หนี้รัก วิวาห์จำเป็น - ตอนที่ 212 คุณกำลังคิดจะทำอะไร?
หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วต้องแบกรับปัญหาต่างๆและเมื่อรับประทานอาหารค่ำเสร็จ หลังจากที่พาลั่วหยางและเจี่ยนซวงเข้านอน เจี่ยนอี๋นั่วค่อยรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
ลั่วหยางและเจี่ยนซวงเหนื่อยล้ามาทั้งวัน เมื่อถึงเวลาเข้านอน และไม่มีการทะเลาะเกิดขึ้นอีก ทั้งสองแยกย้ายกันเข้าไปนอนในห้องของตัวเองแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนี้ ไม่ใช่ว่าหาลั่วหยางเจอแล้วจึงละเลยเจี่ยนซวง ดังนั้นคืนนี้เจี่ยนอี๋นั่วคิดวางแผนว่าจะนอนด้วยกันกับเจี่ยนซวง
แต่อาจจะเป็นเพราะความเหนื่อยล้ามากเกินไป เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วนอนอยู่บนเตียง เธอนอนพลิกตัวไปมาตลอดเวลา และไม่สามารถนอนหลับได้ เมื่อได้ยินเจี่ยนซวงนอนหลับลึกมากแล้ว อีกทั้งยังกรนเล็กน้อย เจี่ยนอี๋นั่วก็จิ้มแก้มของเจี่ยนซวงอย่างอิจฉาและพึมพำเสียงเบา: “คุณแม่นอนไม่หลับ แต่หนูกลับนอนหลับสนิท เป็นลูกที่แย่มากจริงๆเลยนะ”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงนี่ เธอก็ก้มหัวลงจูบหน้าผากของเจี่ยนซวงเบา ๆ แล้วลุกขึ้นและเดินออกจากห้องไป ในบางครั้งถ้าเจี่ยนอี๋นั่วนอนไม่หลับ เธอก็จะไปหาของกิน และแม้ว่ามันจะไม่ดีต่อสุขภาพ แต่มันก็ทำให้หลับได้อย่างรวดเร็ว
เนื่องจากห้องนอนอยู่บนชั้นสอง และห้องครัวอยู่ที่ชั้นหนึ่ง เจี่ยนอี๋นั่วพึ่งจะเดินลงไปที่ชั้นสอง ก็เห็นเหลิ่งเซ่าถิงกำลังดื่มเหล้าอยู่ที่บาร์ในครัว
เจี่ยนอี๋นั่วหยุดทันที เธอต้องการที่จะหันกลับไป ในช่วงเวลากลางวันมีเด็กๆอยู่ด้วย เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วอยู่ด้วยกันกับเหลิ่งเซ่าถิงจะไม่รู้สึกอึดอัดเท่าไหร่ แต่วาตอนนี้ไม่มีเด็กอยู่รอบ ๆ เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวดและก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันที่เจี่ยนอี๋นั่วจะเดินขึ้นไปชั้นบน
เหลิ่งเซ่าถิงก็เห็นเธอเข้าซะก่อน รีบพูดขึ้นว่า : “คุณตื่นแล้วเหรอ?”
เจี่ยนอี๋นั่วไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยืนอยู่นิ่งๆ และหันหน้าไปยิ้มให้กับเหลิ่งเซ่าถิงและส่ายหัว: “ยังค่ะ ยังไม่ได้นอนเลยค่ะ ”
เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและถามด้วยเสียงเบา:“เป็นเพราะเปลี่ยนเตียงใหม่เหรอ ?ผมจำไม่ได้ว่าคุณจะเรื่องมากเกี่ยวกับเตียงนอนด้วย ?”
เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวทันที: “ไม่ใช่ค่ะ วันนี้ฉันอาจจะยุ่งเกินไปหน่อย ยุ่งจนรู้สึกเครียดนิดหน่อย เมื่อฉันเครียด ฉันก็จะนอนไม่ค่อยหลับ”
เหลิ่งเซ่าถิงเหล่ตามองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและพูดด้วยรอยยิ้ม: “ผมจำได้ว่าตอนแรกคุณเป็นคนนอนหลับได้ง่าย คุณเพิ่งเอนตัวลงนอนบนเตียงสักพักก็…… ”
“นั่นมันคือตอนที่ฉันอายุยี่สิบต้น ๆ ” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและขัดจังหวะบทพูดของเหลิ่งเซ่าถิง
เหลิ่งเซ่าถิงก้มหัวลงเมื่อเขาได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว ดื่มเหล้าของเขาและกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างเซ็ง ๆ:“ใช่สินะ เวลามันผ่านไปเร็วมากจริงๆ”
“ถ้าหากไม่มีอะไรแล้ว ฉัน…… ” เจี่ยนอี๋นั่วกำลังพูดอยู่ และมองเหลิ่งเซ่าถิงก็ดื่มเหล้าอีกครั้ง เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดว่า:“ทางที่ดีคุณอย่าดื่มเหล้าอีกแล้วนะคะ คุณกำลังพักฟื้นอยู่ไม่ใช่เหรอคะ?การดื่มแบบนี้มันไม่ส่งผลดีต่อคุณหรอกนะคะ ”
เหลิ่งเซ่าถิงรีบวางแก้วเหล้าลงทันที ยิ้มแล้วพูดว่า:“โอเค ถ้าอย่างนั้นผมจะไม่ดื่มแล้ว เป็นเพราะว่าวันนี้ผมก็นอนไม่หลับเช่นกัน ผมจึงอยากดื่มเหล้านิดหน่อย ”
“ คุณเครียดด้วยหรือเปล่า?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ เวลานี้เธอมาถามคำถามพวกนี้ทำไมกัน ? ดูเหมือนกับว่าเธอยังคงเป็นห่วงเป็นใยเหลิ่งเซ่าถิงอยู่ยังไงยังงั้น!
เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและกล่าวว่า :“ผมไม่ได้เครียด ผมมีความสุขมากจริงๆ กี่ปีแล้วที่ผมไม่ได้มีความสุขแบบนี้”
เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึก ๆ มองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง และพูดด้วยรอยยิ้มที่ฝืนยิ้ม: “ใช่สิคะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวกลับก่อนแล้วนะคะ คุณพักผ่อนเถอะค่ะ”
“อี๋นั่ว……”เหลิ่งเซ่าถิงลุกขึ้น เขาอยากจะรั้งเจี่ยนอี๋นั่วไว้
แม้ว่าเมื่อช่วงกลางวันเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงถึงจะหัวเราะและพูดคุยกัน แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็รู้ว่านั้นเป็นเพราะมีเด็กๆอยู่ใกล้ๆ เจี่ยนอี๋นั่วต้องการให้เด็ก ๆเห็นว่าถึงแม้ทั้งสองคนแยกทางกันแล้ว แต่ความเป็นคุณพ่อและคุณแม่ยังอยู่ เหลิ่งเซ่าถิงรู้ดีว่าในใจของเจี่ยนอี๋นั่วยังรู้สึกเกลียดในสิ่งที่เขาเคยกระทำ มิฉะนั้นในเวลานี้แม้แต่โอกาสพูดยังไม่เปิดโอกาสให้เขาพูดสักคำเลย
เหลิ่งเซ่าถิงต้องการรั้งให้เจี่ยนอี๋นั่วอยู่เพื่อพูดคุยกับเขาหน่อย ทันใดนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่รู้จะหาเหตุผลหรือข้ออ้างอะไร ด้วยความใจร้อน เหลิ่งเซ่าถิงทำได้เพียงจับขาข้างซ้ายของเขาไว้ทันที และพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า: “ขาของผม…… ขาของผมปวดเหลือเกิน อี๋นั่วมาช่วยผมหน่อยได้ไหม ?”
ก่อนหน้านี้เหลิ่งเซ่าถิงไม่ต้องการให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้อาการบาดเจ็บที่ขาของเขา และเขาไม่ต้องการให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่า เขาจำเป็นต้องมีคนดูแล แต่ในตอนนี้ เพื่อต้องการที่จะรั้งเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งเซ่าถิงกลับต้องการอยากให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าเขาก็เป็นผู้ป่วยคนหนึ่ง
เจี่ยนอี๋นั่วรีบเดินไป ขมวดคิ้วแล้วถามว่า :“เป็นอะไรไปคะ ?ต้องการให้ฉันโทรเรียกคุณหมอไหมคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงลดสายตาลงและสูดหายใจเข้าราวกับว่าเขายังคงเจ็บจากความเจ็บปวดนั้นมาก เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหัวอย่างรวดเร็ว: “อย่า อย่าเรียกคคุณหมอ นี่เป็นโรคเก่าที่กำเริบ มันดึกแล้ว อย่ารบกวนพวกเขาอีกเลย ให้พวกเขาได้พักผ่อนเถอะ”
ในขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดอยู่ ก็เงยหน้าขึ้นและเหลือบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว:“ ผมจะรบกวนคุณหน่อยได้ไหม ช่วยไปหยิบยาในกระเป๋าเดินทางของผมหน่อยได้ไหมครับ?”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วด้วยความสับสน โดยไม่รอให้เจี่ยนอี๋นั่วตอบกลับ เหลิ่งเซ่าถิงก็ยิ้มและพูดก่อนว่า:“ กระเป๋าสัมภาระของผมถูกนำไปเก็บไว้ที่ห้องของผมแล้ว”
เจี่ยนอี๋นั่วกำลังจะลุกขึ้นกลับไป แต่นึกขึ้นได้ว่าในห้องของเหลิ่งเซ่าถิงต้องมีของใช้ส่วนตัวมากมาย รวมถึงเอกสารของบริษัท ถ้าหากให้เธอเข้าไปเอายาเอง แล้วถ้ามีสิ่งของบางอย่างหายไป กลัวว่าเธออาจจะเป็นผู้ต้องสงสัย เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงคิดอย่างไรกับเธอ แต่เธอจะไม่มีวันลืมทุกสิ่งที่ตระกูลเหลิ่งเคย”สอน” บทเรียนให้กับเธอเลย
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับครอบครัวของตระกูลเหลิ่ง เจี่ยนอี๋นั่วจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ระมัดระวังตัวเองให้มากขึ้น
เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดว่า:“เอาแบบนี้ดีไหม ฉันช่วยพยุงคุณขึ้นไปที่ห้องดีกว่านะ เดี๋ยวทายาให้คุณเสร็จ คุณก็พักผ่อนได้เลย ”
เหลิ่งเซ่าถิงคาดไม่ถึงว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะพูดสิ่งเหล่านี้โดยไม่ลังเลใด ๆ เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว และพูดด้วยน้ำเสียงที่เข้ม: “ได้สิ ได้สิ……”
เจี่ยนอี๋นั่วลังเลสักพักและเดินไปที่ด้านข้างของเหลิ่งเซ่า หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง เธอก็ยื่นมือไปหาเหลิ่งเซ่าถิง และพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม :“ถ้าอย่างงั้น…… คุณวางมือของคุณบนไหล่ของฉันเถอะ”
เหลิ่งเซ่าถิงจ้องไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว กลั้นหายใจ และวางมือลงบนไหล่ของเจี่ยนอี๋นั่ว มือของเหลิ่งเซ่าถิงสั่นเล็กน้อยและเมื่อเธอสัมผัสโดนเจี่ยนอี๋นั่ว มือที่เย็นของเหลิ่งเซ่าถิงเมื่อสัมผัสโดนตัวของเจี่ยนอี๋นั่วทำเธอสะดุ้งนิดหน่อย เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ไหวหันหลังเหลือบไปมองเหลิ่งเซ่าถิง และเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงไม่เพียงแสดงอาการประหม่าออกมาแถมยังดูตื่นเต้นเอามากๆ เขาเม้มริมฝีปากไว้แน่น ทำให้เขาดูไม่แตกต่างจากเวลาอื่นสักเท่าไหร่
เจี่ยนอี๋นั่วสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจในตอนนั้น และนี่ดูเหมือนว่าจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอและเหลิ่งเซ่าถิงมันน่าอึดอัดมากขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วกำลังคิดอยากกลับคำพูด เหลิ่งเซ่าถิงก็เอนเอียงไปที่บนตัวของเจี่ยนอี๋นั่วครึ่งหนึ่งแล้ว พูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“ ไปกันเถอะ”
เจี่ยนอี๋นั่วก็พลาดโอกาสที่จะปฏิเสธทันที หลังจากที่เม้มริมฝีปากอย่างแรง เธอก็พาเหลิ่งเซ่าถิงเดินไปสองสามก้าว เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้าลงและมองไปที่ทางเดินอย่างระมัดระวัง เสียงลมหายใจแผ่วเบาของเหลิ่งเซ่าถิงดังอยู่ในหูของเธอ ทำให้เธอร้อนวูบวาบไปทั้งหน้า เจี่ยนอี๋นั่วทำได้เพียงใจจดจ่ออยู่กับบันไดนั้น กัดฟันแล้วเดินขึ้นไปอย่างช้าๆ
เนื่องจากต้องแบกรับน้ำหนักของคนสองคน เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกำลังแบกเขาขึ้นบันไดต้องใช้แรงอย่างมาก ฉะนั้นไม่มีเวลาไปสังเกตดูเหลิ่งเซ่าถิง เมื่อเดินถึงบันไดขั้นสุดท้าย เจี่ยนอี๋นั่วเกือบจะไปต่อไม่ไหว และสะดุดล้มลงเสียการทรงตัวเล็กน้อย เหลิ่งเซ่าถิงจงใจโน้มตัวเข้าไปใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว อยากเข้าใกล้เจี่ยนอี๋นั่วมากกว่านี้หน่อย
ในท้ายที่สุดเหลิ่งเซ่าถิงก็เจ็บที่ขาขึ้นมาจริงๆเพราะเดินเหินมากไป ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องให้เจี่ยนอี๋นั่วพยุงเข้าขึ้นไปชั้นบน เมื่อเห็นเจี่ยนอี๋นั่วเดินข้ามบันไดแล้วสะดุดเกือบล้ม เหลิ่งเซ่าถิงรีบเอื้อมมือไปจับเจี่ยนอี๋นั่วไว้ ไม่ทันระวังก็ล้มลงไปทับบนตัวของเจี่ยนอี๋นั่ว
ตามแผนการที่เขาคิดไว้ว่า เมื่อเขาล้มลงไปบนพื้นที่เย็นเฉียบและเจี่ยนอี๋นั่วก็คงจะโน้มตัวเข้ามาในอ้อมกอดที่อบอุ่นของเขา
“ คุณบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ?” เหลิ่งเซ่าถิงกอดเจี่ยนอี๋นั่วไว้แน่นและถามด้วยความเป็นห่วง
เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัว และพบว่าเหลิ่งเซ่าถิงกลับนอนแนบอยู่บบพื้น และบังตัวเธอเอาไว้ เจี่ยนอี๋นั่วนึกขึ้นได้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงยังบาดเจ็บที่ตรงขาอยู่ ก็รีบถามอย่างรวดเร็ว: “คุณเป็นอย่างไรบ้างคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตาจ้องมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว และส่ายหัวเล็กน้อย: “ผมไม่ได้เป็นอะไร”
เจี่ยนอี๋นั่วรีบลูบที่ขาซ้ายของเหลิ่งเซ่าถิงทันที และถามด้วยความตื่นตระหนก:“ขาละ ?บาดเจ็บที่ขาหรือเปล่า?”
เพราะการกอดรัดของเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งเซ่าถิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขาอดไม่ได้ที่จะคว้าแขนของเจี่ยนอี๋นั่วเอาไว้
เจี่ยนอี๋นั่วเห็นปฏิกิริยาของเหลิ่งเซ่าถิง และคิดว่าเธอสัมผัสโดนบาดแผลของเหลิ่งเซ่าถิงแล้วจริงๆ จึงขมวดคิ้วและถามว่า:“ เจ็บจริงๆเหรอ?ขาของคุณเจ็บ …… ”
ก่อนที่เจี่ยนอี๋นั่วจะพูดจบ เธอก็ถูกดึงโดยเหลิ่งเซ่าถิง และเหลิ่งเซ่าถิงก็จูบที่ริมฝีปากของเธอทันที เหลิ่งเซ่าถิงจูบริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วอย่างดุเดือดราวกับหมาป่าที่หิวโหยมานาน เจี่ยนอี๋นั่วอึ้งจนตัวแข็งอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ผลักเหลิ่งเซ่าถิงออกอย่างแรง ในเวลานี้เหลิ่งเซ่าถิงดูเหมือนคนป่วยตรงไหนกัน? เขากอดเจี่ยนอี๋นั่วไว้แน่น และไม่เปิดโอกาสให้เธอถอยหนีได้เลย
“เหลิ่ง…… ” ในที่สุดเจี่ยนอี๋นั่วก็หันหน้ากลับไปเล็กน้อย โดยหลีกเลี่ยงการจูบของเหลิ่งเซ่าถิง แต่เธอก็ตะโกนออกมาได้แค่นามสกุลของเหลิ่งเซ่าถิงเท่านั้น และริมฝีปากของเธอก็ถูกจูบโดยเหลิ่งเซ่าถิงทันที
สถานการณ์ก็ยังเป็นเหมือนเดิม เจี่ยนอี๋นั่วเริ่มพยายามผลักเหลิ่งเซ่าถิงออก แต่หลังจากนั้นไม่นาน เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย ตอนนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่? เธอเป็นเจี่ยนอี๋นั่วคนที่กลายเป็นแม่คนไปแล้ว ?หรือเป็นคนที่ก่อนหน้านี้ที่เคยตามตื้อเหลิ่งเซ่าถิง และพยายามอย่างหนักเพื่อให้เหลิ่งเซ่าถิงมารักเจี่ยนอี๋นั่ว?
เธอจับเหลิ่งเซ่าถิงและถามด้วยน้ำเสียงเข้ม :“คุณกำลังคิดจะทำอะไร?”
ดวงตาของเหลิ่งเซ่าถิงมืดมิด ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่วเลย
เสียงฉีกเสื้อผ้าที่เหลิ่งเซ่าถิงฉีกเสื้อผ้าของเจี่ยนอี๋นั่วดังขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วง้างมือขึ้นตบไปที่หน้าของเหลิ่งเซ่าถิงอย่างแรง
ในเวลานี้เหลิ่งเซ่าถิงจึงหยุดการกระทำนั้น และดูเหมือนว่าเขาจะตื่นขึ้นจากการถูกสะกดจิต กระพริบตาอย่างแรง มองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม:“ผม……ผม……”
ในขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงกำลังพูดอยู่ เมื่อเห็นบาดแผลบนริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วที่ถูกเขากัดเป็นแผล เขาก็รีบยื่นมือออกไปทันที เพื่อต้องการที่จะลูบไล้บาดแผลบนริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่ว