หนี้รัก วิวาห์จำเป็น - ตอนที่ 210 บ้านใหม่
เจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงพาลูกทั้งสองคนขับรถไปที่คฤหาสน์ด้วยกัน จอดรถตรงหน้าคฤหาสน์แห่งนั้นที่ดูเป็นคฤหาสน์ที่ธรรมดา ๆ มีสองชั้นเรียบง่ายพร้อมสวนขนาดเล็ก คฤหาสน์นี้แตกต่างตรงที่มียามเฝ้าอยู่ทุกชั้น
เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าเหลือบไปมองเหลิ่งเซ่าถิง และพูดอย่างไม่คาดคิดว่า :“ไม่ได้กลับไปคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งเหรอคะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วเชื่อมาโดยตลอดว่าคฤหาสน์คือเป็นสัญลักษณ์และอำนาจสูงสุดของตระกูลเหลิ่ง ในเมื่อตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนที่ถืออำนาจและใหญ่ที่สุดในตระกูล ก็ควรจะกลับไปอาศัยอยู่ในคฤหาสน์เหลิ่งไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมาอาศัยอยู่ที่นี่?
แม้ว่าคฤหาสน์นี้จะดูไม่เลว แต่เมื่อเทียบกับอำนาจและความยิ่งใหญ่ที่เหลิ่งเซ่าถิงมีในตระกูลเหลิ่งมันก็ดูไม่เหมาะสมกับฐานะเอาซะเลย และมันก็ดูไม่ค่อยสปอร์ต
เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและส่ายหัวไปมา:“ ผมไม่เคยชอบอาศัยอยู่ในคฤหาสน์เหลิ่ง แต่เดิมผมยังคิดอยากกกลับไปอยู่บ้านหลังก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ฐานะของผมก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ถ้าผมยังอาศัยอยู่ในบ้านหลังก่อน ผมกลัวว่ามันจะมีปัญหามากขึ้น เราก็อาศัยอยู่ที่นี่เถอะ เพื่อให้สะดวกในการปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยของเรา และไม่ไกลมากนัก ”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วหลังจากได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง และครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วคิดในใจ: หรือบ้านก่อนหน้านี้ที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึง มันก็คือห้องขนาดเล็กสองห้องนอนและห้องนั่งเล่นเดียวที่เคยอาศัยอยู่มาก่อนหรือไม่?
เจี่ยนอี๋นั่วเอียงศรีษะครุ่นคิดสักครู่ เหลิ่งเซ่าถิงและพวกเธออาศัยอยู่ห้องนอนสองห้องและห้องนั่งเล่นเดียวในคอนโดเล็กๆนั้น ๆ มันก็รู้สึกเป็นเรื่องที่น่าแปลกมาก เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้าเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม:“ เข้าไปดูด้านในกันเถอะ”
เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าตอบรับ และพาเจี่ยนซวงเข้าไปในคฤหาสน์ หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าว เจี่ยนอี๋นั่วสังเกตเห็นว่า ลั่วหยางไม่ได้เดินตามขึ้นมาด้วย เจี่ยนอี๋นัวก็รีบหันกลับไปทันที ก็เห็นลั่วหยางยืนอยู่ที่ประตูคฤหาสน์ หน้าคิ้วขมวดจ้องมองประตูคฤหาสน์ เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วเดินตรงไปหาลั่วหยาง และเอื้อมมือออกไปหาลั่วหยาง ยิ้มและพูดว่า:“คุณแม่พาลูกเข้าไป ดีไหมคะ?”
ลั่วหยางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วอย่างจริงจัง จากนั้นก็หันหน้าหนี ไม่ตอบรับอะไร แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธเจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึก ๆแล้วยื่นมือออกไปอย่างระมัดระวัง หลังจากจับมือของลั่วหยางแล้ว เธอก็ยิ้มและพูดว่า:“เราเข้าไปด้วยกันเถอะ”
เนื่องจากก่อนหน้านี้เหลิ่งเซ่าถิงเคยเล่าให้เจี่ยนอี๋นั่วว่าสภาพจิตใจของลั่วหยางยังไม่ค่อยดี เจี่ยนอี๋นั่วจึงระมัดระวังอย่างมากเมื่อต้องเผชิญหน้ากับลั่วหยาง เพราะกลัวว่าจะทำผิดเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็จะเป็นการไปเพิ่มภาระให้กับระบบหัวใจเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างทางเจี่ยนซวงและลั่วหยางยังคงปะทะกันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกประหม่ามากเมื่อต้องเผชิญหน้ากับลั่วหยาง แต่สิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วคาดไม่ถึงนั่นคือลั่วหยางไม่ได้เข้าถึงยากอย่างที่คิดแบบนั้นเลยสักนิด เขายอมให้เธอจับมือ ถ้าอย่างนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็มีความมั่นใจมากขึ้นว่าสามารถทำให้ลั่วหยางยอมรับเธอเป็นแม่อีกคนในไม่ช้า
มืออีกข้างหนึ่งของเจี่ยนอี๋นั่วที่จับมือของเจี่ยนซวงไว้ จ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยใบหน้าที่คิ้วขมวดและบ่นว่า:“คุณแม่คะ เขาไม่ชอบหนูเลยสักนิด อย่าไปจับมือของเขาค่ะ ”
เมื่อลั่วหยางได้ยินคำพูดของเจี่ยนซวง เขาก็พยายามอย่างหนัก และพยายามสะบัดให้หลุดจากมือของเจี่ยนอี๋นั่ว
เจี่ยนอี๋นั่วไม่ยอมปล่อยมือของลั่วหยาง และในขณะที่จับมือของลั่วหยาง เธอก็ยิ้มให้เจี่ยนซวงและพูดว่า:“ คุณแม่ไม่สนใจหรอกว่าเขาจะชอบหรือไม่ชอบคุณแม่หรอกนะคะ ตราบใดที่เขายังเป็นลูกของคุณแม่ คุณแม่ก็ต้องจับมือของเขาตลอด และคุณแม่ก็จะรักเขา”
หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ลั่วหยางก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว เขาหยุดดิ้นรน และยอมให้เจี่ยนอี๋นั่วจูงมือเข้าไปในคฤหาสน์ แต่ตอนนี้ลั่วหยางดูเย็นชา และเจี่ยนอี๋นั่วมองไม่ออกว่าในใจของลั่วหยางนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ในใจของเจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้กังวลเหมือนตอนที่เธอเห็นลั่วหยางครั้งแรก เธอกังวลมาตลอดกลัวว่าจะทำร้ายลั่วหยาง หรือทำให้ลั่วหยางเกลียดเธอ และเธอควรจะทำอย่างไรดี
แต่จนถึงตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ เธอไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เลย เธอเพียงแค่ต้องทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะแม่คนหนึ่งเท่านั้น แค่นี้ก็พอแล้ว
เจี่ยนซวงยังคงไม่พอใจเล็กน้อยที่เจี่ยนอี๋นั่วจับมือของลั่วหยาง เมื่อเข้าไปในคฤหาสน์ ในมืออีกข้างหนึ่งจูงเจี่ยนซวงด้วยใบหน้าที่ไม่พอใจ มันดูไม่เหมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกันที่กลับเข้าบ้านใหม่เลย แต่เหมือนคนสองคนที่กลายเป็นศัตรูกัน และให้เจี่ยนอี๋นัวเป็นคนกลางที่ต้องทำให้ทั้งสองฝ่ายกลับมาคืนดีกัน
เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่การตกแต่งภายในคฤหาสน์แห่งนี้ และพูดด้วยรอยยิ้ม: “คุณจัดเตรียมไว้นานแล้วหรือคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าตอบรับเบา ๆ :“ มีอยู่ช่วงหนึ่งผมใช้ชีวิตค่อนข้างลำบาก มักมีเรื่องทำให้ไปต่อไม่ได้ ก็คิดตลอดว่าถ้าหากพวกเราได้อยู่ด้วยกันแล้วควรจะตกแต่งคฤหาสน์นี้ยังไงดี ไม่ทันที่จะรู้ตัวคฤหาสน์หลังนี้ก็ต่อเติมเสร็จแล้ว ”
เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงจากนั้นก็หัวเราะเบา ๆ : “ขาของคุณยังไม่หายดี คุณไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ในเวลาเดียวกันเธอก็ปล่อยมือของลั่วหยางและเจี่ยน เจี่ยนซวงรีบปล่อยมือทันที แต่ว่าลั่วหยางยังคงจับมือของเจี่ยนอี๋นั่วไว้อยู่อย่างนั้น เจี่ยนอี๋นั่วตะลึงอยู่สักครู่ จากนั้นก็รีบกลับไปจับมือของลั่วหยางทันที หันหน้าไปทางเจี่ยนซวงยิ้มและถามว่า:“คุณแม่กำลังจะบะหมี่กินแล้ว พวกหนูต้องการอะไรเพิ่มอีกไหมคะ?”
เมื่อเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วยังคงจับมือของลั่วหยาง เจี่ยนซวงก็รีบยื่นมือออกจับมือของเจี่ยนอี๋นั่วทันที และจับมือเจี่ยนอี๋นั่วไว้แน่นและพูดด้วยรอยยิ้ม: “ไม่ต้องการอะไรเพิ่มแล้วค่ะ ขอเพียงเป็นอาหารที่คุณแม่ทำ ซวงซวงก็ชอบกินทุกอย่างเลยค่ะ”
เจี่ยนอี๋นั่ววยิ้มพร้อมพยักหน้า จากนั้นหันไปมองลั่วหยาง และถามด้วยน้ำเสียงเบา: “ลูก ลูกชอบกินบะหมี่ไหมจ๊ะ?”?”
ลั่วหยางยังคงไม่แสดงออกใดๆ แต่พยักหน้าตอบรับเล็กน้อย เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มทันทีและพูดว่า: “โอเคจ๊ะ คุณแม่จะไปต้มบะหมี่แล้วนะคะ แต่ว่า……”
เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า :“แต่ว่าพวกหนูต้องปล่อยมือก่อนนะคะ แล้วไปเล่นกันก่อนดีไหมคะ?”
หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ลั่วหยางก็ปล่อยมือทันที เดิมสีหน้าที่ไม่แสดงออกใดๆ ก็เริ่มแดงขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หันกลับไปและเดินตรงไปที่โซฟาทันที เจี่ยนซวงปล่อยมือของทันทีและวิ่งไปที่โซฟาเช่นกัน เจี่ยนอี๋นั่วชำเรืองมองไปที่ด้านหลังของลั่วหยางและเจี่ยนซวง และทันใดนั้นก็รู้สึกว่าเจี่ยนซวงอาจไม่ได้ตั้งใจทะเลาะกับลั่วหยาง แต่ไม่ชอบพฤติกรรมของลั่วหยางที่เพิกเฉยต่อเธอไม่เห็นเธออยู่ในสายตาสักมากกว่า?
เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มสักครู่ จากนั้นก็หันไปที่ห้องครัวและเริ่มทำอาหาร แม้ว่าเธอจะมาถึงบ้านใหม่ แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่รู้สึกว่าไม่คุ้นเคยกับทุกสิ่งในคฤหาสน์นี้ เธอสามารถค้นหาได้อย่างง่ายดายว่าจะเป็นจานหรือตะเกียบวางอยู่ที่ใดในคฤหาสน์นี้ทุกอย่างดูเหมือนถูกจัดเตรียมไว้จัดเตรียมตามความเคยชินของเธอ
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเทบะหมี่ลงในหม้อ เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองที่เหลิ่งเซ่าถิง ซึ่งกำลังนั่งอยู่บนโซฟาเพื่อดูแลลั่วหยางและเจี่ยนซวงเด็กทั้งสอง เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาลงเล็กน้อย ราวกับว่ามองเห็นเหลิ่งเซ่าถิงกำลังออกแบบห้องครัวและจัดเตรียมสิ่งของในห้องครัวอยู่ยังไงยังงั้น และห้องครัวนี้ถูกจัดเรียงทุกอย่างด้วยความเคยชินของเธอ
เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจของเธอ เธอนึกไม่ออกว่าเหลิ่งเซ่าถิงโดดเดี่ยวเพียงใดในบ้านที่ว่างเปล่าแห่งนั้น ซึ่งคอยวาดฝันครอบครัวที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ในเวลานี้เหลิ่งเซ่าถิงก็หันหน้ามองไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว โบกมือให้เจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ เจี่ยนอี๋นั่วก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
เจี่ยนอี๋นั่วก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย เธอจ้องมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง จนกระทั่งน้ำที่ต้มบะหมี่เดือดล้นออกมา เธอหันกลับมาอย่างรีบร้อนและรีบปิดไฟ เมื่อเจี่ยนอี๋นั่ววางบะหมี่ที่ปรุงสุกแล้วลงบนโต๊ะ เจี่ยนซวงก็อุทานออกมาอย่างโอ้อวด: “ว้าว บะหมี่น่าทานมากค่ะ นี่เป็นฝีมือของคุณแม่จริงๆเหรอคะ ?คุณแม่เยี่ยมมากจริงๆค่ะ”
เจี่ยนอี๋นั่วพูดอย่างเขินอาย: “ซวงซวงทำแบบนี้ทำให้คุณแม่ยิ่งอับอายมากนะคะ คุณแม่ไม่ทันระวังต้มบะหมี่จนเละเลย เอาแบบนี้ดีไหมคะ พวกเราออกไปทานข้างนอกบ้านดีไหมคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นตักบะหมี่ให้ตัวเองเต็มชาม แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม:“ ไม่จำเป็นต้องออกไปทานข้าวข้างนอกแล้ว นี่ก็สามารถกินได้”
หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ เขาก็ป้อนเข้าปากหนึ่งคำ จากนั้นเบิกตากว้างและพูดด้วยรอยยิ้มว่า:“มันอร่อยมากจริงๆนะ แม้ว่าสีหน้าของมันจะดูไม่ค่อยดี แต่ว่ารสชาติดีมากจริงๆนะ”
เจี่ยนซวงเหลือบมองไปที่การแสดงออกของเหลิ่งเซ่าถิง ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อสายตาของตัวเอง เธอมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและพูดด้วยรอยยิ้ม: “คุณแม่คะ การปรุงอาหารของคุณแม่ดีขึ้นมากขนาดนี้แล้วหรือคะ? ถ้ามันอร่อยจริงๆ ถ้าอย่างนั้นคุณแม่ตักให้ซวงซวงหนึ่งถ้วยสิคะ ซวงซวงก็อยากทานค่ะ”
เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มทันทีและตักบะหมี่ให้เจี่ยนซวงหนึ่งถ้วย และวางไว้ตรงหน้าเจี่ยนซวง จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ยิ้มและหันหน้าไปมองลั่วหยางและถามด้วยรอยยิ้ม :“ลั่วหยาง ลูกจะกินบะหมี่ไหมคะ?เดินทางมาทั้งวัน ลูกคงหิวแล้วใช่ไหม ?”
ลั่วหยางขมวดคิ้วและเหลือบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่าลั่วหยางไม่ปฏิเสธ เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและตักบะหมี่หนึ่งถ้วยวางไว้ตรงหน้าลั่วหยาง ลั่วหยางก็หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วป้อนเข้าปากหนึ่งคำ จากนั้นคิ้วขมวดจ้องมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว และพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า :“มันไม่อร่อยเลย”
เจี่ยนซวงก็รีบตะโกนออกมาทันที: “มันไม่ใช่แค่ไม่อร่อย แต่มันกินไม่ได้เลย คุณแม่คะ ทำไมคุณแม่ถึงทำบะหมี่ได้ไม่อร่อยขนาดนี้ค่ะ ก่อนหน้านี้ยังทำได้อร่อยกว่านี้อีกนะคะ บะหมี่นี้มันโคตรไม่อร่อยสุด ๆ เลยค่ะ!”
“แต่พ่อคิดว่าก็สามารถกินได้อยู่นะ” เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและมองไปที่เจี่ยนซวงและลั่วหยาง: “พวกหนูอย่าเป็นคนขี้จู้จี้จุกจิกอย่าพูดเกินจริงได้ไหมลูก”
เมื่อลั่วหยางได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง เขาก็ขมวดคิ้วทันที ก้มหัวลงกินบะหมี่อีกคำหนึ่ง จากนั้นพูดอย่างเย็นชา:“ดูเหมือนว่าจะแย่กว่าเดิมอีกนะครับ”
“ พี่ยังกล้าทานอีกคำหรือ นี่พี่โง่หรือเปล่าเนี่ย?” เจี่ยนซวงเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นพฤติกรรมของลั่วหยาง
ลั่วหยางมองไปที่เจี่ยนซวงและพูดอย่างเย็นชา: “พี่แค่ทดลองอีกหนึ่งครั้ง ว่ามันไม่อร่อยจริงๆใช่ไหม”
“ยังจำเป็นต้องทดลองอีกเหรอคะ ?ไม่อร่อยแน่นอนค่ะ ! หนูอยากจะแกล้งกินลงสักหน่อย แต่ก็แกล้งกินไม่ลงแล้วค่ะ !” เจี่ยนซวงตะโกนออกมาเสียงดัง
เดิมทีเจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าบะหมี่นั้นอร่อยจริงๆ และสามารถแสดงฝีมือของเธอให้เด็กๆเห็น แต่เมื่อมองอาการของเจี่ยนซวงและลั่วหยางที่แสดงออกมานั้น มันดูเหมือนว่าบะหมี่ที่เธอปรุงนั้นแย่มากจริงๆ
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและถามด้วยน้ำเสียงเขินอายเบา ๆ : “จริงๆเหรอคะ ไหนคุณแม่จะลองชิมดูหน่อยสิคะ”
เจี่ยนอี๋นั่วหยิบตะเกียบคีบบะหมี่กินดูหนึ่งคำ จากนั้นเกือบอาเจียนออกมา เจี่ยนอี๋นั่วรีบปิดปากและขมวดคิ้ว เมื่อเห็นเหลิ่งเซ่าถิงกำลังรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เธอสงสัยว่าเหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้กลิ่นไม่รู้รสแล้วใช่ไหม ?บะหมี่ที่ปรุงออกมาได้แย่ขนาดนี้ เขากลับยังกินบะหมี่นี้ได้อีก!
เจี่ยนอี๋นั่วฝืนกลืนบะหมี่ลงคอ และยกมือขึ้นเพื่อให้เหลิ่งเซ่าถิงหยุดกิน: “คุณคะ คุณอย่ากินอีกต่อไปแล้วนะคะ ฉันกลัวว่าอาการบาดเจ็บของคุณจะแย่ลงหลังจากที่คุณกินบะหมี่นี้เข้าไป!”
เหลิ่งเซ่าถิงจ้องมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้มและพูดว่า:“ผมทานแล้วมันอร่อยจริงๆนะ”
เมื่อเห็นท่าทางของเหลิ่งเซ่าถิง ลั่วหยางขมวดคิ้วด้วยความสับสน และพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างซับซ้อน: “คุณเหลิ่งครับ คุณสูญเสียประสาทสัมผัสการดมกลิ่นและรับรสหรือเปล่าครับ ”
เจี่ยนซวงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า :“มันไม่ใช่สูญเสียประสาทสัมผัสการดมกลิ่นและรับรสหรอก แต่เป็นปัญหาของคนต่างหาก”