หนี้รัก วิวาห์จำเป็น - ตอนที่ 185 ลูกค้าที่ลึกลับ
เจี่ยนอี๋นั่วอยู่ระหว่างเดินทางที่กลับบ้าน เมื่อเธอเดินมาถึงหน้าประตูเธอก็เห็นกลุ่มเด็กวัยรุ่นเดินอยู่บนถนนพร้อมกับคุยกันหัวเราะขบขับอย่างสนุกสนาน เจี่ยนอี๋นั่วพบว่าหนึ่งในนั้นมีชายหนุ่มที่เก็บสร้อยมาคืนเมื่อเช้านี้ เจี่ยนอี๋นั่วจึงยกมือขึ้นมาทักทาย
แต่เมื่อถึงตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังจะพูดทักทายนั้น ชายหนุ่นคนนั้นก็หันหน้าหนีเธอ ราวกับว่าเขาไม่รู้จักกับเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่พอคิดๆดูแล้วก็ไม่ได้มีอะไร อาจจะเป็นเพราะเขาอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ ถ้าจะมาทักทายสาวชาวสวนอย่างเธอคงจะอายเพื่อน เด็กวัยรุ่นอายุขนาดนี้มักจะมีเรื่องที่น่าปลาดหลาดใจอยู่เรื่อย
เจี่ยนอี๋นั่วลดมือลงแล้วๆค่อยเก็บมือของตัวเองมาอยู่ที่เดิม ก่อนยิ้มแล้วก้มหน้าลงแล้วเดินกลับที่สวนของตัวเอง
“เห้ พี่สาวคะ พี่เป็นคนที่นี่หรอคะ?” สาวน้อยใบหน้ารูปไข่หนึ่งในกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มนั้นหยุดก่อนจะพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้ม
เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าก่อนจะยิ้มแล้วพูดออกมาว่า : “ใช่จ่ะ มีอะไรหรอ?”
สาวน้อยใบหน้ารูปไข่รีบยกกล้องขึ้นมาทันที : “ฉันขอถ่ายรูปพี่หน่อยได้มั้ยคะ? เมื่อกี้ตอนที่พี่เดินภาพมันสวยมากๆเลยค่ะ! ดูสงบมากๆแล้วก็ดูเต็มไปด้วยความสุขด้วย”
เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่กล้องถ่ายรูป ก่อนจะส่ายหน้าไปมา : “ขอโทษด้วยจ่ะ ฉันนงให้ถ่ายไม่ได้”
เจี่ยนอี๋นั่วพูดก่อนจะเดินต่อไป สาวน้อยหน้ารูปไข่รีบมาขวางเจี่ยนอี๋นั่วทันที ก่อนจะเบะปากแล้วพูดขึ้นว่า : “แค่รูปเดียวเองค่ะ ไม่เห็นจะมากเกินความสามารถเลย ช่วงนี้มหาละยของพวกเรามีนิทรรศการการรูปถ่ายด้วยแล้วก็เอาไปขายเพื่อการกุศล ถ้ามีคนถ่ายเงินที่ได้เราก็จะเอาเงินที่ได้ทุกบาทบริจาคเข้าโรงเรียนยากไร้ทั้งหมดเลย ถือว่าคุณทำความดีด้วยไง?”
เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้าแล้วพูดอย่างหนักแน่นว่า : “ขอโทษด้วยนะ ฉันไม่อยากถ่าย รบกวนหลบทางให้ด้วย!”
สาวน้อยใบหน้ารูปไข่ขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะพูดต่อว่า : “ทำไมพี่เห็นแก่ตัวแบบนี้ล่ะคะ ก็เห็นๆอยู่ว่ามันเป็นเรื่องที่ดี ก็แค่ถ่ายรูป แค่นี้ก็ไม่ได้หรอคะ? ตอนแรกคิดว่าพี่ไม่เหมือนกันสาวชาวนาคนอื่นที่นี่ แต่ทำไมความคิดถึงได้ต่างจังเลยล่ะคะ? คนอื่นเขาให้พวกเราถ่ายได้ตามใจชอบ แต่ทำไมพี่ถึงได้ใจแคบแบบนี้คะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่สาวใบหน้ารูปไข่คนนั้นก่อนจะพูดเสียงเข้มว่า : “ฉันคิดว่าฉันมีอิสระที่จะปฏิเสธนะ ถ้าเธอมีทัศนคติแบบนี้คุณก็ไม่มีทางถ่ายรูปออกมาได้ดีหรอกนะ อีกอย่างคุณคงเอาเรื่องการกุศลนี่เขียนลงในประวัติย่อของคุณด้วยสินะ?”
สาวใบหน้ารูปไข่อึ้งไปสักพัก : “พี่รู้ได้ยังไง?”
เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “เตรียมทำอะไรกันอยู่ล่ะ? เตรียมประวัติโดยย่อของตัวเองเพื่อไปต่างประเทศ หรือว่าเพื่อหางานล่ะ? การขายเพื่อการกุศลของเธอก็เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของเธอทั้งนั้น การกุศลเป็นเรื่องที่ดีนะ แต่ถ้ามันไม่ได้อยู่เส้นของความมีศีลธรรม ฉันก็ไม่ให้ถ่ายค่ะ คุณไม่มีคุณสมบัติพอที่จะทำมัน”
เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย น้อยมาที่เจี่ยนอี๋นั่วจะระเบิดอารมณ์ออกมาแบบนี้ เธอคิดว่าอารมณ์ของเธอนั้นเปลี่ยนเป็นเรียบง่ายเพราะการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายแบบนี้ไปซะแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอารมณ์ของเธอก็ยังแข็งทื่ออยู่ ตอนนี้เธออายุขนาดนี้แล้ว ยังจะมาอารมณ์เสียกับเด็กผู้หญิงแบบนี้อยู่อีก
ดวงตาของสาวใบหน้ารูปไข่คนนั้นขึ้นสีแดง ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่เหมือนจะร้องไห้ว่า : “ทำไมพี่พูดแบบนี้ล่ะคะ?”
เมื่อกลุ่มวัยรุ่นที่เดินผ่านไปได้ยินเสียงร้องไห้ของสาวน้อยคนนั่น ก็รีบหันหลังแล้วเดินกลับมาดู : “เป็นอะไรไป? หลินหลินเธอร้องไห้ทำไม? เกิดอะไรขึ้น?”
ชายหนุ่มคนที่เก็บสร้อยมาคืนคนนั้นเดินมา เขามองเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะหันหน้าไปมองสาวน้อยที่ชื่อหลินหลิน
สาวน้อยที่ถูกเรียกว่าหลินหลินดึงเขาเข้าไปหาตัวเองก่อนจะร้องไห้แล้วพูดขึ้นว่า : “มั่วเชียน ป้าคนนี้ไม่มีเหตุผลเลย ฉันจะถ่ายรูปให้เธอ แต่เธอก็ปฏิเสธ แล้วยังจะว่าฉันแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวอีก!”
เจี่ยนอี๋นั่วจึงได้รู้ว่าชายคนนั้นชื่อมั่วเชียน เธอมองมั่วเชียนก่อนจะหันหน้าไปมองหลินหลินสาวน้อยคนนั้น ที่ไม่ได้มีใจอยากจะเข้าร่วมงานถ่ายภาพนี้ตั้งแต่แรก
เจี่ยนอี๋นั่วทำหน้าเข้ม : “หลีกทางด้วย ฉันจะกลับบ้าน พวกเธอมายืนบังหน้าฉันแบบนี้ต้องการอะไร?”
ใบหน้าของมั่วเชียนแสดงออกถึงความประหม่า ก่อนเขาจะหันหน้าไปมองสาวน้อยที่ชื่อหลินหลินพร้อมกับพูดเสียงเบาว่า : “เธอไม่ยินยอมให้ถ่ายก็ไม่ต้องถ่ายหรอก เราไปกันเถอะนะ”
หลินหลินขัดขืนก่อนจะร้องไห้แล้วพูดว่า : “แล้วทำไมเธอต้องพูดอย่างนั้นกับฉันด้วยล่ะ? มันเกินไปแล้วนะ! อย่างน้อยก็ต้องขอโทษฉันหน่อยสิ”
มั่วเชียนมองเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะอึ่งแล้วขมวดคิ้วขึ้น แต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา คนข้างที่ยืนอยู่จึงชิงพูดขึ้นมาก่อน : “ใช่ พวกเราทำเพื่อสิ่งดีๆทั้งนั้น ไม่ให้ความร่วมมือก็ช่างมันไป แต่มาด่าพวกเราแบบนี้มันมากเกินไปนะคะ ขอโทษเราด้วยค่ะ หลินหลินก็แค่เด็กผู้หญิงคนนึงที่ต้องมาถ่ายรูปที่นี่อย่างลำบากลำบน ก็เพราะเพื่อทำเรื่องดีนะคะ”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะหรี่ตามองกลุ่มเด็กวัยรุ่นเหล่านั้น สายตาของเธอจ้องไปที่มั่วเชียนสักพักก่อนจะก้มหัวลงแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “อ๋อ งั้นขออภัยด้วยนะ ฉันขอโทษด้วยก็แล้วกัน”
จะมีเรื่องกันไปทำไมล่ะ? ถึงจะมีเรื่องกับเด็กวัยรุ่นพวกนี้ไปมันก็ไม่ได้มีผลดีต่อเธออยู่ดี อีกอย่างหลายปีมานี้เจี่ยนอี๋นั่วก็ชินกับการอดทนแล้ว การได้อยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ใช่ว่าไม่มีแรงเสียดทานอะไรเลย แต่ทนๆไปมันก็ผ่านไป แล้วสถานการณ์การเธอในตอนนี้ก็ไม่เหมาะที่จะมีเรื่องแล้วทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่โตด้วย
หลินหลินสูดจมูกก่อนจะพูดด้วยใบหน้าที่ร้องไห้ของเธอ : “ก็พูดรู้เรื่องนี่คะ งั้นก็แล้วกันไปเถอะค่ะ”
เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะยิ้มให้หลินหลินแล้วพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “เมื่อกี้ฉันอารมณ์ร้อนไปหน่อยน่ะ ขอโทษจริงๆ”
ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มนั้นมีลักยิ้มปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเธอ ตาของเธอโค้งงอเล็กน้อย ถึงแม้ว่าเธอจะอายุสามสิบกว่าแล้ว แต่เพราะการใช้ขีวิตอย่างเรียบง่ายของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผิวพรรณของเธอจึงยังดูดีผุดผ่อง เหมือนไม่ได้ต่างอะไรจากตอนอายุยี่สิบ แสงแดดอุ่นๆสาดส่องมากระทบบนใบหน้าของเธอนั้นราวกับไฟสลัวๆอ่อนๆ
กลุ่มเด็กวัยรุ่นกลุ่มนี้พากันอึ้งจนเจี่ยนอี๋นั่วหันหลังเดินจากไป เหล่าเด็กวัยรุ่นเหล่านั้นถึงได้สติกลับมา แล้วพูดกันพึมพำ
“ไม่แปลกใจทำไมหลินหลินถึงอยากถ่ายเธอ เธอสวยมากๆจริงๆ”
“คนนั้นดูไม่เหมือนสาวบ้านนอกเลยนะ?”
สาวน้อยใบหน้ารูปไข่ที่เอะอะจะถ่ายรูปอย่างเดียวนั้นเงียบไปสักครู่ก่อนจะพูดเสียงดังขึ้นมา : “แต่ฉันคิดว่าก็แค่งั้นๆอ่ะ เมื่อกี้ฉันแค่เห็นว่าเธอยืนอยู่ข้างๆดอกไม้ ดูเหมือนจะสวยดี แต่พอมองตอนนี้ ฉันรู้สึกว่าไม่เห็นจะสวยเลย ก็แค่สาวชาวบ้าน ดูแล้วก็ดูอายุ พวกเราเดินไปกันต่อเถอะ ที่เรามาที่นี่ก็เพื่อถ่ายภาพที่สวยๆ เรียบง่ายแบบชนบทนะ สาวอย่างเธอที่ดูเหมือนสาวชาวกรุงอย่างนั้นมีอะไรน่าถ่ายกันล่ะ?”
“ใช่ เราควรถ่ายอะไรที่พิเศษๆมากกว่านะ”
“ไปถ่ายคนแก่ตรงนั้นเถอะ สองวันก่อนฉันเห็นรูปนึงที่ถ่ายคนแก่ไม่มีฟัน ฮิ ออกมาดีมาก แบบนั้นสิถึงเป็นศิลปะของจริง”
“เห้ มั่วเชี่ยนรีบเดินมาสิ? จะยืนอยู่ตรงนั้นทำไม? ดูอะไรอยู่อ่ะ?”
เขาที่เอาแต่มองตามแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว เมื่อได้ยินเสียงคนเรียกเขา เขาก็รีบหันหน้ากลับมาแล้วก็รีบเดินไปกับกลุ่มวัยรุ่นนั่นต่อทันที
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกลับมาถึงที่สวน เธอก็ได้รับโทรศัพท์ บอกว่ามีลูกค้าอยากได้ผักสด แต่ไม่มีคนไปส่ง วานให้เจี่ยนอี๋นั่วไปส่งให้หน่อย เจี่ยนอี๋นั่วรีบยิ้มแล้วตอบตกลงทันที เธอไม่มีอะไรทำพอดีนี่นา ถึงแม้ว่าเจี่ยนซวงจะซนมากๆแต่มีเธออยู่ในบ้านที่คึกคักๆนี้ เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่พอเจี่ยนซวงไปโรงเรียนในบ้านก็จะเงียบลงและเวลาก็จะเดินช้ามากกว่าเดิม
เจี่ยนอี๋นั่วรีบปั่นจักรยานไปเอาผักแล้วนำผักขึ้นรถจักรยาน ก่อนที่เธอจะมุ่งตรงไปที่บ้านของลูกค้าคนนั้น น่าแปลกอยู่นะเพราะโลเคชั่นของสถานที่นั้นคือคฤหาสน์บนเขา ซึ่งคฤหาสน์หลังนั้นมันต่างจากบ้านแถวชนบทแบบนี้อย่างสิ้นเชิง มันถูกสร้างขึ้นมาก่อนที่เจี่ยนอี๋นั่วจะย้ายมาอยู่ที่นี่แล้ว คนในหมูบ้านก็ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นเจ้าของ แต่คงเป็นคนที่รวยมากๆแน่ๆ
แต่หลายปีมานี้ก็ไม่มีคนเข้ามาอยู่และถูกทิ้งร้างไว้ แต่ตอนนี้มีคนมาอยู่แล้วหรอ?
เจี่ยนอี๋นั่วดูแผนที่ก่อนจะยิ้มแล้วถามขึ้น : “ใครมาอยู่ที่นี่กันนะ? เศรษฐีที่ไหนมาสร้างคฤหาสน์ในชนบทแบบนี้กัน?”
คนข้างๆยิ้มก่อนจะส่ายหน้าไปมา : “นี่มันไม่ชัดเจนเลยนะ…..”
คนนั้นกดเสียงต่ำก่อนจะพูดกับเจี่ยนอี๋นั่งว่า : “ถ้าเกิดมีอันตรายให้รีบกลับมาเลยนะ”
เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มพี้อมกับพยักหน้า ก่อนจะพูดขึ้นว่า : “วางใจเถอะค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็ปั่นจักรยานมุ่งหน้าไปที่คฤหาสน์อย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าระยะทางนั้นจะไม่ไกลมาก แต่เพราะเธอต้องปั่นจักรยานอยู่ใต้แสงแดดเปรี้ยงๆแบบนี้ เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วไปถึงคฤหาสน์เหงื่อของเธอก็ไหลเต็มหน้าแล้วเจี่ยนอี๋นั่วเช็กเหงื่อของเธอบนหน้าผาก ก่อนจะมองไปที่กำแพงสูงใหญ่ตรงหน้าจนไม่สามารถมองเห็นตัวคฤหาสน์ที่อยู่ข้างหลัง ตอนแรกเจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าคนที่เป็นเจ้าของคฤหาสน์ในชนบทแบบนี้ต้องเป็นคนที่รวยมากๆ แต่พอเธอมาถึงคฤหาสน์แห่งนี้มันกลับสร้างขึ้นค่อนข้างเก๋ และเรียบง่าย เหมือนคฤหาสน์ที่เอาไว้พักผ่อนแบบสบายๆ
ใครอยู่ที่นี่กันนะ? หรือจะเป็นจิตรกรหรือนักเขียนคนไหนที่มารวบรวมความคิดแถวนี้กัน?
เจี่ยนอี๋รั่วคิดอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจเคาะประตู เมื่อเคาะไปได้สักพัก ประตูใหญ่ของคฤหาสน์ก็ถูกเปิดออกทันที คนชราท่าทางใจดีคนนึงมาเปิดประตูก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า : “อ๋อ หนูมาส่งผักสดใช่มั้ย?”
เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า : “ค่ะ ขอโทษนะคะผักสดนี้ต้องเอาวางไว้ตรงไหนหรอคะ?”
คนแก่คนนั้นโบกมือ : “เอาไปวางไว้ในห้องครัวนะ มา เข้ามาสิ ฉันจะพาหนูไป”
เจี่ยนอี๋นั่วหยิบตะกร้าผักแล้วเดินตามคนแก่คนนั้นไป เมื่อผ่านประตูใหญ่ไปก็ไปเจอประตูอีกบานเจี่ยนอี๋นั่วมองดูคฤหาสน์ที่อะอาดวะอ้านเรียบง่ายนี้ ก่อนจะผ่านสวนไปแล้วเจอกับประตูอีกบาน และเธอก็เดินตรงเข้าไปในห้องครัวทันที
คนแก่พูด : “เอาวางไว้ตรงนี้นะ…….เอ่อ ไม่รู้ว่าหนูพอจะมีเวลารึเปล่า ช่วยล้างผักพวกนี้ให้หน่อยได้มั้ยจ๊ะ พวกเราเพิ่งย้ายเข้ามา คนใช้ไม่พอน่ะ ฉันเองก็แก่แล้วแถมยังมีโรค โดนน้ำเย็นก็ไม่ได้อีก ถ้าหนูล้างผักให้ฉันได้ ฉันจะเพิ่งเงินให้นะ”
เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “ก็แค่ล้างผักเองค่ะ ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณไม่ต้องคิดเงินเพิ่มให้ฉันหรอก ถ้าคุณคิดว่าผักพวกนี้อร่อยสดใหม่ ก็ซื้อผักจากหมู่บ้านของเราเยอะๆก็พอค่ะ”
คนแก่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า : “หนูนี่หัวธุรกิจจริงๆนะ”
เจี่ยนอี๋นั่งยิ้ม: “งั้นก็ขอฝากตัวด้วยนะคะ”
คนแก่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า : “แน่นอนอยู่แล้วจ่ะ หายห่วงเถอะ”
คนแก่พูดจนจบ เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบเอาผักไปล้างทันที เธอล้างมันด้วยความตั้งใจอย่างช้าๆ เพราะว่าผักที่คนบ้านนี้ต้องการนั้นมีอีกมาก เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วล้างผักเสร็จ เอวของเธอก็ปวดเมื่อยไปหมด ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังจะยืดตัวขึ้น เธอก็เห็นคนแก่คนนั้นเตรียมต้มยาอยู่ คนแก่เอายาลงไปต้มบนเตา เจี่ยนอี๋นั่วรีบเดินเข้าไปช่วยคนแก่เอายานั้นใส่ลงหม้อย่างรวดเร็ว
หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วใส่ยาลงหม้อแล้วเธอก็ยิ้มขึ้นก่อนจะถาม : “ทำไมหรอคะ? คุณจะกินยานี่หรอ?”
คนแก่ส่ายหน้าก่อนจะถอนหายใจ : “ไม่ใช่จ่ะ เจ้าของบ้านจะกินต่างหาก อายุยังน้อยก็เจ็บป่วยแล้ว ที่นี่วิวทิวทัศน์สวยงาม เขาน่าจะฟื้นตัวได้ไว”
ที่แท้ที่นี่ก็เอาไว้รักษาคนนี่เอง งั้นก็ชัดเจนแล้วน่ะสิ เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “อากาศที่นี่ดีค่ะ น่าจะฟื้นตัวได้เร็วมากๆ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”
คนแก่มองดูนาฬิกาก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ตอนนี้ก็เวลานี้แล้ว กินข้าวก่อนค่อยกลับเถอะจ่ะ”
เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม : “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ค่อยสะดวก ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ ถ้าคุณต้องการผักอีก ก็โทรหาฉันเลยนะคะ ฉันจะมาส่งของให้ถึงที่เลย”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็เดินออกจากประตูไปทันที จู่ๆเจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกราวกับว่ามีคนจ้องมองมาที่เธอ แต่พอเจี่ยนอี๋นั่วหันหลังกลับไปมอง เธอเห็นเพียงแค่บานหน้าต่างที่เปิดเอาไว้เท่านั้น นอกจากผ้าม่านหน้าต่างที่ลมพัดปลิวไสวอยู่นั่นก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของใครสักคน
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว เธอรู้สึกแปลกในใจเล็กน้อย เจี่ยนอี๋นั่วจึงรีบสาวเท้าแล้วก็เดินออกจากคฤหาสน์นั้นไปอย่างรวดเร็ว เมื่อออกมาถึงข้างนอกของคฤหาสน์แล้วเจี่ยนอี๋นั่วก็รีบปั่นจักรยานแล้วตรงกลับบ้านทันที
แต่บางทีเจี่ยนอี๋นั่วคงจะโอเวอร์เกินไป เธอรีบปั่นจักรยานเสียจนโซ่จักรยานขาด เจี่ยนอี๋นั่วมองโซ่จักรยานที่ขาดนั้น ก่อนจะลงจากจักรยาน เธอเพิ่งจะมาขับจักรยานได้เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง เรื่องการขี่จักรยานน่ะเธอก็พอจะทำได้ แต่ไม่รู้ว่าควรจะซ่อมมันยังไง
เมื่อเห็นว่าโซ่จักรยานขาด เจี่ยนอี๋นั่วก็ถอนหายใจทันที เธอหมดหนทางแล้วจริงๆ
“จักรยานของคุณเสียหรอครับ?” เสียงของชายคนนึงดังขึ้นมาจากข้างหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้นอย่างประหม่าก่อนจะหันหลังกลับไปมองอย่างรวดเร็ว เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเห็นมั่วเชียน เธอพยักหน้าก่อนจะพูดขึ้น : “ใช่ จักรยานเสียน่ะ”
มั่วเชียนเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ : “งั้นให้ผมซ่อมให้ได้มั้ยครับ?”
เจี่ยนอี๋นั่วเหลียวตาไปมองมั่วเชียนก่อนจะถามอย่างสงสัย : “เธอซ่อมได้หรอ?”
จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ : “เธอก็ไม่ได้พูดติดอ่างนี่?”
เจี่ยนอี๋นั่วยังจำตอนที่มั่วเชียนคุยกับเธอเมื่อวานได้ เขายังพูดติดอ่างอยู่เลย ทำไมตอนนี้ถึงได้ไม่เป็นแล้วล่ะ? เมื่อพูดจบเจี่ยนอี๋นั่วก็นึกขึ้นได้มาคำถามนั้นมันเสียมารยาท จึงรีบพูดขึ้นมาว่า : “ขอโทษนะ ฉันพูดผิดไปน่ะ เสียมารยาทแย่เลย”
ใบหน้าของมั่วเชียนแดงก่อนจะพยักหน้าแล้วพูดติดอ่างว่า : “ผม…..จริงๆแล้วผม….ไม่ได้ติดอ่างนะครับ…..”
ใบหน้าของเขาแดงขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะพูดว่า : “ผมแค่ประหม่าน่ะครับ”
เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว : “เธอนี่ตลกจริงๆเลยนะ”
เมื่อมั่วเชียนเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาก็ยกยิ้มอย่างสดใสขึ้นมาทันที