หนี้รัก วิวาห์จำเป็น - ตอนที่ 211 ชื่อไม่เพราะเลย
เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของเจี่ยนซวงแล้วก็ขมวดคิ้วทันที และเหลือบมองไปที่เจี่ยนซวง แม้ว่าลั่วหยางหน้าเฉยๆดูไร้อารมณ์มาก และเขาดูเป็นผู้ใหญ่ แต่เห็นได้ชัดว่าเขายังคงเป็นเด็กที่มีความคิดแบบเด็กๆ แต่สำหรับเจี่ยนซวงก็เป็นเด็กที่รู้มากเกินไป ซึ่งทำให้เจี่ยนอี๋นั่วกังวลว่าเจี่ยนซวงจะแก่แดดเกินไปหรือไม่
เจี่ยนซวงเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วกำลังเหลือบมองเธออยู่ และรู้ได้ทันทีว่าเธอนั่นต้องพูดอะไรผิดอย่างแน่นอน เจี่ยนซวงเม้มริมฝีปาก เธอนั่งหดตัวลงบนเก้าอี้ ขมวดคิ้วและท่าทางที่ใจกว้าง และซดบะหมี่ไปคำหนึ่ง จากนั้นก็ชูนิ้วโป้งให้เจี่ยนอี๋นั่ว และชมเชยด้วยความตั้งใจแล้วพูดขึ้นว่า: “บะหมี่ที่คุณแม่ทำยอดเยี่ยมมากเลยค่ะ อร่อยมาก……อร่อยมากจริงๆเลยค่ะ!”
เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เจี่ยนซวง และพูดด้วยรอยยิ้มว่า:“ อร่อยมากจริงๆใช่ไหมล่ะ?”
ท่าทีของเจี่ยนซวงที่มองเหลิ่งเซ่าถิง ทำให้ลั่วหยางก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เขาก้มหัวลง ชิมบะหมี่อีกหนึ่งคำ จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่ว และพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม: “ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด มันไม่อร่อยเหมือนเดิม พวกเขากำลังโกหกคุณ”
เจี่ยนอี๋นั่วหน้าแดงออกมาด้วยความอับอายและพยักหน้าเบา ๆ : “คุณแม่รู้ว่าพวกเขากำลังโกหกคุณแม่อยู่ มันไม่อร่อยขนาดนี้ พวกคุณก็ไม่ต้องฝืนกินอีกแล้วนะคะ”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกำลังพูดอยู่ ก็ยื่นมือไปเก็บถ้วยชามทั้งสามถ้วย และเอาบะหมี่ที่เหลือจากทั้งสามชามรวมไว้ในชามเดียว จากนั้นก็เททิ้ง
เมื่อเห็นเจี่ยนอี๋นั่วเทบะหมี่ทิ้งแล้ว เจี่ยนซวงหายถอนหายใจเข้าด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ตบที่หน้าอกของตัวเองด้วยตกใจ และพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ ซวงซวงตกใจมากจริงๆ คิดว่าต้องกินบะหมี่ให้หมดซะแล้วสิ!”
“ถ้าเธอไม่ชอบก็ไม่ต้องกินสิ การพูดโกหกจะต้องแบกรับผลที่ตามมาของมันด้วย” ลั่วหยางเหลือบมองไปที่เจี่ยนซวงและพูดอย่างเย็นชา
เจี่ยนซวงขมวดคิ้วทันทีและตะโกนว่า: “นี่ไม่ใช่เรื่องโกหก แต่เป็นเรื่องโกหกโดยสุจริต เพื่อต้องการไม่ทำให้คุณแม่รู้สึกขายหน้า หนูจึงต้องพูดแบบนี้!”
“คำโกหกก็คือคำโกหก!” ลั่วหยางพูดพลางเหลือบมองเหลิ่งเซ่าถิง เอาผ้าเช็ดปากเช็ดปากสักครู่: “จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ ผมกินเสร็จแล้วครับ”
ลั่วหยางหันหลังกลับและเดินออกไปจากห้องอาหาร และนั่งลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ในขณะที่นั่งอยู่ลั่วหยางขมวดคิ้วและยกแขนขึ้นมองนาฬิกาในมือ ดูเหมือนว่าทุกนาทีที่เขาอยู่ที่นี่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจมาก
เจี่ยนซวงเหลือบมองไปที่ลั่วหยาง ขมวดคิ้วและพึมพำ:“ เขาเป็นพี่ชายของซวงซวงจริงๆหรือคะ?”
ในขณะที่เจี่ยนซวงพูดอยู่ และเมื่อเธอเห็นเจี่ยนอี๋นั่วกำลังเคลียร์โต๊ะอยู่ ก็ถามด้วยน้ำเสียงเบา: “คุณแม่คะ ซวงซวงสามารถเปลี่ยนพี่ชายได้ไหมคะ?”
“ไม่ได้ค่ะ ” เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองไปที่เจี่ยนซวง และพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “ตอนนี้หนูต้องการเปลี่ยนพี่ชายของหนู ต่อไปหนูก็ต้องการที่เปลี่ยนคุณแม่ด้วยใช่ไหมคะ?”
เจี่ยนซวงส่ายหัวไปมา แอบเหลือบมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงและพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “จะกล้าทำแบบนั้นได้อย่างไรกันคะ คุณพ่อคงไม่ปล่อยให้ซวงซวงทำแบบนี้หรอกค่ะ คุณแม่คะ คุณแม่ตั้งชื่อซวงซวง ให้ชื่อว่าซวงซวง แล้วทำไมเขาถึงเรียกว่าลั่วหยางล่ะคะ? ทำไมนามสกุลของเขาถึงไม่เหมือนกับซวงซวงล่ะคะ?”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินซวงซวงพูดแบบนี้ ชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงเบา :“คุณแม่ก็เคยตั้งชื่อให้พี่ชายของหนูด้วย”
เจี่ยนซวงยืดตัวขึ้นทันที และถามด้วยความสงสัย: “คุณแม่คะ คุณแม่เคยตั้งชื่อให้พี่ชายเหรอคะ?ถ้าอย่างนั้นพี่ชายมีชื่อว่าอะไรคะ?”
ซึ่งเดิมลั่วหยางนั่งอยู่บนโซฟาและดูเหมือนว่าเขาจะสนใจเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เขาหันหน้ามองเล็กน้อยและตั้งใจฟังการสนทนาระหว่างเจี่ยนซวงและเจี่ยนอี๋นั่ว
เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม :“เจี่ยนตาน เขาเป็นพี่คนโต ก็เลยตั้งชื่อว่า เจี่ยนตาน
เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงนี่ เธอกำลังจะอธิบายความหมายที่อยู่เบื้องหลังชื่อที่เธอตั้งอย่างละเอียด เจี่ยนซวงก็ตบโต๊ะและหัวเราะออกมา: “ฮ่า ๆ ๆ เจี่ยนตาน?เป็นคำที่ความหมายแปลว่ายากหรือง่ายคำนั้นใช่ไหมคะ ?ฮ่า ๆ ๆ ๆๆ ชื่อหนูเพราะกว่าเยอะเลยค่ะ เจี่ยนตาน……แล้วทำไมคุณแม่ถึงไม่ตั้งชื่อเขาว่าเจี่ยนต้า แล้วตั้งชื่อหนูว่าเจี่ยนเอ้อล่ะคะ ?” เป็นครั้งแรกที่เธอพบว่าเธอได้เลี้ยงดู “เด็กซุกซน” ที่ทำให้เครียดจนทำให้อายุสั้นลง
เจี่ยนอี๋นั่วแก้ตัวให้ตัวเองทันทีและแย้งว่า: “ลูกคนนี้นี่ ไม่เข้าใจความหมายของชื่อนี้เลย คุณแม่แค่อยากให้พี่ชายของหนูใช้ชีวิตของเขาอย่างเรียบง่าย”
แต่เจี่ยนอี๋นั่วยังคงหัวเราะและหดตัวอยู่อย่างนั้น เห็นเธอยิ้มอย่างมีความสุขขนาดนี้ เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้หัวเราะออกมาด้วยเช่นกัน เธอหันหน้าไปมองเหลิ่งเซ่าถิงซึ่งยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร และอดหัวเราะไม่ได้ถามเหลิ่งเซ่าถิงว่า:“ชื่อไม่เพราะจริงๆเหรอคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงเม้มริมฝีปากของเขาและพูดด้วยรอยยิ้ม: “มันก็ดูแปลกนิดหน่อย”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินสิ่งนี้ เธอก็ยิ้มอย่างเซ็งๆและส่ายหัว: “โชคดีที่ฉันยังไม่ได้ตั้งชื่อนี้ให้เขาใช้”
หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเขาก็หันไปมองลั่วหยาง ลั่วหยางหันหน้าของเขากลับไป ยังคงลดตาของเขา และนั่งลงบนโซฟาด้วยท่าทางที่เรียบร้อย เหมือนราวกับว่าสิ่งที่พวกเขาพูดอยู่นั้นมันไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลยสักนิด เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วมองท่าทางของลั่วหยาง รอยยิ้มบนใบหน้าของเขา ค่อย ๆ จางหายไป แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ
แม้ว่าเจี่ยนซวงจะดูเป็นเด็กที่เสียงดังและซุกซน และเธอก็ดูเหมือน “เด็กซุกซน” มากๆ แต่อย่างน้อยที่สุด เจี่ยนซวงก็เต็มใจที่จะสื่อสารกับเธอ แต่ลั่วหยางกลับไม่ต้องการญาติดีกับพวกเขาเลย
เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมาพลางคิดในใจ: ฉันเร่งรีบมากเกินไป หลังจากเราแยกทางกันมาหลายปี จะคุ้นเคยได้เร็วขนาดนี้ได้อย่างไรกันล่ะ? และอีกทั้งเขายังเป็นเด็กขนาดนี้ ก็ต้องการเวลาที่จะปรับตัว
เจี่ยนอี๋นั่วพยายามหัวเราะออกมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ และกล่าวด้วยรอยยิ้มกับเจี่ยนอี๋นั่ว : “เรื่องอาหารการกินไม่ต้องกังวลแล้วนะ ผมจะโทรสั่งให้คนส่งอาหารมาให้กับพวกเรา”
ในขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงกำลังพูดอยู่พลางก้มหัวลงและชำเลืองมองที่ขาซ้ายของเขา ถ้าหากร่างกายของเขายังคงแข็งแรงเหมือนเดิม เขาจะลงมือทำอาหารด้วยตัวเองให้กับเจี่ยนอี๋นั่วและลูกๆทั้งสองของเขาได้ทานอาหารที่อร่อยอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ขาซ้ายของเขายังไม่หายดี และไม่สามารถลงมือทำอาหารได้
แต่เหลิ่งเซ่าถิงแค่เหลือบมองไปที่ขาซ้ายของเขา จากนั้นเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ยิ้มและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว: “พวกคุณทุกคนอยากกินอะไร ไหนบอกมาสิ”
เจี่ยนซวงยกมือขึ้นทันทีและตะโกนออกมาว่า: “หนูคะ! หนูคะ! หนูอยากกินหมูตุ๋นซุปซี่โครงหมู และปีกไก่โคล่า ผัดถั่ว! จากนั้นขอคัสตาร์ดนมเนื้อเนียนนุ่มอีกหนึ่งที่ ขอหวานๆหน่อยนะคะ! ”
เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เจี่ยนซวง ถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ : “ซวงซวงคะ หนูคนเดียวแต่สั่งอาหารอย่างกับทานกันสี่คนแล้วนะคะ”
เจี่ยนซวงกระพริบตาและพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“หนูไม่สามารถจะสั่งเยอะขนาดนี้ได้เหรอคะ? คุณแม่ก็ชอบทานด้วยไม่ใช่เหรอคะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าตอบรับ:“แต่ถ้าจะสั่งเยอะขนาดนี้ แล้วถ้าหากพี่ชายและคุณพ่อของหนูชอบทานอย่างอื่นละคะ จะทำยังไง?”
เจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงมีรสนิยมที่เหมือนกัน แต่ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงต้องควบคุมอาหารบางชนิด และไม่รู้ว่าลั่วหยางรสนิยมแบบไหน ในความเป็นจริงแม้ว่าเขาจะสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ เหลิ่งเซ่าถิงก็มีปัญญาที่จะจ่ายได้อย่างแน่นอน แต่เจี่ยนอี๋นั่วต้องการสอนให้เจี่ยนซวงปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของทั้งสี่คน ตอนนี้มันไม่ได้เป็นเหมือนตอนที่พวกเธอใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแค่สองคนแล้ว
เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินสิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วพูด เธอก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเจี่ยนอี๋นั่วหมายถึงอะไร ถึงแม้ว่าเธอจะทำหน้ามุ่ยและไม่มีความสุขอยู่สักพักหนึ่ง แต่เธอก็ยังคงหันหน้าไปถามเหลิ่งเซ่าถิงด้วยน้ำเสียงเบา:“คุณพ่อคะ คุณพ่ออยากทานอะไรคะ ?”
เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและกล่าวว่า :“อาหารของคุณพ่อต้องแยกออกมาจากพวกหนู เดี๋ยวอีกสักพัก คุณพ่อจะไปทานคนเดียว ”
หลังจากเจี่ยนซวงได้ยินแล้วเธอพยักหน้าแล้วเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นหันหน้ามองไปที่ลั่วหยาง ถามด้วยน้ำเสียงเบา:“ แล้ว……แล้วนั่น…… เธออยากทานอะไรหรือเปล่า?”
ลั่วหยางไม่ได้พูดอะไรออกมา เจี่ยนซวงเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว มองไปที่ท่าทางของเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วถามลั่วหยางด้วยน้ำเสียงที่เบา: “พี่ชายคะ…… พี่ชายอยากทานอะไรหรือเปล่าคะ?”
ในขณะที่เจี่ยนซวงกำลังพูดอยู่ และรีบตอบกลับ: “ดูเหมือนพี่จะไม่หิวเลย ไม่ต้องทานอะไรแล้วใช่ไหมคะ?”
หลังจากเจี่ยนซวงพูดจบ เธอก็เงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่วทันทีและพูดด้วยรอยยิ้ม: “คุณแม่คะ พี่ชายเขาไม่อยากทานอะไรค่ะ…… ”
ก่อนที่เจี่ยนซวงจะพูดจบ ลั่วหยางที่นั่งอยู่บนโซฟาก็พูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า: “สปาเก็ตตี้”
เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินคำพูดของลั่วหยาง เธอก็ขมวดคิ้วและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว และพูดซ้ำอย่างไม่เต็มใจ: “คุณแม่คะ เขาอยากกินสปาเก็ตตี้ค่ะ ถ้าอย่างนั้น…… ถ้าอย่างนั้นซวงซวงก็ไม่สามารถกินอาหารที่เพิ่งสั่งไปเมื่อกี้ได้แล้วใช่ไหมคะ”
เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพยักหน้า: “ได้สิจ๊ะ และเพราะซวงซวงประพฤติดีมาก ยังสามารถสั่งขนมหวานเพิ่มอีกหนึ่งชุด หนูลองคิดดูสิว่า หนูอยากกินขนมหวานแบบไหน”
เจี่ยนอี๋นั่วกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อที่ให้เจี่ยนซวงได้เรียนรู้วิธีการเอาใจใส่ดูแลเหลิ่งเซ่าถิงและลั่วหยาง ก็จะได้รับผลประโยชน์และรางวัลตอบแทน และเมื่อเจี่ยนซวงเรียนรู้และเข้าใจและคุ้นเคยกับมันแล้ว เจี่ยนซวงก็จะกลายเป็นลูกสาวของเหลิ่งเซ่าถิง และน้องสาวของลั่วหยางอย่างแท้จริง แม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะอยู่ด้วยกันกับลั่วหยางไม่นานนัก แต่ก็สามารถดูออกว่าลั่วหยางเป็นคนที่ใจอ่อนไหวง่าย และเมื่อเจี่ยนซวงคุ้นเคยกับบทบาทของตัวเองแล้ว ถ้าอย่างนั้นลั่วหยางก็จะค่อยๆเป็นเหมือนเจี่ยนซวง เริ่มเรียนรู้และเข้าใจบทบาทของการที่ต้องเป็นพี่ชายเช่นกัน
ในโลกนี้ไม่มีเด็กที่สมบูรณ์แบบไปทุกอย่างหรอก และหากไม่มีการชี้แนะจากคุณพ่อและคุณแม่ เด็ก ๆ ก็จะไม่รู้ว่าอะไรควรทำหรืออะไรไม่ควรทำ
เจี่ยนซวงได้ยินสิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วพูด รีบกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจออกมาทันที : “เยี่ยมมากค่ะ !คุณแม่เยี่ยมมาก!คุณพ่อเยี่ยมมากค่ะ พี่ชาย …… ”
ในขณะที่เจี่ยนซวงกำลังพูดอยู่ พร้อมกับหันหน้าไปมองลั่วหยาง ยิ้มแล้วถามว่า :“พี่ชายคะ พี่ชายอยากทานของหวานด้วยไหมคะ?”
ลั่วหยางเหลือบมองไปที่เจี่ยนซวงและเม้มริมฝีปาก: “พุดดิ้งนมสด”
เจี่ยนซวงหันหน้าไปด้วยรอยยิ้มทันทีและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว: “คุณแม่คะ พี่ชายอยากกินพุดดิ้งนมสดค่ะ ถ้าอย่างนั้นซวงซวงสามารถสั่งขนมหวานเพิ่มอีกหนึ่งชุดใช่ไหมคะ
“ไม่ได้แล้วค่ะ” เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัว จ้องมองดูใบหน้าเล็ก ๆ ของเจี่ยนซวงที่ทำหน้ามุ่ย เจี่ยนอี๋นั่วก็หัวเราะออกมาทันที ยิ้มและพูดว่า: “แต่ของหวานที่หนูต้องการ เพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้นอีกหน่อยได้ค่ะ ”
เจี่ยนซวงรีบหัวเราะและตะโกนออกมาทันที: “เยี่ยมมากค่ะ เยี่ยมมากค่ะ”
เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและมองไปที่เจี่ยนซวง จากนั้นเดินไปที่ด้านข้างของลั่วหยาง ยิ้มและถามด้วยน้ำเสียงเบา: “แล้วลูกล่ะ ?ลูกอยากทานอะไรเพิ่มอีกไหมจ๊ะ ?ต้องการเพิ่มขนาดพุดดิ้งนมสดไหมคะ”
ลั่วหยางเงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เม้มริมฝีปากขึ้นและนั่งอยู่บนโซฟา เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่หน้าด้านข้างของลั่วหยาง รู้สึกเหมือนกำลังเห็นเหลิ่งเซ่าถิงที่เป็นเวอร์ชั่นที่รุ่นเล็กกว่ายังไงยังงั้น คิ้วและการแสดงออกที่คล้ายกันมาก เป็นไปได้ไหมว่าเมื่อสมัยที่เหลิ่งเซ่าถิงยังเป็นเด็กเขาก็เป็นแบบนี้เช่นกัน?
เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่ลั่วหยางด้วยความงุนงง ลั่วหยางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้ง และพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “ชื่อที่เรียกว่า เจี่ยนตาน นั้น ฟังแล้วไม่เพราะจริงๆด้วย ”
เจี่ยนอี๋นั่วคาดไม่ถึงว่าลั่วหยางจะกล้าพูดออกมาแบบนี้ ใบหน้าของเธอดูราวกับว่ากำลังถูกตบอย่างแรง และอดไม่ได้ที่จะพูดซ้ำ: “อันที่จริงชื่อนี้มีความหมายที่ดีมากนะคะ”
ลั่วหยางลดสายตาลงและขมวดคิ้ว:“ ผมรู้ครับ แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่เพราะครับ ผมรู้สึกว่าชื่อปัจจุบันของผมน่าฟังกว่าครับ ……”