หนี้รัก วิวาห์จำเป็น - ตอนที่ 41 ขมวดคิ้ว
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองเหลิ่งเซ่าถิง เธอถอยหลังไปเล็กน้อย วันนี้ทั้งวัน เจี่ยนอี๋นั่วผ่านอะไรมาเยอะมาก ตอนนี้ในที่สุดเธอก็แบกรับไม่ค่อยไหวแล้ว ตรงหน้าเริ่มมืด แล้วเจี่ยนอี๋นั่วก็วูบไป ในระยะเวลาอันสั้นที่เจี่ยนอี๋นั่วล้มลงไป เธอเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังยื่นมือมาทางเธอ
เหลิ่งเซ่าถิงนี่มันเกิดอะไรขึ้น? นี่เป็นความคิดเดียวที่เจี่ยนอี๋นั่วคิดก่อนจะล้มลง
ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วฟื้นขึ้นมา เธอพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงใหญ่ของเหลิ่งเซ่าถิง ผ้าม่านในห้องถูกดึงให้ปิดไว้ ทำให้ภายในห้องมืดมิด เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว เธอรีบลุกขึ้น พยายามจะนั่งขึ้นมา เวลานี้เธอพึ่งจะรู้สึกถึงแขนที่ล้อมรอบบนเอวของเธอ หลังจากนั้นเธอก็หันไปดูเหลิ่งเซ่าถิงที่กำลังกอดเธออยู่
เหลิ่งเซ่าถิงหลับลึกมาก ผมของเขายุ่งเล็กน้อย ใบหน้าอย่างกับถูกแกะสลักอยู่ที่ตรงหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว ช่วงไม่กี่วันนี้เจี่ยนอี๋นั่วผ่านเรื่องราวมาเยอะมาก แต่ตอนที่เจอเหลิ่งเซ่าถิงอยู่ใกล้กับใบหน้าของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกแข็งทื่อเล็กน้อย มีความรู้สึกว่าเธอใจลอย เฉื่อยชาได้สิ้นเปลืองมาก
เธอค่อยๆกะพริบตา พอปรับสายตาได้ก็ได้สติ นี่เธอถูกเหลิ่งเซ่าถิงกอดอยู่? เหลิ่งเซ่าถิงกอดเธออีกแล้ว?
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เจี่ยนอี๋นั่วคงจะใจเต้น หน้าแดงกับสิ่งนี้ แต่เจี่ยนอี๋นั่วในตอนนี้ได้ใช้ความรู้สึกที่เกินขีดจำกัดทั้งหมดในเวลาไม่นานมานี้ไปแล้ว เธอแค่รู้สึกว่าแปลกใจ เธอยื่นมือขึ้นไปผลักเหลิ่งเซ่าถิงเล็กน้อย แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็ยังคงหลับลึกอยู่เหมือนเดิม
“คุณชายใหญ่เหลิ่ง……” เจี่ยนอี๋นั่วตะโกนเรียกไปด้วย ยื่นมือผลักเหลิ่งเซ่าถิงไปด้วย
เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว ค่อยๆลืมตาขึ้น เขามองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยสายตาพร่ามัว ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจออกมา นึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะปล่อยเธอ แล้วเยาะเย้ยเธอสักสองสามประโยคนั้น เหลิ่งเซ่าถิงกลับกอดเธอไว้อีกครั้ง เหมือนกับเด็กที่ไม่ยอมลุกจากเตียงกอดตุ๊กตาหมีของเขา แถมยังกอดเจี่ยนอี๋นั่วไว้ในอ้อมกอดแน่นขึ้นอีกด้วย
“คุณเป็นอะไรไป?” เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะดิ้น ใช้แรงผลักเหลิ่งเซ่าถิง
ครั้งนี้เหลิ่งเซ่าถิงเหมือนกับว่าพึ่งจะตื่นขึ้นมา จู่ๆก็ลุกขึ้น ปัดผ้าห่มออกแล้วเดินลงมาจากเตียง เดินพุ่งตรงไปยังห้องอาบน้ำ ท่าทางของเขาต่างกับเขาที่ติดเตียงเมื่อกี้ลิบลับ
เหลือเจี่ยนอี๋นั่วอยู่บนเตียงคนเดียว เธอขมวดคิ้ว ใจลอยเล็กน้อย ตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้น? นี่หมายความว่าเหลิ่งเซ่าถิงพึ่งตื่นงั้นเหรอ?
เจี่ยนอี๋นั่วถูกการกระทำของเหลิ่งเซ่าถิงทำให้อึ้งไป เธอนั่งนิ่งอยู่สักพัก จนกระทั่งเหลิ่งเซ่าถิงออกมาเธอถึงเริ่มเอ่ยปาก แต่ในตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังจะเอ่ยปากถาม เหลิ่งเซ่าถิงก็หันหลังให้เธอ แล้วพูดเสียงเย็นชา:“คุณอย่าเข้าใจผิดล่ะ เมื่อคืนคุณเป็นลมล้มไป คุณกอดผมไม่ยอมปล่อย ผมก็เลยต้องให้คุณมานอนบนเตียงผม”
“ฉันกอดคุณไม่ยอมปล่อย?” เจี่ยนอี๋นั่วถามอย่างสงสัย
เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเป็นไปได้ยาก เธอเป็นลมล้มไป ไม่ได้เมาสักหน่อย เป็นลมก็เท่ากับว่าไม่มีสติ ไม่มีทางทำเรื่องที่ว่าได้อย่างแน่นอนนี่?
เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้หันกลับมา เขายังคงหันหลังให้เจี่ยนอี๋นั่ว หลังจากที่หายใจเฮือกใหญ่ ก็พูดเสียงเย็นชา:“หรือคุณคิดว่าผมโกหกคุณหรือไง? โกหกคุณแล้วได้อะไรขึ้นมา? ผมยังหวังว่าคุณจะไม่เข้าใจผิดอยู่เลย อย่าคิดว่าผมอยู่กับคุณ แถมอนุญาตให้คุณนอนบนเตียงผม แล้วคุณจะมีโอกาสอยู่ข้างกายผมตลอดไปนะ”
เหลิ่งเซ่าถิงพูดไปด้วย ถอดชุดนอนเพื่อจะเปลี่ยนชุดไปด้วย เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองแผ่นหลังของเหลิ่งเซ่าถิง ตอนนี้ร่างกายของเธอยังฟื้นฟูไม่เต็มที่ การตอบสนองต่างก็เฉื่อยชา จนกระทั่งตอนที่เธอรู้สึกว่าเธอกำลังจ้องเหลิ่งเซ่าถิงอยู่ตลอด เธอจ้องไหล่กว้างๆเอวเล็กๆนั่นของเหลิ่งเซ่าถิงนานเกินไปแล้ว
เจี่ยนอี๋นั่วรีบเบนสายตา:“คุณวางใจเถอะ ฉันเห็นฉากโหดเหี้ยมขนาดนี้ของตระกูลเหลิ่ง ไม่มีทางคิดอะไรกับคุณหรอก ฉันหวังว่าจะไม่คบค้าสมาคมกับตระกูลเหลิ่งอีก ไม่มีทางที่จะชอบคุณอีกครั้งแน่นอน เมื่อก่อนฉันคิดว่าคุณเย็นชามาก ตอนนี้ฉันคิดว่าคุณให้ฉันเอาเด็กออก แล้วรีบออกจากตระกูลเหลิ่ง มันไม่ใช่เป็นการเตือนฉันเลยแม้แต่นิด ตระกูลเหลิ่งไม่ควรค่าให้อยู่ต่อจริงๆ!”
เหลิ่งเซ่าถิงได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว มือที่กำลังติดกระดุมข้อมือก็หยุดชะงักลง หลังจากนั้นก็หันหน้ามากวาดสายตามองเจี่ยนอี๋นั่ว:“คุณเข้าใจแบบนี้ก็ดี แล้วอย่าลืมความคิดที่ว่าจะไม่มีทางชอบผมล่ะ ผมดีใจจริงๆที่คุณคิดได้ แต่ผมไม่ได้เตือนคุณอย่างแน่นอน ผมไม่ชอบที่คุณอยู่ที่ตระกูลเหลิ่งต่อต่างหาก แต่ตอนนี้ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ในเมื่อผมเป็นคนให้สัญญากับคุณ ผมก็จะทำลายสัญญานั่นเอง ตอนนี้คุณก็ได้สติแล้ว ควรจะรู้ว่าต้องทำยังไงแล้วใช่ไหม?”
เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆพยักหน้า ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงโหดร้ายกับเธอมาตลอด แต่ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อคืนเขาได้ช่วยเธอไว้ครั้งหนึ่งจริงๆ ถ้าเกิดว่าเธอขัดแย้งกับคุณนายเหลิ่งแล้วออกจากตระกูลเหลิ่งไปเลยแบบนี้ งั้นสิ่งที่เธอทุ่มเททำไปก่อนหน้านี้ก็เสียเปล่าน่ะสิ ตระกูลเหลิ่งคงยึดเงินกลับจากเจี่ยนอี๋นั่วอย่างแน่นอน อีกอย่างด้วยสาเหตุที่ว่าเธอล่วงเกินตระกูลเหลิ่ง แถมยังทำให้ตระกูลเจี่ยนตกอยู่ในสถานการณ์ที่พลิกกลับมาไม่ได้อีกด้วย
เธอทำลงไปมากขนาดนี้ ถ้าไม่ถือโอกาสนี้ทำให้ตระกูลเหลิ่งเป็นพันธมิตรกับเธอล่ะก็ ที่เธอเข้ามาเหยียบตระกูลเหลิ่งครั้งนี้ก็คงเสียเปล่า ต่อให้เจี่ยนอี๋นั่วต้องการออกจากตระกูลเหลิ่ง ก็ต้องทำให้ตระกูลเหลิ่งเป็นที่พึ่งของเธอตลอดไป ไม่ใช่ศัตรู ถ้าไม่ใช่เพราะความรู้สึกที่ผสมปนเปกันเมื่อวาน คุณนายเหลิ่งก็คงดูถูกพ่อของเธออีก เจี่ยนอี๋นั่วเผชิญหน้ากับความขัดแย้งแบบนั้นคงต้องมีแต่ต้องอดทน ไม่มีทางสานต่ออย่างแน่นอน
“เละไปหมดจริงๆ” เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยความหงุดหงิดแล้วกุมขมับ
ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะอยู่ต่อที่ตระกูลเหลิ่งแล้ว แต่ก็มีเวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือน เธอควรจะกู้สถานการณ์ยังไงให้เธอสามารถนำการสนับสนุนของคุณนายเหลิ่งออกจากตระกูลเหลิ่งล่ะ?
“รู้หรือยังว่าคุณผิดตรงไหน?” เหลิ่งเซ่าถิงพูดเสียงเย็นชา
“ความผิดของฉัน?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแล้วพูด:“ฉันไม่ควรทะเลาะวิวาทกับคุณนายเหลิ่ง”
เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้า พูดเสียงเย็นชา:“ไม่ คุณไม่ควรเพ้อฝันกับคุณย่า เป็นเพราะว่าคุณทำเหมือนคุณย่าเป็นญาติเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ถึงโมโหขนาดนั้น ถ้าคุณเข้าใจว่าคุณย่าไม่ได้เป็นเพียงแค่คุณหญิงที่เมตตากรุณา ท่านยังเคยเป็นคนที่คุมอำนาจเพิ่มผลประโยชน์ให้ตัวเองได้มากที่สุดของตระกูลเหลิ่งอีกด้วย คุณก็คงไม่ต้องตกอยู่ในเรื่องเพ้อฝันแบบนี้”
เจี่ยนอี๋นั่วฟังคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงแล้วรู้สึกแปลกใจ ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าในคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นมีความรู้สึกไม่สนิทกับคุณนายเหลิ่งอยู่กันนะ? ตั้งแต่ที่เธอมาที่ตระกูลเหลิ่ง ที่เห็นก็มีแต่คุณนายเหลิ่งที่รักและเอ็นดูเหลิ่งเซ่าถิงมาก ต่อให้เหลิ่งเซ่าถิงกลายเป็นคนพิการ ไม่มีความรู้สึก ท่านก็ไม่ทอดทิ้งสภาพของเขา
“ทำไมคุณถึงพูดแบบนี้ล่ะ?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วพูดเสียงเบา
เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่ว พูดเสียงเย็นชา:“เพราะผมเกือบถูกคุณย่าทอดทิ้งน่ะสิ พ่อแม่ของผมท่านเสียไปแล้ว คุณก็น่าจะรู้นะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า มองเหลิ่งเซ่าถิงแล้วพูด:“เกิดอุบัติเหตุจากเครื่องบิน”
เหลิ่งเซ่าถิงก้มสายตาลง พูดเสียงขรึม:“น่าจะไม่มีใครเคยบอกคุณ บนเครื่องบินยังมีเด็กอีกหนึ่งคน นั่นคือพี่ชายแท้ๆของผมเอง ผมกับเขาหน้าตาเหมือนกัน แต่เขาเพอร์เฟคกว่าผม เขาฉลาดมาก ฉลาดเกินปกติ ถึงขนาดว่าไม่เหมือนกับเด็กธรรมดาทั่วไป เขาเป็นหลานที่คุณย่ารักและเอ็นดูที่สุด แต่เขาสุขภาพไม่ดี จำเป็นต้องผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ พวกเขาหาเด็กมาเยอะมาก แต่ก็จับคู่ไม่สำเร็จ ครั้งนั้นที่เขานั่งเครื่อง ก็เพราะต้องบินไปผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจนี่แหละ”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว:“จับคู่ยังไง? นั่นคือหัวใจเลยนะ ถ้าผ่าตัดเอาออกแล้วตายไปล่ะ? ไม่ใช่ว่าควรมีอวัยวะที่จะผ่าตัดก่อน ถึงจะทำการเปลี่ยนอวัยวะเหรอ?”
“นั่นมันวิธีของคนอื่น วิธีของตระกูลเหลิ่งคือหาคนที่จับคู่เข้ากันได้ หลังจากนั้นก็ซื้อเขามา แล้วทำการปลูกถ่ายอวัยวะ พี่ชายต้องทำการเปลี่ยนหัวใจ ทำได้แค่ต้องหาเด็กอายุรุ่นเดียวกันที่สามารถจับคู่ได้พอดีกัน” เหลิ่งเซ่าถิงพูด
เจี่ยนอี๋นั่วสั่นอยู่สักพัก ขมวดคิ้ว:“นั่นเท่ากับว่าฆ่าคนเลยไม่ใช่เหรอ แล้วใครจะยอมส่งลูกของตัวเองไปตายล่ะ?”
“นั่นเป็นความคิดของคุณ บนโลกนี้มีพ่อแม่ที่ยอมแลกชีวิตลูกกับเงินอยู่เยอะมาก มีเด็กผู้หญิงเยอะมาก อายุแค่เจ็ดแปดปีก็ถูกขายมาที่สถานบันเทิงแล้ว สิบล้านดอลลาร์ ทำให้หลายต่อหลายคนแย่งกันส่งลูกของตัวเองมาขึ้นเตียงผ่าตัด เพื่อต่อชีวิตให้พี่ชายผม” เหลิ่งเซ่าถิงพูดไปด้วย ยื่นมือเลือกเนคไทเส้นสีดำไปด้วย แล้วผูกให้ตัวเอง
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ส่ายหน้าเหมือนกับไม่มีทางเชื่อ แล้วถามเสียงเบา:“งั้นเกี่ยวอะไรกับคุณ?”
เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูด:“นั่นเป็นพี่ชายฝาแฝดของผม บนโลกนี้มีแค่ผมกับเขาที่จับคู่ได้เหมาะสมที่สุด ตอนเด็กๆ ผมชอบเล่น เหมือนกับเด็กทั่วไปที่ไปอ่านนิยายกำลังภายใน ชอบการ์ตูน ถ้าเทียบกับพี่ชายผมที่มีพรสวรรค์ ผมแตกต่างมากเกินไป”
เจี่ยนอี๋นั่วไม่รอให้เหลิ่งเซ่าถิงพูดเรื่องทั้งหมดออกมา ก็พอเดาได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เธอรีบปิดปากไว้ ส่ายหน้าแล้วพูด:“พวกเขาคงไม่โหดเหี้ยมขนาดนั้น คุณเป็นลูกของตระกูลเหลิ่งนะ คุณคือเหลิ่งเซ่าถิงคุณชายใหญ่ตระกูลเหลิ่ง จะมีคนคิดแบบนั้นได้ยังไง?”
“คนที่เพียบพร้อมถึงจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลเหลิ่ง คนที่ไม่มีประโยชน์ก็ต้องเป็นตัวเลือกสำรองในการเพาะเลี้ยงอวัยวะ ผมได้ยินเป็นบางครั้ง คุณย่าพูดกับพ่อของผม ถามว่าถ้าครั้งนี้จับคู่ไม่สำเร็จจะทำยังไง? คุณย่ากลับพูดเรื่องที่ให้ผมเปลี่ยนหัวใจให้พี่ชายออกมา พ่อก็ไม่ได้ปฏิเสธ” เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้ ก็หรี่ตาลง ค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมา
เจี่ยนอี๋นั่วกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มของเหลิ่งเซ่าถิงเหมือนกับว่าเขากำลังร้องไห้ เธอไม่รู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงโตมายังไง ด้านหนึ่งก็นึกถึงคุณย่าและพ่อเรื่องหัวใจของเขา อีกด้านหนึ่งก็คุณลุงที่มองเขาจมลงโดยไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย? มิน่าล่ะเหลิ่งเซ่าถิงถึงเย็นชาขนาดนี้ เรื่องพวกนี้ถ้าเกิดขึ้นกับคนอื่นไม่ว่าใครก็ตาม ต่างก็คงบีบบังคับจนคนๆนั้นเย็นชาโหดเหี้ยมใช่ไหม?
“แต่ภายหลังคุณนายเหลิ่งก็ดีกับคุณมากนะ” เจี่ยนอี๋นั่วยังจำตอนที่คุณนายเหลิ่งตื่นเต้นที่เห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงได้สติฟื้นขึ้นมาได้
เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า พูดเสียงขรึม:“นั่นก็เพราะว่า เขามีแค่ผมคนเดียวแล้วที่เป็นหลานชาย ไม่ว่ายังไงเขาก็แพ้ไม่ได้อีกแล้ว แต่ถึงแม้ว่าผมจะได้ยินคำพูดพวกนั้น คุณย่าก็ยังคงเป็นญาติที่ผมเหลืออยู่บนโลกนี้ ผมก็ได้แค่ทำหน้าที่หลานชายที่ดี”
เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบสายตาขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิง เธอเหมือนกับครั้งแรกที่ได้เจอกับเหลิ่งเซ่าถิง เริ่มสังเกตเหลิ่งเซ่าถิงอย่างละเอียดอีกครั้ง เหมือนกับว่าเธอมองเห็นเด็กคนหนึ่ง แอบอยู่ในมุมมืดกำลังร้องไห้ไม่หยุด เขาจะกลัวทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเขามากแค่ไหนกันนะ