เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เหลิ่งเซ่าถิงก็พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “เอาสิ งั้นก็แล้วแต่เธอ ถ้าเธอไม่เต๊าะฉันก่อน ฉันก็จะไม่เป็นฝ่ายเต๊าะเธอ”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินที่เหลิ่งเซ่าถิงพูด เธอก็ขมวดคิ้วขึ้น ทำไมเธอถึงคิดว่าคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงตอนนี้เป็นการเต๊าะเธออยู่นะ?
แต่เขาไม่รีรอให้เจี่ยนอี๋นั่วมีปฏิกิริยาตอบโต้ เจี่ยนซวงที่เดินอยู่ข้างหน้าเจี่ยนซวงกับเหลิ่งเซ่าถิงก็หันหน้ามามา แล้วพูดเสียงดังว่า : “คุณพ่อคะ! หม่าม้า! รีบมาเร็วค่ะ! ถ้ายังไม่มา หนูจะไปกับพี่สองคนแล้วนะ”
“ครับ พ่อกับหม่าม้าจะไปเดี๋ยวนี้” เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงตอบเจี่ยนซวงเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่ว
เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าก่อนจะรีบเอาวีลแชร์จากบันไดชั้นสองลงมาชั้นล่าง แล้วพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงว่า : “มาค่ะ คุณมานั่งบนนี้เลยค่ะ เดี๋ยวออกไปด้วยกัน”
เมื่อได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วพูดเช่นนั้น เหลิ่งเซ่าถิงก็ยิ้มแลเวยื่นมือไปหาเจี่ยนอี๋นั่ว พอเธอพยุงเขาให้นั่งวีลแชร์เรียบร้อยแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็เข็นวีลแชร์ออกมาจากคฤหาสน์ทันที
เมื่ออกมาจากคฤหาสน์ เพราะเหลิ่งเซ่าถิงนั้นเจ็บขาอยู่ จึงต้องให้เจี่ยนอี๋นั่วนั้นขับรถแทน เจี่ยนอี๋นั่วขับรถไปตามที่ที่เหลิ่งเซ่าถิงได้จัดการไว้ล่วงหน้าแล้ว
หลังจากจอดรถเรียบร้อยแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นสนามหญ้าอันกว้างขวาง ในท่ามกลางของทุ่งหญ้านี้ก็มีแม่น้ำไหลผ่านอยู่ และมีเด็กสองสามคนกำลังวิ่งเล่นอยู่ เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นสถานที่นี้แล้วเธอก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยแล้วก็หันหน้ามามองเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วถามเขาว่า : “เด็กๆพวกนี้มันยังไงกันคะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วไม่เชื่อหรอกว่ามันจะบังเอิญขนาดที่ว่าสถานที่ที่พวกเขามานั้นจะมีเด็กมาวิ่งเล่นอยู่แบบนี้ แลเวอีกอย่างก็ไม่มีผู้ปกครองคอยดูอยู่ข้างๆด้วย จะมีเด็กมาเล่นกันแบบนี้ได้ยังไง
เหลิ่งเซ่าถิงเข้ามาใกล้ใบหูของเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่สามารถได้ยินเพียงเขาและเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินออกไปด้วยรอยยิ้มว่า : “ก็ต้องหาเพื่อนเอาไว้ให้ลูกๆเล่นด้วยก่อนแล้วสิ ตอนที่เรากำลังมา ผมให้คนคัดเอาไว้แล้วน่ะ ตอนแรกอยากให้ผ่านไปสักสองสามวันก่อน ก่อนจะพาซวงซวงออกมาข้างนอก แต่ไม่คิดว่าซวงซวงจะขี้เล่นจนอยากออกมาข้างนอกไวขนาดนี้”
เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะพูดต่อเบาๆว่า : “คนพวกนี้เป็นคนที่จัดเตรียมมา ถึงแม้ว่าเด็กพวกนี้จะไม่รู้จักเด็กๆของตระกูลเหลิ่งก็ตาม แต่ก็คงต้องให้เป็นไปแบบนั้น ถ้าเกิดเล่นกับเด็กที่อื่นล่ะก็กลัวว่าเด็กๆจะเล่นกันอย่างระมัดระวัง ไม่ต้องบอกพวกเขานะ ปล่อยให้เจี่ยนซวงกับลั่วหยางเป็นเด็กธรรมดาๆที่เหมือนกันพวกเขานั้นแหละ รอให้พวกเขาโตเด็กพวกนี้ก็เป็นผู้ช่วยของพวกเขาได้”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยสบายใจ และรู้สึกว่านี่เป็นเหมือนเป็นการตบตา แต่ถ้าจากสถานะของเด็กๆในตอนนี้แล้ว มันก็ทำได้เพียงเท่านี้
“ฉันเข้าใจค่ะ” เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็บิดตัวไปเปิดประตูรถ ก่อนจะพูดกับเด็กๆทั้งสองคนว่า : “เด็กๆลงรถกันค่ะ ออกไปเล่นกัน”
เจี่ยนอี๋นั่วเพิ่งพูดจบ เจี่ยนซวงก็รีบกระโดดลงจากรถทันที พร้อมกับตะโกนออกมา “ว้าว! ในที่สุดก็ได้ออกมาเล่นแล้ว!” พร้อมกับกระโดดโลดเต้นไปหาเด็กๆกลุ่มนั้น
เพียงผ่านไปได้ไม่นานเจี่ยนซวงก็สนิทสนมกับเด็กๆเหล่านั้น พวกเขาเล่นด้วยกัน ส่วนลั่วหยางนั้นไม่ได้เคลื่อนไหวแต่อย่างใด เขาเพียงยืนขมวดคิ้วอยู่ไกลๆแล้วมองเด็กๆที่กำลังเล่นด้วยกัน
เจี่ยนอี๋นั่วพาเหลิ่งเซ่าถิงออกจากรถ พร้อมกับมองลั่วหยางแล้วพูดขึ้นมาว่า : “ถ้าหนูไม่อยากไปเล่น เดี๋ยวหม่าม้าเอาร่มกันแดดกับเก้าอี้มาให้นะคะ ให้หนูนั่งอ่านหนังสือ ดีมั้ย?”
ลั่วหยางขมวดคิ้วพร้อมกับเงยหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วถามด้วยความสงสัยว่า : “หม่าม้าไม่อยากให้พวกผมเล่นด้วยกันหรอครับ? ไม่คิดว่าผมควรจะร่าเริง มีชีวิตชีวาเหมือนเด็กๆคนอื่นบ้างหรอครับ?”
เจี่ยนอี๋นั่วมองลั่วหยางก่อนจะส่ายหน้า : “ใครบอกว่าเด็กๆทุกคนจะเป็นแบบนั้นล่ะคะ? หม่าม้าหวังว่าหนูจะทำตามที่หนูพอใจที่จะทำ เป็นคนที่ทำให้ตัวเองใช้ชีวิตอย่างสบายๆ บางคนเขาก็ร่าเริงมากๆ อย่างเช่นเจี่ยนซวง ไม่ให้ซวงซวงไปเล่นกับเพื่อน ซวงซวงก็จะเศร้า บางคนก็ชอบที่คนอื่นไม่มารบกวนตัวเอง คิดว่าการอยู่เงียบๆคนเดียวมันผ่อนคลายที่สุดไงคะ”
ลั่วหยางพยักหน้า : “ผมชอบความเงียบครับ”
เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “ดังนั้นมันก็แค่คนเราไม่เหมือนกันค่ะ จะเงียบหรือร่าเริง ก็เลือกตามที่ตัวเองมีความสุขก็พอแล้ว ไม่มีใครตั้งกฎไว้นี่คะว่าเราต้องร่าเริง แล้วก็ไม่มีใครที่จะต้องแข็งแกร่งกว่าคนอื่น เรื่องที่ทุกข์ที่สุดของคนเราไม่ได้ขึ้นอยู่ที่เงียบหรือร่าเริงนะคะ แต่มันอยู่ที่หนูชอบความเงียบ แล้วหนูก็จะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนร่าเริงเพื่อเข้ากันกับคนอื่น ความบ้มเหลวที่เจ็บปวดที่สุดคือการที่หนูบังคับตัวเองไม่ให้เป็นคนเงียบๆเพื่อคนอื่นนะคะ”
ลั่วหยางกระพริบตามองเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นมา : “หม่าม้ากับพวกเขาสอนผมไม่เหมือนกันเลยครับ”
“พวกเขาหรอคะ? หนูหมายถึงพ่อแม่บุญธรรมหนูหรอ?” เจี่ยนอี๋นั่วถามด้วยรอยยิ้ม
ลั่วหยางพยักหน้า : “พวกเขาคาดหวังให้ผมเติบโตขึ้นไวๆเพื่อไปรู้จักกับคนอื่นๆมากขึ้น กลายเป็นคนที่เพอร์เฟคมากกว่าเดิม พวกเขาสอนผมผิดหรอครับ?”
เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากให้ลั่วหยางคิดว่าพ่อแม่บุญธรรมของลั่วหยางนั้นผิด เธอจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “พวกเขาไม่ผิดหรอกค่ะ พวกเขาเพียงแค่แนะนำให้หนู พ่อยท์คือหนูจะเลือกทางไหน? ยอมรับนำแนะนำของเขามั้ย?”
ลั่วหยางขมวดคิ้วก่อนจะมองหน้าเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดขึ้นว่า : “ผมไม่ยอมรับคำแนะนำของพวกเขาครับหม่าม้า ผมอยากอ่านหนังสือเงียบๆ”
เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าก่อนจะพูดแล้วยิ้ม : “โอเคค่ะ เดี๋ยวหม่าม้ากางร่มกันแดดให้หนูนะ”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็รีบไปเอาร่มกันแดดออกมากางทันที เขามองคนเป็นแม่เอาร่มมากางพร้อมกับขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นมาว่า : “เด็กๆพวกนี้คือคนที่หม่าม้ากับคุณพ่อเลือกมาหรอครับ? ให้มาเล่นกับซวงซวง?”
เจี่ยนอี๋นั่วอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะมองไปที่ลั่วหยางอย่างสงสัยแล้วขมวดคิ้วพร้อมกับถามขึ้นว่า : “หนูรู้ได้ยังไงคะ?”
ลั่วหยางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “ในย่านนี้ปกติจะมีเด็กทุกช่วงอายุไงครับ แต่ว่าเด็กๆที่มาเล่นตรงนี้รุ่นราวคราวเดียวกันเลย อีกอย่างสำเนียงก็แปลกมาก ต้องเป็นเด็กที่มาจากที่อื่นแน่ๆ เด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงก็จำนวนเท่ากัน ไม่มีผู้ปกครองมาคอยเฝ้า ดังนั้นต้องเป็นคนที่ถูกเลือกมาเล่นกับพวกเราแน่ๆ”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วฟังที่ลั่วหยางพูดจบ เจี่ยนอี๋นั่วก็อึ้งไปชั่วขณะ เธอคิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าลั่วหยางที่อายุแค่นี้แต่ฉลาดหลักแหลมมากๆ เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นมาลูบหัวลั่วหยาง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม : “เก่งมากค่ะที่เดาออก งั้นหนูจะบอกหรือไม่บอกซวงซวงมั้ยก็แล้วแต่หนูจะคิดเลยนะคะ เดี๋ยวหม่าม้าเข็นคุณพ่อไปทางนู้นก่อน…..”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็เดินไปข้างๆเหลิ่งเซ่าถิง แล้วก็พูดกับเหลิ่งเซ่าถิงด้วยรอยยิ้ม : “ไปค่ะ คุณผู้ชายเหลิ่ง นานๆคุณจะได้ออกมาทีนึง เดี๋ยวฉันพาไปทางโน้นนะคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า : “เอาสิ”
ลั่วหยางเอียงหน้ามองเจี่ยนอี๋นั่วกับเหลิ่งเซ่าถิงที่เดินห่างออกไป ก่อนจะยกมือขึ้นมาจับหัวตัวเองเบาๆ อุณหภูมิอุ่นๆที่เจี่ยนอี๋นั่วลูบหัวของเขายังคงอยู่ ผมของเขาก็โดนเจี่ยนอี๋นั่วยีจนยุ่งเล็กน้อย จนปรอยผมของเขานั้นบังการมองเห็นของเขา แต่ลั่วหยางก็ไม่ได้จัดทรงผมของเขาใหม่ เพียงแค่นั่งแล้วเอนตัวไปกับเก้าอี้ ก่อนจะมองตามแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงอย่างสงสัย
เจี่ยนอี๋นั่วเข็นวีลแชร์ของเหลิ่งเซ่าถิงเดินห่างไปไกลแล้ว เขาถึงได้ถอนหายใจออก เหลิ่งเซ่าถิงเห็นการกระทำระหว่างเจี่ยนอี๋นั่วและลั่วหยาง เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจของเจี่ยนอี๋นั่วเขาก็ขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่เข้ม : “เป็นอะไรไป? รู้สึกไม่ดีหรอ? เพราะว่าฉันเป็นพ่อเด็กหรอ ลูกเลยต้องมาเล่นกับเพื่อนปลอมๆแบบนี้ เธอรู้สึกไม่ดีใช่มั้ย?”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วก่อนจะพูดเสียงเบาว่า : “รู้สึกไม่ดีนิดหน่อยค่ะ แต่ก็ไม่มีทางเลือกนะคะ ก็เพื่อความปลอดภัยของพวกเขานี่คะ? นี่เป็นสิ่งที่ตระกูลเหลิ่งจะต้องพบเจออยู่แล้วไม่ใช่หรอคะ? คุณเองก็เคยผ่านแบบนี้มาไม่ใช่หรอ? แล้วก็……”
เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงได้ยินสิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดเขาก็ขมวดคิ้วแล้วก็ถามด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า : “เป็นอะไร?”
เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปาก ก่อนจะพูดด้วยเสียงเข้ม : “เมื่อกี้ฉันนึกถึงพี่ชายฝาแฝดของคุณน่ะค่ะ คุณน่าจะจำได้ว่าพี่ขายของคุณเป็นคนฆ่าพ่อของฉัน ฉันไม่เคยมีโอกาสถามคุณเลย ตอนนี้ฉันอยากรู้คุณหาเขาเจอมั้ยคะว่าเขาอยู่ที่ไหน?”
ถึงแม้ว่าพ่อของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นจะตายไปนานมากแล้ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังเสียใจที่ฆาตรกรยังไม่ได้รับโทษ เหลิ่งอวิ๋นเซียวกับเหลิ่งหมิงอัน พวกเขาทั้งสองคนคงคิดว่าเรื่องที่เขาทำไปแล้วนั้นสามารถเข้าใจได้
เหลิ่งเซ่าถิงพมองเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะพูดด้วยความสงบ : “เธอไม่ต้องตามหาให้เขามารับโทษแล้วล่ะ พวกเขาตายไปแล้ว แม้แต่ศพฉันยังไม่เจอเลย”
“จริงหรอคะ?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วถาม
เหลิ่งเซ่าถิงเงยหน้าขึ้นมามองเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะพยักหน้าของเขาขึ้นลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า : “ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นพี่ชายฝาแฝดของฉัน แต่ฉันไม่ได้เห็นด้วยกับความคิดของเขา เธอน่าจะรู้นะ ความสัมพันธ์ของเขากับฉันถ้าคนนึงอยู่คนนึงก็ต้องตายแบบนี้มาโดยตลอด ตอนนี้เขาตายไปแล้ว สำหรับฉันมันก็วางใจได้แล้วล่ะ เธอเชื่อฉันนะ”
เจี่ยนอี๋นั่วรู้อยู่แล้วว่าความสัมพันธ์ของเหลิ่งเซ่าถิงและเหลิ่งอวิ๋นเซียวนั้นเป็นคู่ต่อสู้แบบถ้าคนนึงอยู่คนนึงก็ต้องตาย ถ้าหากไม่รู้ความสัมพันธ์ของสองคนนี้ เหลิ่งอวิ๋นเซียวฆ่าพ่อเธอขนาดนี้แล้ว เธอจะยังกลับมาคบกับเหลิ่งเซ่าถิงได้ยังไง ?
เจี่ยนอี๋นั่ส่ายหน้า : “ฉันก็ไม่ได้ไม่เขื่อคุณค่ะ แต่ตอนนี้คุณโกหกฉันเยอะมากไป มันทำให้ฉันคิดสงสัยคุณอยู่น่ะค่ะ”
เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า : “แล้วทำยังไงเธอถึงจะเชื่อฉันล่ะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิงพร้อมกับขมวดคิ้ว แล้วครุ่นคิดอย่างจริงจังว่า : “อืม……เว้นแต่คุณจะไม่โกหกฉันอีก ถ้าคุณมีอะไรปิดบังกันอีก ฉันจะโกรธคุณจริงๆนะคะ!”
เหลิ่งเซ่าถิงก้มหน้ามองขาข้างขวาของเขา ก่อนจะขมวดคิ้ว ไม่กล้าตอบเจี่ยนอี๋นั่วอยู่พักใหญ่ เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะเบิกตามองเหลิ่งเซ่าถิง : “นี่คุณยังมีเรื่องที่ปิดบังฉันอยู่หรอคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า : “ฉันแค่กำลังคิดว่ามีเรื่องอะไรที่ปิดบังเธออีกมั้ย แต่คิดไม่ออก”
“จริงหรอคะ?” เจี่ยนอี๋นั่วยักคิ้วขึ้น ก่อนจะถามด้วยรอยยิ้ม
เหลิ่งเซ่าถิงยกมือของตัวเองวางลงบนขาเขาของ ก่อนจะพยักหน้าขึ้นลง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “แน่นอนสิว่าจริง”
MANGA DISCUSSION