หนี้รัก วิวาห์จำเป็น - ตอนที่ 181 กอดครั้งสุดท้าย
เจี่ยนอี๋นั่วลูบหัวเจี่ยนซวงเบาๆด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะพาเจี่ยนซวงหันหลังแล้วออกไปจากสุสานไป เจี่ยนอี๋นั่วขึ้นไปนั่งบนรถยนต์คันหรูของเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะพูดกับเขาว่า : “ไปคฤหาสน์หลังเก่าของตระกูลเจี่ยนหน่อยนะคะ”
เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วมองหน้าเจี่ยนอี๋นั่ว : “เธอจะไปหาใคร? คงไม่มีใครอยู่ที่นั่นแล้วหรอกนะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ : “ยังเหลืออยู่คนนึงค่ะ”
เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า : “อือ เธอขอมาขนาดนี้แล้ว ฉันก็จะไปส่ง”
เหลิ่งเซ่าถิงขับรถตรงไปยังคฤหาสน์หลังเก่าของตระกูลเจี่ยนทันที เดิมทีที่นี่ถือว่าเป็นคฤหาสน์ของเหล่าคนรวย ตอนนี้มีการรีโนเวทใหม่ จึงได้กลายเป็นพื้นที่ร้างไปแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วเดินลงจากรถก่อน ก่อนจะอุ้มเจี่ยนซวงลงมาด้วย
“ไปกับฉันมั้ยคะ ที่นี่ไม่ค่อยมีคนมากนักหรอก” เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็จูงมือเจี่ยนซวงแล้วเดินนำไปทันที
เหลิ่งเซ่าถิงลังเลอยู่ครู่นึงก่อนจะลงรถไป แล้วเดินตามเจี่ยนอี๋นั่วไปช้าๆ พร้อมกับบอดี้การ์ดสองสามคน เมื่อเดินไปถึงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ใต้ต้นมันมีเนินเล็กๆอยู่ เธอพูดกับเจี่ยนซวงด้วยรอยยิ้ม : “ที่นี่แหละค่ะ ซวงซวงไปเล่นรอบๆก่อนได้นะคะ”
เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วมองที่แห่งนี้ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ : “ที่นี่หรอ?”
เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้ามาตอบเหลิ่งเซ่าถิง : “จริงๆคุณควรจะเตรียมสร้อยมาสามเส้นนะคะ เพราะฉันมีลูกสามคน”
เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงได้ยินที่เจี่ยนอี๋นั่วพูด เขาก็เข้าใจทันทีว่าที่เป็นที่ฝังสูกคนแรกของเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งเซ่าถิงเหม่อไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดออกมา : “ฉันจะส่งสร้อยอีกเส้นมาทีนี่ รวมถึงภูเขาลูกนี้ด้วย จะไม่ให้ใครมายุ่งกับที่นี่”
เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “เรื่องสร้อยน่ะได้ค่ะ แต่ไม่ต้องซื้อเขาลูกนี้หรอกค่ะ เราไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอกค่ะ ถ้าเรามีวาสนาต่อกันเราจะได้เจอเขาอีก ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเถอะค่ะ หากไม่มีวาสนาก็ไม่ต้องเรียกร้องอะไร พื้นที่ทำเลดีแบบนี้ ยังมีหลายๆคนที่ควรมาอาศัยอยู่ค่ะ ไม่ใช่เก็บมันไว้เป็นความทรงจำของเรา”
เหลิ่งเซ่าถิงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำของเขา : “ไม่คิดเลยนะว่ามันผ่านมานานกว่าหลายปีแล้ว”
เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “นั่นสิคะ วันเวลามันผ่านมานานมากๆแล้ว”
เจี่ยนอี๋นั่วมองเจี้ยนซวงที่เล่นอยู่ท่ามกลางทั่งดอกไม้ ที่กำลังวิ่งไล่จับผีเสื้ออยู่ จนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป เจี่ยนอี๋นั่วกับเหลิ่งเซ่าถิงถึงได้พาเจี่ยนซวงกลับลงมาจากเขาลูกนั้นมาถึงหน้ารถของเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงชี้ไปที่รถคันหรูอีกคันของเขาก่อนจะพูดว่า : “เธอกับลูกนั่งรถคันนั้นไปได้เลย พอถึงที่หมายแล้ว จะมีคนบอกตัวตนใหม่ให้กับพวกเธอ”
เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม : “งั้น….เราต้องแยกกันแล้วใช่มั้ย?”
เหลิ่งเซ่าถิงเม้มริมฝีปากของตนเองก่อนจะจ้องไปที่ใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วอยู่พักใหญ่ๆ ก่อจะขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นว่า : “แล้วเจอกันนะ”
เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มก่อนจะก้มหน้าลงแล้วบอกกับลูกสาวตัวเองว่า : “ซวงซวงคะ มาบอกลาคุณลุงคนทำอาหารเก่งๆคนนี้เร็วค่ะ”
เจี่ยนซวงยกมืออ้วนๆของเธอขึ้นมาตีมือกับเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มที่น่ารักว่า : “ลาก่อนค่ะ”
เจี่ยนอี๋นั่วจูงมือลูกน้อยแน่นขึ้นกว่าเดิม ในตอนที่เธอกำลังจะเตรียมตัวหันกลังเดินออกไป เธอก็ได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูดกับเธอ : “ขอกอดเธอเป็นครั้งสุดท้ายได้มั้ย? ถือว่าเป็นการพบกันของเรา”
เจี่ยนอี๋นั่วยืนนิ่งก่อนจะยิ้มให้เหลิ่งเซ่าถิง ก่อนที่เธอจะยกมือของเธอกอดเหลิ่งเซ่าถิง
“ดูแลตัวเองด้วยนะคะ…….” เจี่ยนอี๋นั่วพูดเสียงเบา เธอยังคนเหมือนเมื่อก่อนที่เวลาเธอกอดเหลิ่งเซ่าถิงหัวของเธอนั้นจะซบลงที่หน้าอกของเขาอย่างพอดิบพอดี
เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วแล้วยกมือของเขาขึ้นมา อยากจะกอดเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เขาลังเลไปสักพักก่อนที่ลดมือของเขาลงเช่นเดิม พร้อมกับพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงเรียบว่า : “หวังว่าเธอจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและปลอดภัยนะ”
เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะกัดริมฝีปากของตัวเอง แล้วขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะปล่อยเหลิ่งเซ่าถิง แล้วกลับมาจับมือเจี่ยนซวง พร้อมกับหันหลังแล้วเดินออกมา ตอนที่เจี่ยนซวงขึ้นรถไปแล้ว เธอยังโบกมือให้เหลิ่งเซ่าถิงแล้วตะโกนพูดกับเขาว่า : “คุณลุงคนทำอาหารเก่งคะ ล่าก่อนนะคะ ซวงซวงจะคิดถึงคุณลุง …….แล้วก็อาหารที่คุณลุงทำนะคะ”
เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มออกมา ก่อนที่จะก้าวออกมาอีกก้ามอย่างไม่สามารถควบคุมตัวได้ แต่เขาก็ไม่ได้ก้าวต่อ เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงนึงถึงอาเหวินน่าตายและเหลิ่งเฉิงเยี่ยนั้น เขาก็ก้าวต่อไปไม่ได้ เขายืนอยู่ที่เดิม แล้วมองตามแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงจนลับสายตาไป เหลิ่งเซ่าถิงถึงได้หลับตาแล้วหันหลังเดินกลับไปที่รถ
เมื่อเปิดประตูรถ เหลิ่งเซ่าถิงก็พูดกับจางหมินพร้อมกับขมวดคิ้วขึ้นทันทีว่า : “ไปสืบหาลูกนอกสมรสของเหลิ่งเฉิงเซวียนมา ว่าเขารู้เรื่องของอาเหวินกับเหลิ่งเฉิงเยี่ยได้ยังไง? ถึงแม้สิ่งเขารู้มันจะไม่ได้ชัดแจ้งอะไร แสดงให้เห็นว่าคนรอบๆฉันไม่ได้ทรยศฉัน แต่มีคนปล่อยข่าวของฉัน สืบมาให้ละเอียด ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม แล้วอย่าให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก กำจัดคนคนนั้นซะ จัดการเขาให้สิ้นซากซะ!”
เมื่อจางหมินได้ยินที่เหลิ่งหมิงอันพูดเขาก็รีบพยักหน้าทันที “ครับ……เข้าใจแล้ว”
เหลิ่งเซ่าถิงหลับตาลงแล้วเอนตัวลงไปหาเบาะรถ ก่อนจะยกมือขึ้นมาโบกมือแล้วรถยนต์คันหรูก็ออกรถทันที รถที่เหลิ่งเซ่าถิงนั่นนั้นแล่นออกมาในทางตรงข้ามกันกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยความรวดเร็ว เหลิ่งเซ่าถิงรับรู้ได้เลยว่าระยะห่างระหว่างเขากับเจี่ยนอี๋นั่วนั้นยิ่งห่างกันไปเรื่อยๆ
เจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงนั่งรถมานานกว่าสามวันสามคืน ในระหว่างนั้นก็เปลี่ยนรถอยู่หลายคัน จนในที่สุดก็ถือจุดหมายปลายทาง เจี่ยนซวงนั่งรถนานจนขารู้สึกอ่อนล้าไปหมด ตอนที่เดินลงจากรถเธอเดินไม่ตรงเอาเสียเลย
แต่เมื่อเธอกลับมาเป็นปกติ เจี่ยนซวงก็เริ่มมองไปรอบๆในที่ที่เธอมาถึง ที่นี่อากาศค่อนข้างร้อน เธอมองไปที่ทุ่งนาที่สุดสายตา และมีคนสองสามคนแบกจอบเดินผ่านมา แล้วพูดภาษาที่เจี่ยนซวงฟังไม่ออก
เจี่ยนซวงจับชายเสื้อเจี่ยนอี๋นั่วอย่างประหม่า ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “หม่าม้าคะ ……..เราถูกส่งมาอยู่ต่างประเทศหรอคะ?”
ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะไม่เข้าในภาษาของคนที่เดินผ่านไปเมื่อกี้นี้ แต่เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกได้ว่านี่เป็นภาษาภษานึงแน่ๆ เหมือนจะเป็นภาษาของทางใต้นะ เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้าพร้อมกับยกยิ้ม : “ไม่ใช่ค่ะ ในประเทศเรานี่แหละ แต่ว่าแค่เปลี่ยนสถานที่เฉยๆค่ะ”
เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินว่าเธอยังอยู่ในประเทศ เธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจทันที จากนั้นเจี่ยนซวงก็ถูกทุ่งนาแห่งนี้ดึงดูดความสนใจไปทันที : “หม่าม้าคะ ดูนี่สิคะ มีปลาตัวเล็กด้วยค่ะ ซวงซวงจับสักตัวได้มั้ยคะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มก่อนจะส่ายหน้า : “ไม่ได้ค่ะ ที่นี่เป็นที่นาของคนอื่น”
คนที่คอยรักษาความปลอดภัยให้กับเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงพูดขึ้นมาทันที : “ที่นี่เป็นที่ของคุณครับ”
เจี่ยนอี๋นั่วตะลึงไปสักพัก ก่อนจะมองไปที่คนที่พูดประโยคเมื่อกี้ พี้อมกับยิ้มขึ้นมาอย่างกลั้นไม่ไหว : “นี่ฉันกลายเป็นชาวนาไปแล้ว ฉันพูดถูกมั้ย”
ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วเพิ่งออกจากเรือนจำนั้น เธอเคยพูดกับเหอหลวนเล่อ ว่าเธอควรจะทำอะไรต่อดี เมื่อก่อนเธอเคยอยากทำไร่ทำนา เพื่อให้เจี่ยนซวงได้กินผักที่สดใหม่ ตอนนั้นเธอไม่ได้พูดเล่น เพราะเธออยากใช้ชีวิตแบบชาวนาและอยู่กับเจี่ยนซวงจริงๆ เพราะว่าเธอกับเจี่ยนซวงนั้นพบเจออะไรมากมาย เธอเลยต้องการที่ที่ค่อยข้างเรียบง่ายเพื่อมาช่วยฮีลเธอให้ดีขึ้น เธอไม่คิดเลยจริงๆว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะทำให้มันเป็นจริง
เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดกับเจี่ยนซวงด้วยรอยยิ้มทันทีว่า : “ซวงซวงจับปลาได้ค่ะ แต่อย่าจับใบสีเขียวนี้นะคะ……”
เจี่ยนอี๋นั่วชี้ไปที่ต้นกล้าในนาก่อนจะขมวดคิ้วอยู่นาน เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพราะเธอใช้ชีวิตอยู่ในเมืองมาเป็นเวลานาน เธอจึงไม่คุ้นเคยกับอุปกรณ์ทำไร่สวนพวกนี้ เธอแค่เห็นว่านี่เป็นทุ่งนาก็เลยพอรู้ว่านี้เป็นนำในนา
เจี่ยนอี๋นั่วคิดอยู่สักพัก ทำไมถึงนึกชื่อหญ้าสีเขียวนี้ไม่ออกนะ เธอจึงทำได้เพียงหัวเราะแล้วพูดออกมาว่า : “ต้นสีเขียวนี้น่าจะเป็นพืช อย่าไปเหยียบมันนะคะ”
เจี่ยนซวงรีบหยักหน้าทันที เธอเดินไปในทุ่งนาด้วยความระมัดระวังอย่างมีความสุข เพื่อหาร่องรอยของปลาตัวน้อย กุ้งน้อยๆ แต่เธอก็คุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมอย่างช้าๆ ก่อนที่เจี่ยนซวงจะหัวเราะแล้ววิ่งจนล้มลงไปในโคลนก่อนจะสำลักน้ำลายออกมา เธอไม่รอให้เจี่ยนอี๋นั่วมาช่วย เธอกฌลุกขึ้นมาจากโคลนด้วยตัวเอง ตอนนี้เธอกลายเป็นเจ้ามนุษย์โคลนไปแล้ว ก่อนที่จะหัวเราะ : “ฮ่าๆ…….” ออกมาอย่างเสียงดัง
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเสียงหัวเราะของเจี่ยนซวง เธอก็หัวเราะตามคนเป็นลูก น้อยมากที่เจี่ยนอี๋นั่วจะได้ยินเสียงหัวเราะที่มีความสุขขนาดนี้ของเจี่ยนซวง เจี่ยนซวงนั้นแสดงท่าทีเป็นเด็กที่รู้เรื่องมาโดยตลอด จนบางทีก็ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่ารู้เรื่องและฉลาดมากเกินไป แต่ตอนนี้เธอรู้อย่างแท้จริงแล้ว ว่าเจี่ยนซวงนั้นแท้จริงแล้วเป็นเพียงเด็กคนนึง ที่พบเจอเรื่องเล็กๆน้อยๆก็หัวเราะอย่างมีความสุขออกมาได้แล้ว
และในที่สุดเจี่ยนซวงก็ติดอยู่ในโคลนไม่สามารถเดินออกมาได้ เจี่ยนอี๋นั่วจึงอุ้มลูกน้อยขึ้นมา เมื่อเจี่ยนซวงเห็นว่าโคลนบนตัวของเธอทำให้เสื้อผ้าของเขี่ยนอี๋นั่วคนเป็นแม่สกปรก เธอก็พูดอย่างลุกลี้ลุกลนทันทีว่า : “หม้าม่าไม่ต้องอุ้มซวงซวงค่ะ ซวงซวงเดินเองได้ ซวงซวงทำเสื้อผ้าหม่าม้าสกปรกหมดแล้ว!”
เจี่ยนอี๋นั่วกอดลูกแน่นอนขึ้นพร้อมกับยกยิ้ม : “ไม่เป็นไรค่ะ หม่าม้าชอบให้ซวงซวงเอาโคลนมาเปื้อนหม่าม้าทั้งตัวเลย”
เมื่อเธอพูดจบก็กดจูบไปที่ใบหน้าของเจี่ยนซวงทันที โดยริมฝีปากของเธอนั้นติดโคลนบนใบหน้าของเจี่ยนซวงมาด้วย เมื่อเจี่ยนซวงเห็นเช่นนั้น เธอก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมาทันที : “หม่าม้าคะ……หม่าม้าตลกมากเลยค่ะ……..”
เจี่ยนอี๋นั่วหอมแก้มลูกอีกครั้งก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “หม่าม้ายังตลกได้มากกว่านี้อีกนะคะ”
เจี่ยนซวงเห็นโคลนที่ติดอยู่บนร่างกายของเจี่ยนอี๋นั่วเพิ่มเธอก็หัวเราะเสียงดังขึ้นอีก คนเป็นที่ดึงดูดของเหล่าชาวนาให้มองมาทางเจี่ยนซวงและเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วอุ้มเจี่ยนซวงมาจนถึงอาคารสองชั้นธรรมดาหลังหนึ่ง และมันเป็ยบ้านสองชั้นที่ไม่ได้แตกต่างไปจากบ้านหลังอื่นๆของคนในระแวกนั้น
เจี่ยนอี๋นั่วอุ้มเจี่ยนซวงไปในสวนแห่งหนึ่ง ในสวนนั้นเลี้ยงกระต่ายและไก่ไว้อยู่ไม่น้อย เจี่ยนซวงอยากลงไปดู เจี่ยนอี๋นั่วเลยวางเจี่ยนซวงลง ตอนที่เจี่ยนซวงวิ่งไปอยู่ข้างหลังไก่เหล่านั้น คนที่มาส่งเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงก็เอาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านขึ้นมาให้เจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะพูดกับเธอว่า : “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณคือมู่หวันถิง และลูกสาวของคุณชื่อลั่วเหยียนเหยียนนะครับ คุณคือแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่เก็บเงินเพื่อมาทำเกษตรกรรมที่นี่ แล้วก็ยังมีอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องอีก แล้วผมจะเอามาส่งให้คุณนะครับ”
เจี่ยนอี๋นั่วรับเอาบัตรประชาชนมาแล้วมองชื่อนั้น ก่อนจะค่อยๆยิ้มขึ้นมา
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงได้หายตัวไปอย่างสมบูรณ์แล้ว