สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - บทที่ 185 ลาก่อนนะ มหาวิทยาลัยของผม
บทที่ 185 ลาก่อนนะ มหาวิทยาลัยของผม
เวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้ว ตอนนี้แอปพลิเคชั่นเฮลท์ตี้จิ้นซีได้ดำเนินการขอความร่วมมือจากโรงพยาบาลใหญ่หลายแห่งจนเสร็จสิ้นแล้ว
ตอนนี้โรงพยาบาลขนาดใหญ่ทุกแห่งในเมืองไท่หยวนใช้แอปเฮลท์ตี้จิ้นซีนัดหมายและลงทะเบียนออนไลน์ได้แล้ว
ฉินเจิ้งได้สั่งซื้อเซิร์ฟเวอร์แบบใหม่มาใช้เพื่อความสะดวกและความราบรื่นในการใช้งานแอปพลิเคชั่น
ตอนนี้ฉินเจิ้งได้กลายเป็นผู้รับผิดชอบงานด้านเทคนิคเป็นหลัก พ่างจื่อรับผิดชอบส่วนการตลาด ส่วนฝ่ายการเงินก็มีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดูแลแล้ว
อาจกล่าวได้ว่าตอนนี้บริษัทเย่ว์เถิงเทคกำลังเติบโตขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ในวันนั้นเอง ไป๋เยี่ยก็ได้รับโทรศัพท์จากครอบครัว เถ้าแก่ไป๋กำลังจะพาคุณนายหูและเสี่ยวหลิงมาพักผ่อนที่ไท่หยวนสักพักก่อนจะเดินทางไปต่างกระเทศ
ไป๋เยี่ยลองคำนวณเวลาดูและพบว่าเขาจะไปถึงงานเลี้ยงทันเวลาพอดี
วันที่ 7 กรกฎาคม ระหว่างที่ทุกคนในสาขาบูรณาการการแพทย์แผนจีนและแผนปัจจุบันของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีต่างกำลังยุ่งอยู่กับงานของตนอยู่นั้นก็มีรถยนต์ของสถานีโทรทัศน์สองคันขับเข้ามาในมหาวิทยาลัย จากนั้นก็มีการจัดเวทีสุดอลังการขึ้นที่สนามของมหาวิทยาลัย
ตอนนี้ทุกรายการการแสดงถูกจัดลำดับขึ้นแสดงไว้อย่างเป็นระบบแล้ว ซึ่งคงต้องกล่าวว่าเป็นเพราะความช่วยเหลือจากผู้กำกับของสถานีโทรทัศน์เสียส่วนใหญ่
ไฮไลต์ที่ทุกคนต้องเน้นในการแสดงแต่ละรายการก็ได้รับการจัดแจงไว้เป็นอย่างดี
ในส่วนของเครื่องแต่งกายจะต้องรอการตัดสินใจจากผู้เชี่ยวชาญเสียก่อน
ตอนนี้ทุกคนต่างมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ไป๋เยี่ยไปรับครอบครัวของเขามาเมื่อวันก่อน พร้อมกับจองโรงแรมใกล้ๆ ให้ ซึ่งไป๋เยี่ยเองก็ไปนอนที่โรงแรมเหมือนกัน จะได้พาพ่อแม่และไป๋หลิงเดินเที่ยวรอบๆ ได้ง่าย
เมื่อไป๋เยี่ยพาครอบครัวของเขามาหาพ่างจื่อ เจ้าหมอนั่นก็ดูเหมือนจะเก็บอาการไม่ค่อยอยู่
“สวัสดีครับพ่อ สวัสดีครับแม่! แล้วก็…หลิงเอ๋อร์ นี่พี่ชายของเธอเองนะ”
คำทักทายของพ่างจื่อทำให้ทั้งสามคนทำตัวไม่ถูก โชคดีที่พวกเขารู้ว่าพ่างจื่อเป็นเพื่อนรักของไป๋เยี่ย จึงได้แต่หัวเราะกับคำทักทายนั้น
จากนั้นทั้งสามคนก็ไปที่บริษัทเย่ว์เถิงเทค ไป๋ตงหลินรู้สึกภูมิใจเมื่อได้เห็นว่าบริษัทของลูกชายเขาไปได้ดีแค่ไหน ในขณะที่คุณนายหูเองก็ภูมิใจไม่แพ้กันที่เห็นลูกชายของเธอโตขึ้นสักที
วันนี้ตรงกับวันจัดงานเลี้ยงรับปริญญาที่มหาวิทยาลัยพอดี ไป๋เยี่ยจึงพาครอบครัวของเขามาชมแสงสีบนเวที รวมถึงป้ายขนาดมหึมาที่มีข้อความเขียนไว้ว่า ‘บริษัทเย่ว์เถิงเทค ขออวยพรให้ผู้สำเร็จการศึกษาในปี 2017 ทุกคนมีอนาคตที่สดใส!’ ในมหาวิทยาลัยด้วยกัน มันให้ความรู้สึกประสบความสำเร็จอย่างบอกไม่ถูกเลย
แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ถึงเวลางานเลี้ยง แต่ก็เริ่มมีผู้คนมากมายรวมถึงนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอื่นทยอยเข้ามาในงานบ้างแล้ว ต่างคนต่างมองไปยังเวทีสูงโดดเด่นด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความตื่นเต้น
“โห อลังการจริงๆ ด้วย ถึงขั้นเชิญสถานีโทรทัศน์มาจัดงานเลี้ยงได้คงรวยมากจริงๆ!”
“ใครบอกว่ามหา’ลัยนี้จน ฉันว่าตอนนี้พวกเราดูจนกว่าอีกนะ”
“นี่ ไม่รู้เหรอว่าบริษัทเย่ว์เถิงที่มาเป็นสปอนเซอร์ให้น่ะมีเจ้าของเป็นนักศึกษาแพทย์ ค่าตัวเขาตอนนี้ก็คงมีมูลค่าเป็นล้านหยวนแล้ว แถมยังขับรถบีเอ็มเอ็กซ์ไฟฟ์ด้วย เงินแค่นี้จิ๊บจ๊อย!”
การเข้ามามีส่วนร่วมของสถานีโทรทัศน์ ทำให้งานเลี้ยงหรูหราอลังการมาก อีกทั้งไฮไลต์ของการแสดงแต่ละรายการยังช่วยทำให้งานเลี้ยงมีสีสันยิ่งขึ้นไปอีกไอรีนโนเวล
ทุกคนต่างใช้เวลาในค่ำคืนแสนพิเศษนี้อย่างสนุกสนานและเพลิดเพลิน งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ได้กลายเป็นความทรงจำที่ไม่มีวันลืมลงของย่านมหาวิทยาลัยไปแล้วโดยไม่ต้องสงสัย
ในช่วงท้ายของการแสดง มีการร้องเพลงประสานเสียงกัน ไป๋เยี่ยและพ่างจื่อจึงขึ้นไปร่วมวงด้วย
ทุกคนประสานเสียงกันร้องเพลง ‘Friends‘ ได้อย่างกินใจ จนเมื่อเพลงจบลง บรรดานักศึกษาทั้งชายและหญิงต่างก็พากันร้องห่มร้องไห้จนเมคอัพหลุดออกมาด้วย
เช้าวันรุ่งขึ้น ไป๋เยี่ยก็ไปส่งพ่อแม่และหลิงเอ๋อร์ขึ้นเครื่องบินไปที่เมืองหลวงเพื่อที่จะเดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกาต่อ
ไป๋เยี่ยไม่ได้ตามพวกเขาไป เดิมทีเขาคิดว่าฉากอำลากันเพียงฉากเดียวก็มากพอแล้ว แต่ก็น่าเศร้าที่ช่วงรับปริญญาก็อยู่ในเดือนกรกฎาคมเหมือนกัน
งานเลี้ยงจบลงแล้ว ทุกคนกำลังจะเรียนจบ
เราทุกคนกำลังจะเดินออกจากมหาวิทยาลัยที่เราใช้เวลาร่วมกันมานานถึงห้าปี และพร้อมจะมุ่งหน้าสู่เวทีแห่งชีวิต
สองวันมานี้ พ่างจื่อและไป๋เยี่ยรับหน้าที่ผลัดกันขับรถพาเพื่อนๆ ไปส่งที่บ้าน โชคดีที่พ่างจื่อซื้อรถคันใหม่มาพอดี
ทางมหาวิทยาลัยจะเริ่มเคลียร์นักศึกษาออกในวันที่ 11 กรกฎาคมนี้แล้ว ไป๋เยี่ยและพ่างจื่อจึงเป็นสองคนสุดท้ายที่เดินออกมาจากมหาวิทยาลัย ทั้งคู่หันกลับไปมองทางเดินที่เคยมีเสียงพูดคุยเสียงดังจอแจซึ่งบัดนี้ไม่มีเงาของผู้คนเหล่านั้นหลงเหลืออีกต่อไปแล้ว
เพื่อนร่วมชั้นแต่ละคนต่างก็ต้องออกเดินทางไปตามเส้นทางของตนเองทั้งนั้น
ทำเอาไป๋เยี่ยและพ่างจื่ออดเศร้าใจไม่ได้
บางคนบอกว่าที่คุณไม่รู้สึกเศร้าตอนเรียนจบนั้น ไม่ใช่เพราะคุณไม่เศร้า แต่เพราะการจากลาก็เหมือนเหล้า ที่จะมีรสชาติเข้มข้นขึ้นเมื่อวันเวลาผ่านไปนานดั่งความรู้สึกของคนเรา
หลายปีผ่านไป คุณอาจจะกลับมานั่งร้องไห้กับภาพวันจบการศึกษาก็ได้
หลังจากที่ไป๋เยี่ยและพ่างจื่อทำความสะอาดหอพักแล้ว พวกเขาก็มองดูหอพักที่พวกเขาอยู่ด้วยกันมาห้าปีเป็นครั้งสุดท้าย และเอ่ยขึ้นเบาๆ “ลาก่อนนะ มหาวิทยาลัยของผม…”
หลังจากที่เรียนจบ ไป๋เยี่ยก็แทบไม่มีเวลาให้เศร้าเลย เพราะเขาต้องรีบออกเดินทางไปเมืองหลวง ตอนนี้เขามีภารกิจมากมายที่ต้องทำให้เสร็จก่อนที่จะเปิดเทอมในเดือนกันยายน
ส่วนเรื่องบริษัทเย่ว์เถิงเทคนั้น ตอนนี้กำลังไปได้สวยเลยทีเดียว ทำให้ไป๋เยี่ยไม่มีเรื่องต้องห่วงทางนั้นเลย ในขณะเดียวกัน พ่างจื่อก็เริ่มเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ
วันที่ 13 กรกฎาคม ไป๋เยี่ยเดินทางมาพบถังฮั่นที่สำนักงานของบริษัทน่าย่าในปักกิ่ง
การตั้งบริษัทผลิตอาหารหนูแห่งใหม่ใช้เวลาไม่นานนัก มีทั้งบริษัทในเครือ ทั้งขั้นตอนการอนุมัติที่รวดเร็ว รวมถึงกำลังคนและอุปกรณ์ที่เพียบพร้อม
คาดว่าบริษัทใหม่จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน ซึ่งไป๋เยี่ยไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอิทธิพลของถังฮั่นเลย
จุดประสงค์ในการมาที่สำนักงานใหญ่ของน่าย่าของไป๋เยี่ยครั้งนี้คือเขาต้องการใช้ห้องแล็บของน่าย่า
เพราะที่นี่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าเกือบหมื่นล้านหยวน อุปกรณ์ในห้องแล็บของน่าย่าจึงมีความทันสมัยและครบครันกว่าที่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีน
ในฐานะที่ถังฮั่นเป็นถึงประธานบริษัท เขาจึงไม่ต้องลงมือทำอะไรมาก เพราะว่ามีคนคอยจัดการเรื่องต่างๆ ให้เขาหมดแล้ว เมื่อไป๋เยี่ยเดินทางมาถึงปักกิ่ง เขาก็ไม่ได้พาไป๋เยี่ยไปดินเนอร์ที่โรงแรมแต่อย่างใด กลับกัน เขาเลือกที่จะพาไป๋เยี่ยไปกินอาหารเย็นฝีมือภรรยาของเขาที่บ้านแทน
ถังฮั่นมีลูกสาวอายุเก้าขวบอยู่คนหนึ่ง เธอเป็นเด็กที่น่ารักสมวัยมาก ส่วนภรรยาของเขาชื่อว่าหลูอวี่ เธอเป็นคนเจ้อเจียง จึงทำอาหารสไตล์หางโจวเก่งมาก
การขอใช้งานห้องแล็บนั้นง่ายมาก วันรุ่งขึ้นถังฮั่นจึงพาไป๋เยี่ยไปที่อาคารทดลองหลักของบริษัท และฝากให้ เจียวเจิ้งเต๋อซึ่งเป็นผู้ดูแลอาคารทดลองดูแลไป๋เยี่ยแทน
ระหว่างทางไปห้องแล็บ จู่ๆ เจียวเจิ้งเต๋อก็หันมาส่งยิ้มให้ไป๋เยี่ย “คุณถังให้ความสำคัญกับคุณถึงขั้นพาคุณมาที่นี่เลยนะ”
ไป๋เยี่ยถามกลับอย่างสงสัย “หัวหน้าเจียวครับ ผมเห็นว่าในห้องทำงานของคุณมีหนังสือเกี่ยวกับสัตว์ทดลองเยอะมากเลย คุณทำงานด้านนี้ด้วยเหรอครับ”
เจียวเจิ้งเต๋อยิ้ม “ผมเคยเป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยเกษตรแห่งชาติเมื่อปี 2015 ครับ เพิ่งมาทำงานที่นี่ได้ไม่ถึงสามปี”
เขาพูดต่อ “ในห้องแล็บมีคนที่จบการศึกษาจากสถาบันชั้นนำในประเทศมากมาย ถ้าคุณมีคำถามอะไรก็ลองพูดคุยกันได้นะครับ สิ่งสำคัญในการทำงานด้านวิทยาศาสตร์คือการให้ความร่วมมือแก่กันมากกว่าการมุ่งมั่นทำงานวิจัยอีกนะครับ ห้องแล็บที่คุณจะใช้น่าจะเป็นห้องสร้างแบบจำลองสินะ เดี๋ยวผมจะแนะนำให้คุณรู้จักกับอาจารย์เอง”
ไป๋เยี่ยไม่ถนัดเรื่องการทำแบบจำลองจริงๆ มันคงจะง่ายขึ้นมากถ้าเขามีอาจารย์มาคอยช่วยชี้แนะ เขาจึงหยักหน้าตอบเจียวเจิ้งเต๋อทันที “รบกวนด้วยครับ”
เจียวเจิ้งเต๋อโบกมือ “ไม่มีปัญหาครับ”