หนีชะตานางร้าย ไปเป็นเจ้าหญิงขนมหวาน - ตอนที่ 1
“ซ่อมหลังคาเสร็จแล้วค่า!”
ร่างบางปราดเปรียวกระโดดพรวดจากหลังคาลงสู่ด้านล่าง ผู้ที่กำลังเช็ดเหงื่อโดยอยู่ในชุดเสื้อกับกางเกงตัวเก่าก็คืออิริน่า แม่ของอาเซีย
อาเซียยื่นผ้าลินินที่กำอยู่ให้อิริน่า มันเป็นผ้าที่นุ่มที่สุดจากในบรรดาผืนผ้าที่มีอยู่ในบ้าน แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังแข็งกระด้างแบบไม่มีผ้าผืนไหนเทียบได้อยู่ดี
“โอ๊ะ อาเซีย มารับแม่เหรอ”
อาเซียคิดขึ้นมาว่าการนั่งอยู่ตรงบันไดหน้าประตูจนมารดาซ่อมหลังคาเสร็จก็เรียกได้ว่าเป็นการออกมารับหรือเปล่า แต่ไม่ทันได้คิดเรื่องนั้นจนจบ อิริน่าก็อุ้มเธอตัวลอย
“อิริน่า เหนื่อยแย่เลยนะ”
เมื่ออิริน่าเข้าไปข้างในโดยอุ้มลูกสาวเอาไว้ด้วย ยูเลีย บิดาผู้ถือทัพพีอยู่ในมือก็ออกมาจากในครัว
ยูเลียเป็นผู้รับผิดชอบทำอาหารในวันนี้
ทัพพีที่ยูเลียถืออยู่มันสึกไปเกือบหมดทั้งด้ามแล้ว บางทีพรุ่งนี้ตอนใช้ก็คงจะตักขึ้นมาได้แค่เนื้อในน้ำซุปเท่านั้น
โต๊ะอาหารตัวเก่าเป็นโต๊ะที่พวกเขาใช้มาเป็นสิบๆ ปี แต่กลับกลายเป็นว่าคงเพราะอย่างนั้น มันจึงเป็นมันเงา
ยูเลียเอาสตูสามถ้วยกับก้อนขนมปังแข็งๆ ขึ้นมาวางบนโต๊ะอาหารด้วยสีหน้าอิ่มอกอิ่มใจ
อาเซียก้มลงมองสตูใสแจ๋วที่มีชิ้นส่วนมันฝรั่งลอยไปมา เธอเห็นเนื้อเล็กจิ๋วอยู่สองสามชิ้นด้วยเช่นกัน
นี่เป็นเนื้อที่อาร์เทน จูบานน์ นักฮาร์ป ที่พ่อกับแม่เชิญมาเมื่อวาน เอามาให้เป็นของขวัญเพื่อเติมเต็มครอบครัวยากไร้นี้
มื้อเย็นวันนี้เพอร์เฟ็กต์สุดๆ ไปเลย
ยูเลียนั่งลงกับที่แล้วอุ้มอาเซียขึ้นมานั่งบนตัก
ที่ทำแบบนี้ นอกจากเป็นเพราะยังคงรู้สึกทะนุถนอมและเอ็นดูลูกสาวคนเดียวซึ่งอายุครบสิบปีแล้ว อีกส่วนหนึ่งก็คือ เก้าอี้ที่สามารถนั่งได้ในบ้านหลังนี้มีเพียงสองตัวเท่านั้น
“คุณอาร์เทนเอาเนื้อคุณภาพดีมากมาให้ด้วยนะ! เจ้าหญิงของพ่อก็ลองกินสักคำไหม?”
ยูเลียตักเนื้อคำโตๆ ขึ้นมาหนึ่งช้อนจากในถ้วยที่เป็นส่วนของอาเซีย ถ้วยของเธอมีขนาดเล็กก็จริงแต่ปริมาณเนื้อในน้ำซุปมีเยอะที่สุด
“อะ อ้าม”
“ตายจริง กินเก่งจังเลย”
ในระหว่างที่อาเซียจัดการสตูว์หนึ่งถ้วยนั้นให้หมดเกลี้ยง ก็มีชิ้นขนมปังป้อนใส่ปากของเธอเพียงคนเดียวอีก
อาเซียพยายามจะแบ่งขนมปังให้คนอื่นหลายครั้ง แต่บิดากับมารดาของเธอไม่ยอมรับไป
อิริน่าป้อนผลไม้ตากแห้งหนึ่งกำที่ได้รับมาจากเพื่อนบ้านให้อาเซียทีละนิดเพื่อเป็นของหวานหลังอาหาร พร้อมกับมองยูเลีย
“จะว่าไป เดี๋ยวอาเซียก็ต้องทำพิธีเรียกดวงวิญญาณแล้วนะ ถ้าเราจัดการกันแค่สองคน…”
“ท่านพี่มักซิมบอกว่าจะช่วย อย่ากังวลมากไปเลยครับ”
“ถ้างั้นอาเซียก็ทำพร้อมดิมิทรี…?”
“อ่า ไม่หรอก ดิมิทรีน่ะ…”
ยูเลียพูดแล้วก็หยุดพูดไปครู่หนึ่ง เพียงแค่นั้น อิริน่าก็ทำท่าเหมือนกับเข้าใจ
อาเซียกำลังฟังบทสนทนาของพ่อแม่อยู่อย่างนิ่งเงียบ เธอเอียงหัว
“พ่อคะ พิธีเรียกดวงวิญญาณคืออะไรเหรอคะ”
เธอเคยได้ยินชื่อมักซิมที่ยูเลียพูดถึงสองสามครั้ง
เขาคือคนที่คอยช่วยเหลือเรื่องสภาพความเป็นอยู่อันขัดสนของครอบครัวนี้อยู่บ่อยๆ ส่วนดิมิทรี บางทีน่าจะเป็นลูกชายของเขาคนนั้น
โชคดีจริงๆ ที่เขาไม่ใช่นักต้มตุ๋น
จนกระทั่งเมื่อสองปีก่อน มีหลายครั้งที่พ่อแม่ผู้ไร้เดียงสาถูกพวกพ่อค้าแม่ค้าคารมดีพูดจาล่อลวงแล้วหลงกล
ถึงแม้ว่าจะไม่มีเหตุการณ์นั้นอีกเลย หลังจากที่อาเซียวางยาถ่ายในถ้วยสตูว์ของพ่อค้า หรือก็คือนักต้มตุ๋น ที่มาหาเป็นคนล่าสุด เพื่อไล่เขาไปเมื่อปีที่แล้วก็เถอะ
“นั่นน่ะ เป็นพิธีที่เพื่อนใหม่จะมาหาเจ้าหญิงของพ่อไง”
“เพื่อนเหรอ หนูไม่ต้องการเพื่อนหรอก”
คำว่าเพื่อนทำให้อาเซียชิงพูดตัดบทขึ้นมา แต่ก็ยังช้าไปหน่อย
ดวงตาของยูเลียกับอิริน่าเริ่มมีน้ำตาคลอ
“นะ หนูไม่ต้องการจริงๆ นะ!”
“เจ้าหญิงของพ่อ…”
กระท่อมของพวกเขาอยู่ตรงชายขอบหมู่บ้านในชนบท มันเป็นกระท่อมหลังเก่า ซ้ำยังผุพัง แม้เปรียบเทียบกับบริเวณใกล้เคียงก็ยังดูแร้นแค้นอย่างเห็นได้ชัด และยูเลียกับอิริน่าที่ทำตัวสูงส่งแม้ใช้ชีวิตอยู่อย่างยากไร้ ก็คือคนที่แปลกแยกจากบริเวณโดยรอบนี้
สายตาที่หลบเลี่ยงคนทั้งสอง หลุบต่ำมองลูกสาวเพียงคนเดียวของพวกเขาโดยอัตโนมัติ เพราะอย่างนั้นอาเซียจึงไม่มีเพื่อนวัยเดียวกันที่คบหากันได้อย่างราบรื่นดีสักคน กระทั่งวันที่เธออายุครบสิบขวบแล้วก็ตาม
ยูเลียกับอิริน่าไม่ยอมแพ้ต่อความขัดสนและเหนื่อยยากเลยแม้แต่น้อย
แต่นานๆ ครั้งก็จะมีวันที่พวกเขาคิดว่า ตนเองเป็นต้นเหตุให้ลูกสาวหงอยเหงา แล้วขอบตาของพวกเขาก็มักจะรื้นไปด้วยน้ำตาแบบนี้
“พ่อคะ หนูไม่เป็นไรจริงๆ! ไม่จำเป็นจริงๆ นะ พิธีเรียกดวงวิญญาณน่ะเหรอ หนูไม่ต้องทำก็ได้นะ!”
แม้ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เมื่อเห็นบิดามารดาเป็นกังวล อาเซียก็รีบส่ายหน้าอย่างว่องไวเพราะดูท่าจะเป็นสิ่งที่ต้องใช้เงิน
ยูเลียยกตัวอาเซียที่ทำท่าทางแบบนั้นขึ้นมาเอาแก้มแนบ
“พูดแบบนั้นไม่ได้นะ พ่อต้องจัดพิธีเรียกดวงวิญญาณที่สง่างามที่สุดให้เจ้าหญิงของพ่อสิ”
“ถ้างั้น หนูอยากให้ตกแต่งด้วยดอกแดนดิไลออนสีขาวค่ะ”
“พ่อเอาดอกแดนดิไลออนร้อยดอกมาร้อยเป็นมงกุฎให้เจ้าหญิงของพ่อดีไหม ร้อยเป็นแหวนให้เข้าชุดกับมงกุฎด้วย”
คำพูดของอาเซียทำให้ยูเลียบอกว่าจะทำทั้งมงกุฎทั้งแหวน พร้อมทั้งประทับริมฝีปากลงบนแก้มของเธอ
และอาเซียไม่รู้เลย ว่าในวินาทีต่อมา บานประตูที่มีอยู่บานเดียวจะหักแล้วหลุดออกไปอย่างไร้ซึ่งสัญญาณเตือน
ไม่รู้เลย ว่าในคำว่า ‘เจ้าหญิง’ ที่ยูเลียใช้เรียกเธอ ไม่มีเรื่องโกหกอยู่แม้แต่เศษเสี้ยวเดียว
โครม!
เสียงประตูถูกเปิดโผงดังขึ้น พร้อมกันกับที่อิริน่าคว้าดาบที่เคยอยู่บนตู้ลิ้นชัก
แต่ตัวการที่พังประตู เป็นพวกคนในเครื่องแบบที่ดูเป็นประกายด้วยด้ายสีเงินและสีทอง คนพวกนี้มองดาบในมืออิริน่า แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำท่าทีรุนแรงใดๆ
“กระหม่อมเดินทางมาเพราะมีเรื่องกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อม…”
กลับกลายเป็นว่า แม้เห็นปลายดาบของอิริน่า คนพวกนั้นก็ทำเพียงแค่ควบคุมสถานการณ์อย่างนุ่มนวลเท่านั้น และในตอนที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างเสียงดังฟังชัด ยูเลียก็ขยับตัวเสียก่อน
“อะ อ๊ะ!”
ยูเลียเริ่มวิ่งตรงไปทางประตูหลังโดยโอบอุ้มอาเซียไว้ด้วย
“พะ พ่อคะ!”
อาเซียรับรู้เป็นครั้งแรกในรอบสิบปี ว่านอกเหนือจากการวาดเขียน การเล่นฟลูต และการทำอาหาร บิดาของเธอก็มีพรสวรรค์ในการวิ่งอย่างดุเดือดถึงขนาดนี้ด้วย
ยูเลียใช้ไหล่กระแทกประตูหลังบ้านออกอย่างแรงจนมันหลุดล้มลงไปบนพื้นในพริบตาเดียว คนพวกนั้นตกอยู่ในความตื่นตระหนกและหยุดชะงักไป สุดท้ายจึงปล่อยให้ยูเลียกับอาเซียซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของพ่อหลุดรอดไปได้
แต่ก็ไม่ได้ใช้เวลานานขนาดนั้นในการจับตัวคนทั้งสองอีกครั้ง
กลุ่มคนในเครื่องแบบระยิบระยับยืนล้อมบริเวณกระท่อมอยู่ก่อนแล้ว
อาเซียขยำคอเสื้อของยูเลียแน่นด้วยความรู้สึกกดดัน
นะ นี่มันเรื่องอะไรกัน ทหารเหรอ หรือตำรวจ หรืออัศวิน
“พ่อ นะ… นี่มันอะไรเหรอคะ หือ?”
“แฮ่ก อาเซีย เจ้าหญิงของพ่อ…”
“พะ พ่อคะ”
ถึงแม้จะหอบหนักเพราะวิ่งออกมาอย่างกะทันหัน แต่ยูเลียก็กอดเธอพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงรวดร้าวราวกับมีใครบาดเจ็บล้มตาย
นี่เราจะโดนจับไปหรือเปล่า ในที่สุดพระจักรพรรดิก็วางแผนจะกวาดล้างกบฏงั้นเหรอ
อาเซียกลืนน้ำลายอึกใหญ่
ยูเลียเป็นคนนิ่มนวลและไม่รู้วิธีตะโกนเสียงดังกระทั่งเวลาอยู่บ้าน
เป็นคนอารมณ์อ่อนไหวมากเสียจนทุ่มแก้วแหวนเงินทองที่มี เพื่อเรียกเหล่านักดนตรีมาบรรเลงเพลงให้ฟัง ถึงแม้สถานะความเป็นอยู่จะไม่มีจะกินอยู่แล้วก็ตาม
ทว่ามีเพียงครั้งเดียวที่ยูเลียคนนั้นอารมณ์เดือดดาลราวกับโกรธไฟลุกจนขึ้นเสียงออกมา นั่นเป็นตอนที่พูดเรื่องของพระจักรพรรดินั่นเอง
‘พระจักรพรรดิน่ะเสียสติไปแล้ว! ถ้าให้อยู่ข้างๆ เขา ฉันยอมไม่หายใจดีกว่า!’
บิดาของเธอดื่มเหล้าไม่ได้เลยสักนิด แม้แต่ได้ดื่มไวน์ที่นานๆ ครั้งจะได้รับมาจากที่ไหนสักแห่งแค่เพียงอึกเดียว ก็จะส่งเสียงโหวกเหวกวุ่นวายไปหมด มีทั้งคำเรียกที่สูงส่ง จนถึงคำพูดที่หยาบกระด้างไม่น้อยรัวยาวออกมา
ปกติแล้ว บิดามารดาของเธอมีวิถีชีวิตที่ดูโก้หรู แต่เมื่อคำนึงถึงสถานภาพครอบครัวที่ยากจนข้นแค้นจนไม่สามารถใช้ชีวิตตามนั้นได้แน่ๆ อาเซียจึงคิดมาโดยตลอดนับจากวันที่มาเกิดใหม่ว่า มองยังไง พ่อของฉันก็เป็นลูกหลานของตระกูลผู้ดีนะ คงจะทำการปฏิวัติหรืออะไรแบบนั้นแล้วถูกไล่ออกมาแน่เลย
ต้องทำยังไงล่ะ ฉันจะทำยังไงดี ต่อให้ฉันมาเกิดใหม่แล้วก็เถอะ แต่ในสถานการณ์แบบนี้จะต้องทำยังไง…!
มองไม่เห็นหนทางที่จะหลบหนีไปได้เลยแม้แต่น้อย
อาเซียอดกลั้นต่ออาการสั่นกลัว และในระหว่างที่เธอกำลังตื่นตระหนก ยูเลียก็กระชับอ้อมกอดเธอให้รัดแน่นขึ้น
คนที่ผลุนผลันเข้ามาในกระท่อมหลังนี้เป็นคนแรกสุด แหวกกำแพงมนุษย์ที่ห้อมล้อมพวกเธอทั้งสองในตอนนั้นออกแล้วโผล่มา ข้างกายเขามีอิริน่ายืนอยู่ด้วยสีหน้าสิ้นหวัง
ในตอนที่อาเซียกำลังจะเรียกอิริน่าอย่างร้อนรน เขาก็เป็นฝ่ายตะโกนขึ้นมาก่อน
“กระหม่อมมารับองค์หญิงอนาสตาเซียพ่ะย่ะค่ะ!”
ทันใดนั้น ดวงตาของอาเซียก็เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
***
“จากนี้ไปจะเริ่มเข้าสู่พิธีเรียกดวงวิญญาณของผู้สืบราชวงศ์พ่ะย่ะค่ะ องค์ชายอิลเลีย องค์ชายดิมิทรี องค์ชายวลาดิมีร์ องค์ชายลูเซียน…”
จุดที่ลึกที่สุดในพระราชวังมีพระตำหนักเล็กที่แยกห่างออกไปอย่างโดดเดี่ยว
พระตำหนักแห่งนี้มีชื่อว่าพระตำหนักสตาเดน เป็นสถานที่ที่ถูกใช้สำหรับทำ ‘พิธีเรียกดวงวิญญาณ’ ของเหล่าองค์หญิงและองค์ชายวัยเด็กผู้สืบเชื้อสายพระราชวงศ์เท่านั้น
ทางน้ำแนวยาวเป็นเส้นตรงทะลุผ่านห้องโถงและแผ่ยาวไปตามพื้น น้ำเย็นจัดราวน้ำแข็งไหลมาจากด้านนอก ทำให้เกิดความชื้นฉ่ำอันหนาวเหน็บ ตรงใจกลางสระน้ำมีห้องเล็กๆ ที่หน้าตาเหมือนห้องสารภาพบาปอยู่
เหล่าเด็กน้อยอายุราวสิบขวบรวมตัวเป็นกลุ่มกันอยู่ด้านหน้าห้องนั้น รวมถึงตัวเธอด้วย
ทุกคนล้วนเป็นเครือญาติของอาเซีย และเธอเพิ่งเคยพบเจอพวกเขาเป็นหนแรกในชีวิต
“นะ หนาว…”
“ถ้านายทนความหนาวแค่นี้ไม่ได้ จะเรียกว่าเป็นพระราชนัดดา ของพระจักรพรรดิได้งั้นเหรอ อิลเลีย”
คำพูดนั้นทำให้เด็กชายตัวเล็กเจ้าของชื่ออิลเลียที่เพิ่งเอ่ยปากออกมาว่าหนาว ตัวผงะไปด้วยความเสียกำลังใจ ในระหว่างนั้น เด็กชายคนอื่นๆ ก็พูดกระซิบกระซาบ
“จะได้ทำพันธสัญญากับดวงวิญญาณอะไรกันนะ”
“ยังเหลือเจ้าแห่งดวงวิญญาณแห่งธรณี กับเจ้าแห่งดวงวิญญาณแห่งธาราอยู่ ถ้าทำได้ดีก็…”
“ถ้าฉันทำพลาด แม่บอกว่าจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าตำหนักด้วย”
“ว่าแต่เด็กคนนั้นคือใครน่ะ”
“ดูจากที่อยู่ตรงนี้แล้ว คงเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพวกเราล่ะมั้ง”
“จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยเห็นสักครั้งเลยนะ”
“ผอมกะหร่องมากเลย ตัวบางยิ่งกว่ากิ่งไม้ซะอีก ตัวเล็กกว่าอิลเลียอีกนะ โดนตีสักทีก็คงตัวหักเลยไหมเนี่ย”
“ถ้างั้นเด็กคนนั้นจะต้องได้ทำพันธสัญญากับดวงวิญญาณแห่งกิ่งไม้แน่เลย คิกๆ”
เสียงหัวเราะคิกคักของเด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกันที่มีต่ออาเซีย ไม่ได้เข้าหูเธอเลยสักนิดเดียว
นี่มันเรื่องโกหกใช่ไหม โกหกแน่ๆ โกหกใช่หรือเปล่า
เป็นเพราะอาเซียมัวแต่ยุ่งอยู่กับการอดกลั้นเสียงกรีดร้องไว้ในใจ พร้อมกับขยำปกเสื้ออย่างเต็มแรงด้วยความกระวนกระวาย