวเตียงทันที เขาพยายามที่จะลุกขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วรีบเข้ามาขวางเหลิ่งเซ่าถิงอย่างรวดเร็ว: “ตอนนี้ขาของคุณบาดเจ็บอยู่นะ คุณอย่าขยับไปเรื่อย ใช่สิ แล้วโถปัสสาวะล่ะ……ฉันจะไปเอาโถปัสสาวะให้คุณ ……”
เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เจี่ยนอี๋นัวอย่างไม่สบอารมณ์ และพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ ถ้าหากผมสามารถใช้โถปัสสาวะได้ แล้วทำไมผมยังต้องไปเข้าห้องน้ำคนเดียวอีกด้วยล่ะ ?ผมใช้โถปัสสาวะแล้วผมฉี่ไม่ออกจริงๆ”
“เป็นแบบนี้เองเหรอ ……”เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากของเธออย่างแรง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า: “งั้น … งั้น……งั้นฉันจะ……จะช่วยพยุงคุณไปเข้าห้องน้ำนะ แต่ว่าคุณต้องจับฉันไว้แน่นๆนะ อย่าให้ล้มอีกนะ”