หนี้รัก วิวาห์จำเป็น - ตอนที่ 206 ช่วงเวลาแห่งความอบอุ่น
เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่ค่อยเต็มใจเม้มริมฝีปากของเธอขึ้น ขมวดคิ้วเล็กน้อยและเตรียมที่หาเหตุผลโต้แย้งกับเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เมื่อเจี่ยนซวงเห็นเจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวไปมาเล็กน้อย เจี่ยนซวงดูออกว่าเจี่ยนอี๋นั่วไม่ให้เธอโต้แย้งกลับ เจี่ยนซวงพยักหน้าขมวดคิ้วและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเบา: “ถ้าอย่างนั้น ซวงซวงจะเชื่อฟังคุณแม่ค่ะ ซวงซวงจะไม่วาดรูปแล้วค่ะ”
“อืม ดีจ๊ะ ซวงซวงเป็นเด็กดีจริงๆ” หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็เดินไปที่ข้าง ๆเหลิ่งเซ่าถิง ขมวดคิ้วและถามด้วยน้ำเสียงเบา: “คุณพ่อเป็นอะไรไปคะ? ไม่สบายหรือเปล่าคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงฝืนยิ้ม และรู้สึกเซ็งๆพูดขึ้นว่า : “คงเป็นเพราะคุณพ่อนั่งนานเกินไปแล้ว ขาข้างนี้รู้สึกชานิดหน่อย”
เจี่ยนอี๋นั่วลดสายตาลงและมองไปที่ขาซ้ายของเหลิ่งเซ่าถิง เธอยังจำได้ว่าขานั้นได้รับบาดเจ็บมากเพียงใด เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึก ๆ ยื่นมือไปที่เหลิ่งเซ่าถิงและพูดด้วยน้ำเสียงเบา : “เอาอย่างนี้ดีกว่าฉันช่วยพยุงคุณลุกขึ้นแล้วคุณลุกขึ้นเดินช้าๆและออกกำลังกายเล็กน้อย บางทีอาจช่วยบรรเทาอาการชาได้”
เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว ในตอนแรกเขาคิดจะส่ายหัวเพื่อปฏิเสธ เนื่องจากเหลิ่งเซ่าถิงไม่ต้องการแสดงให้เห็นว่าเป็นคนป่วยต่อหน้าเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงมากเกินไป แต่เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงเห็นเจี่ยนอี๋นั่วยื่นมือออกมา ก็ถูกผิวสวยเนียนของเจี่ยนอี๋นั่วสะกดสายตา เหลิ่งเซ่าถิงก็อดไม่ไหวที่จะยื่นมือของเขาออกไป วางไว้บนหลังมือของเจี่ยนอี๋นั่ว และพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า: “ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนคุณแล้ว ผมอาจจะหนักหน่อยนะ”
หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ อาศัยแรงของเจี่ยนอี๋นั่วในการยืนขึ้น จากนั้นครึ่งหนึ่งก็พิงไปที่บนร่างกายของเจี่ยนอี๋นั่ว เริ่มแรกเจี่ยนอี๋นั่วรู้ไม่ค่อยคุ้นชิน เดินเซไปสองสามก้าว จากนั้นก็คุ้นชินน้ำหนักของเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว และพยุงเหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆเดินเข้าไปในห้องอย่างช้าๆ
เหลิ่งเซ่าถิงและเจี่ยนอี๋นั่วอยู่ใกล้กันมาก เหลิ่งเซ่าถิงยังได้กลิ่นหอมของบนตัวของเจี่ยนอี๋นั่ว และเขารู้สึกได้ถึงผิวที่อ่อนนุ่มของเจี่ยนอี๋นั่ว ราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนนี้ แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะเปลี่ยนไปแต่ก่อนเจี่ยนอี๋นั่วไว้ผมยาว ตอนนี้ถูกตัดให้สั้นลงแล้ว และดวงตาของเธอก็อ่อนโยนลงกว่าเดิมมาก แต่นิสัยที่ชอบเม้มริมฝีปากยังคงแสดงความดื้อรั้นซึ่งไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?” เจี่ยนอี๋นั่วช่วยเหลิ่งเซ่าถิงเดินไปได้สองสามก้าว จากนั้นก็รีบหันหน้ามาถามด้วยหน้าตาที่คิ้วขมวด
เดิมที่เหลิ่งเซ่าถิงเอียงศีรษะเล็กน้อยจ้องมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วที่กำลังใจเหม่อลอยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกตัวและหันกลับมา ทันใดนั้นริมฝีปากของเหลิ่งเซ่าถิงก็โดนใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว สัมผัสได้ถึงแก้มนุ่มนวลทำให้อดีตที่ฝังลึกในความทรงจำก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เจี่ยนอี๋นั่วตื่นตระหนกตกใจและรีบปกปิดใบหน้าของเธอ ขมวดคิ้วและรีบถอยห่างออกไปสองสามก้าว และอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความตื่นตระหนก: “คุณกำลังคิดจะทำอะไรอยู่คะ?”
แต่เหลิ่งเซ่าถิงยังไม่ทันจะได้ตอบกลับคำถามของเจี่ยนอี๋นั่ว เนื่องจากต้องให้เจี่ยนอี๋นั่วช่วยพยุง เหลิ่งเซ่าถิงก็สูญเสียการทรงตัว เกือบจะล้มลงกับพื้น เมื่อเห็นร่างของเหลิ่งเซ่าถิงกำลังเซ เจี่ยนอี๋นั่วรีบยื่นมือออกไปและจับ เหลิ่งเซ่าถิงอีกครั้ง ขมวดคิ้วและพูดว่า :“คุณยืนให้มันดีๆหน่อยนะคะ”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ แล้วไม่กล้าที่จะปล่อยมืออีก เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เกิดขึ้นอีก เจี่ยนอี๋นั่วรักษาระยะห่างจากเหลิ่งเซ่าถิงด้วยท่าทางที่น่าอึดอัดใจอย่างยิ่ง หลังจากพยุงเหลิ่งเซ่าถิงไปได้สองสามก้าว เจี่ยนอี๋นั่วก็ถอนหายใจออกมายาวๆเธอขมวดคิ้วและพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงว่า:“เป็นยังไงบ้าง ตอนนี้คุณรู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหมคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงดูออกว่าเจี่ยนอี๋นั่วอึดอัด ถึงแม้ว่าขายังสึกปวดๆชาๆอยู่ แต่เขาก็พยักหน้ายิ้มแล้วพูดว่า :“ดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณคุณมากจริงๆ”
เนื่องจากเจี่ยนอี๋นั่วอยู่ใกล้กับเหลิ่งเซ่าถิงอย่างมาก ในขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดอยู่นั้นดูเหมือนเสียงจะอยู่ใกล้หูเจี่ยนอี๋นั่วมาก เจี่ยนอี๋นั่วหน้าแดง และหันหน้าไปเห็นเจี่ยนซวงและเหลิ่งเซ่าถิงกำลังแอบหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข เจี่ยนอี๋นั่วเบิ่งตาโตเหลือบมองไปที่เจี่ยนซวง และเจี่ยนซวงก็หันหน้าหนีไปด้วยรอยยิ้มทันที และนั่งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ราวกับว่าเธอมองไม่เห็นอะไรเลย
เจี่ยนอี๋นั่วถูกเจี่ยซวงเห็นฉากนี้ และรู้สึกว่าเธอเสียหน้าในฐานะแม่อย่างมาก เจี่ยนอี๋นั่วไม่เต็มใจที่จะพยุงเหลิ่งเซ่าถิงต่อ ดังนั้นเธอจึงพยุงเหลิ่งเซ่าถิงกลับไปที่ข้างโต๊ะ และถามด้วยน้ำเสียงเบา: ” นั่งลงตรงนี้ แบบนี้ดีขึ้นไหมคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม:“ดีขึ้นมากแล้วครับ ขอบคุณมากจริงๆครับ”
เจี่ยนอี๋นั่วลดเสียงลง และกระซิบด้วยน้ำเสียงที่มีเพียงเธอและเหลิ่งเซ่าถิงที่สามารถได้ยินเท่านั้น : “ถ้าเป็นคนอื่น ฉันก็คงจะช่วยเหลือเขาแบบนี้เช่นกัน ดังนั้นคุณไม่ต้องคิดว่าฉันปฏิบัติต่อคุณเป็นพิเศษมากกว่าคนอื่นหรอกนะ”
เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆเก็บรอยยิ้ม ลดตาลงยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นพยายามขจัดความขมขื่นในรอยยิ้มนั้น และยิ้มให้กับเจี่ยนอี๋นั่วพูดขึ้นว่า: “ผมรู้แล้ว ผมรู้ว่าคุณเป็นคนที่มีจิตใจดีมาก”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง จากนั้นสูดหายใจเข้าลึก ๆ ในเวลานี้เหล่าสวีทำลายสถานการณ์ที่มีความตึงเครียดและอึดอัดใจ เขาเคาะประตูเรียก และยิ้มอยู่นอกประตู และพูดว่า “คุณท่านครับ คุณหนูเจี่ยนครับ รับประทานอาหารได้แล้วครับ พวกคุณจะไปรับประทานที่ห้องครัวไหมครับ หรือว่าจะให้ผมเตรียมอาหารขึ้นมาเสิร์ฟบนห้องนี้ครับ?”
เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงกำลังจะพูด เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบพูดว่า:“ให้พวกเขาขึ้นมาเสิร์ฟข้างบนนี้เถอะค่ะ ขาของคุณยังบาดเจ็บอยู่ทางที่ดีคุณอย่าเดินไปเดินมาจะดีกว่า”
เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าทันที หัวเราะออกมาเบา ๆ และยิ้มให้เหล่าสวีที่ยืนอยู่นอกประตู: “รบกวนคุณโปรดนำอาหารขึ้นมาเสิร์ฟด้วยเถอะ”
เจี่ยนซวงเหลือบมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง จากนั้นก็เหลือบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้ง และปิดปากของเธอหัวเราะออกมา
เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองเจี่ยนซวง และแกล้งโมโหพร้อมคิ้วขมวดถามว่า:“หนูหัวเราะอะไรคะ?”
เจี่ยนซวงหัวเราะและพูดว่า :“หนูไม่ได้หัวเราะอะไรเลยนะคะ ก็แค่รู้สึกว่าท่าทางของแม่ตอนนี้ ดูตลกมากๆเลยค่ะ ”
เมื่อเจี่ยนซวงพูดถึงนี่ ก็รีบเอามือปิดปาก และหัวเราะต่อเนื่อง เจี่ยนอี๋นั่วทำตาดุใส่เจี่ยนซวง น้ำเสียง ฮึม ออกมา เพื่อสร้างบรรยากาศ เจี่ยนซวงพยายามอย่างหนักที่จะกลั้นหัวเราะของเธอไปด้วย และแอบมองดูเจี่ยนอี๋นั่วไปด้วย พูดด้วยน้ำเสียง :“คุณแม่คะ กินข้าวได้แล้วใช่ไหมคะ?ซวงซวงรู้สึกหิวมากแล้วค่ะ”
เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพยักหน้า จากนั้นเจี่ยนซวงยิ้มและพูดว่า: “อืม ขอเคลียร์โต๊ะก่อนสักครู่นะคะ พวกเราก็พร้อมที่จะทานอาหารเย็นแล้วค่ะ!”!”
เจี่ยนซวงยกมือขึ้นทันที ทำท่าทางร่าเริงและพูดด้วยรอยยิ้ม: “ว้าว เยี่ยมมากเลยค่ะ!”
เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เจี่ยนซวงและถามด้วยรอยยิ้ม: ” อือ ซวงซวง ทำไมหนูถึงยอมทานข้าวดี ๆแล้วล่ะคะ ?หนูเป็นซวงซวงที่ไม่ชอบทานข้าวคนนั้นไม่ใช่เหรอคะ?”
เจี่ยนซวงถูกเจี่ยนอี๋นั่วเปิดเผยความจริงคำโกหกก่อนหน้านี้ของเธอ เธอรีบเอามือถูที่จมูก โน้มตัวไปใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว และพูดด้วยน้ำเสียงที่อ้อนว่า: “อืม ซวงซวงรู้ตัวว่าผิดไปแล้วค่ะ ซวงซวงจะไม่พูดไปเรื่อยอีกแล้วค่ะ คุณแม่คะ หนูช่วยคุณแม่ทำความสะอาดบนโต๊ะนี้นะคะ”
หลังจากเจี่ยนซวงพูดจบ เธอก็ทำท่ายุ่งอยู่ข้างหลังเจี่ยนอี๋นั่วทันที เหลิ่งเซ่าถิงอยากยื่นมือออกไปช่วยด้วยอีกแรง แต่เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวด พูดขึ้นว่า:“ คุณนั่งพักผ่อนอยู่เฉยๆเถอะค่ะ ไม่จำเป็นต้องให้คุณมาช่วย ”ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องหยุดที่จะช่วยเหลือทันที
เหลิ่งเซ่าถิงรีบวางมือลงทันที และนั่งอยู่ข้างๆโต๊ะ โดยมองดูเจี่ยนอี๋นัวและเจี่ยนซวงที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ หลายปีที่ผ่านมานี้ เจี่ยนอี๋นั่วทำงานบ้านเป็นหลายอย่างแล้ว เธอทำความสะอาดโต๊ะอย่างรวดเร็ว และยิ้มให้กับเหลิ่งเซ่าถิงและพูดว่า:“เสร็จแล้ว ได้เวลาเสิร์ฟอาหารแล้วค่ะ”
เจี่ยนซวงยังเลียนแบบเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้มและพูดว่า :“คุณพ่อคะ ได้เวลาเสิร์ฟอาหารแล้วค่ะ”
เหลิ่งเซ่าถิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาข้างๆเขา และพูดอะไรบางอย่างกับเหล่าสวี ใช้เวลาไม่นานเหล่าสวีก็เข็นอาหารเข้ามา นำอาหารออกมาเสิร์ฟทีละจานและจัดวางลงบนโต๊ะ ก่อนหน้านี้เจี่ยนซวงเคยพูดว่าจะกินอาหารคนป่วยพร้อมกับเหลิ่งเซ่าถิง เธอคิดว่าจะได้ทานอาหารอ่อนๆ และเรียบง่าย แต่เธอคาดไม่ถึงว่าอาหารบนโต๊ะในตอนนี้กลับดูน่าทานเอามากๆ
เจี่ยนซวงกลืนน้ำลายทันทียิ้มและพูดว่า:“อาหารอร่อยเยอะมากมายขนาดนี้เลยเหรอคะ”
เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม: “แม้ว่าหนูจะเต็มใจทานอาหารอ่อนๆเป็นเพื่อนพ่อ แต่คุณพ่อกลับรู้สึกว่าสีสันของอาหารพวกนี้ หนูน่าจะชอบมากกว่า คณพ่อก็เลยจะเสิร์ฟอาหารเหล่านี้ให้หนู มา ซวงซวง หนูลองชิมดู ชิมรสชาติอาหารเหล่านี้เป็นอย่างไร ?”
เจี่ยนซวงรีบทานอาหารทันที จากนั้นพยักหน้าอย่างแรง ยิ้มและหันไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว: “คุณแม่คะ อาหารพวกนี้อร่อยมากจริง ๆค่ะ”
เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มให้เจี่ยนซวงและพูดว่า:“ถ้าอย่างนั้นหนูก็กินให้อร่อยนะคะ”
เจี่ยนซวงกระพริบตา และคีบอาหารให้เจี่ยนอี๋นั่ว : “คุณแม่คะ คุณแม่กินด้วยกันสิคะ”
เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและยกมือขึ้นลูบหัวของเจี่ยนซวงเบาๆ และพูดด้วยรอยยิ้ม: “จ๊ะ นี่สิถึงเรียกว่าเด็กดี”
เจี่ยนซวงก้มหัวลงทันทีด้วยรอยยิ้มและเริ่มรับประทานอาหาร ในระหว่างที่รับประทานอาหารค่ำอยู่นั้น เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมองทางเหลิ่งเซ่าถิงครั้งคราว และรู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังมองเธอและเจี่ยนซวงอยู่ เพียงแต่ว่าเมื่อเจี่ยนอี๋นั่วมองไปทางเหลิ่งเซ่าถิง เขาก็ค่อยๆหันหน้าหลบตาเจี่ยนอี๋นั่วทันที
หลังจากที่รับประทานอาหารเย็น ฟ้าก็เกือบจะมืดลงแล้ว เมื่อเจี่ยนซวงทานข้าวจนอิ่ม และดูเหนื่อยล้ามากแล้ว เธอถือชามพิงโต๊ะแล้วหาวไม่หยุด เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองไปที่เจี่ยนซวง และถามเหลิ่งเซ่าถิงว่า:“ห้องของฉันและลูกอยู่ที่ไหน? ฉันจะพาซวงซวงไปเข้านอนเดี๋ยวนี้”
เหลิ่งเซ่าถิงรีบลุกขึ้นยืนและชี้ไปยังทิศทางของห้องให้เจี่ยนอี๋นั่วดู: “มันอยู่ห้องถัดไป ห้องน่าจะจัดเตรียมเสร็จแล้ว”
เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าขมวดคิ้วใส่เหลิ่งเซ่าถิงและพูดว่า:“ถ้าอย่างงั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็เดินออกจากห้องไป เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นและยืนอยู่ข้างหลังเจี่ยนอี๋นั่ว เมื่อมองไปที่ด้านหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเบาว่า: “ราตรีสวัสดิ์ครับ”
เจี่ยนอี๋นั่วพาเจี่ยนซวงเดินออกจากห้องของเหลิ่งเซ่าถิง และเมื่อเดินเข้าไปในห้องนอนของเธอและเจี่ยนซวง เจี่ยนซวงก็รีบยกมือขึ้นไปกอดคอของเจี่ยนอี๋นั่ว และพูดด้วยรอยยิ้ม: “คุณแม่คะ…… พวกเราจะนอนแล้วเหรอคะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าและวางเจี่ยนซวงลงบนเตียง: “ใช่จ๊ะ ไม่ใช่เป็นเพราะหนูง่วงนอนหรอกเหรอ ทำไมหนูถึงตื่นขึ้นมาอีกครั้งล่ะคะ?”
“อืม หนูกินอิ่มมากเกินไปแล้วค่ะ” เจี่ยนซวงนอนอยู่บนเตียง และพูดด้วยรอยยิ้มทันที: “คุณแม่คะ คุณแม่คะ…… เตียงนี้นุ่มมากเลยค่ะ”
เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดว่า :“ใช่จ๊ะ นุ่มสบายมากจริงๆ”
เจี่ยนซวงยิ้มและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว: “คุณแม่คะ คุณแม่รู้อะไรไหมคะ?ความจริงแล้วก่อนหน้านี้หนูรู้สึกกลัวคุณพ่อมากๆเลยค่ะ แต่จู่ ๆหนูก็รู้สึกว่าคุณพ่อไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด เพราะจริงๆแล้วคุณพ่อมีคนที่คุณพ่อกลัวค่ะ!”
เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะยิ้มและถามว่า:“ โอ้จริงเหรอคะ?แล้วคุณพ่อของหนูกลัวใครมากที่สุดคะ?”
เจี่ยนซวงยิ้มและชี้ไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและพูดด้วยรอยยิ้ม: “ก็คือคุณแม่ไงล่ะคะ”
เจี่ยนซวงยิ้มและพูดว่า: “หนูพบว่าคนที่คุณพ่อกลัวที่สุดก็คือคุณแม่ค่ะ ดังนั้นหนูจึงไม่กลัวคุณพ่อแล้วค่ะ และดูเหมือนคุณแม่ก็กลัวคุณพ่อมากเหมือนกันนะคะ…… ”
“ลูกเจี่ยนซวงคะ ถึงเวลานอนแล้วนะคะลูก ” เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เจี่ยนซวง แล้วไอแค่กออกมาหนึ่งครั้ง
เจี่ยนซวงรีบยกมือขึ้นปิดปากยิ้มและพูดว่า:“ ได้ค่ะ หนูจะไม่พูดอะไรอีกแล้วค่ะ”