สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 94 กำไลข้อมือไม้จันทน์
บทที่ 94 กำไลข้อมือไม้จันทน์
บทที่ 94 กำไลข้อมือไม้จันทน์
“ลูกจะไปสนใจลู่ฉิวเยว่ทำไมนักหนา? ลูกก็รู้ว่าเธอได้รับการคุ้มครองจากฉินซือ แล้วพ่อแม่ของเขาก็ชอบเธอมาก แค่นี้ลูกยังทำให้พ่อแม่ขายหน้าไม่พออีกเหรอ?” คนเป็นแม่รู้สึกทุกข์ใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว
“หนูไม่สน หนูไม่สน!” จ้าวซูซินไม่สนใจคำพูดของผู้เป็นแม่และอาละวาดต่อไป
พ่อของเธอเดินขึ้นมาเห็นพอดี เขามีสีหน้าเป็นกังวล เมื่อเห็นสภาพของลูกสาวที่อยู่บนเตียง เขาก็รู้สึกปวดหัวจริง ๆ
หลังจากนั้น คนเป็นพ่อก็พูดอย่างเยือกเย็นว่า “กินข้าวก่อนเถอะ พ่อสัญญาว่าจะจัดการให้ แต่ครั้งนี้แค่ครั้งเดียวนะ”
ครั้งนี้เขาไม่มีทางเลือกจริง ๆ ถ้าลูกสาวของเขายังไม่กินอาหารต่อไป ก็คงต้องเป็นลมเพราะความหิวโหยแน่ ๆ จ้าวซูซินเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวที่เขารักมากที่สุด และเขาทนไม่ได้ที่เห็นเธอต้องทุกข์ทรมานแบบนี้
เมื่อได้ยินดังนั้น ริมฝีปากของจ้าวซูซินที่ซ่อนอยู่ใต้หมอนก็ยิ้มออกมาทันที
ครั้งนี้แหละ เธอจะต้องทำให้นางแพศยาลู่ฉิวเยว่ล่มจมให้ได้ มาดูกันเถอะว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง ยัยนั่นยังจะอวดดีได้อีกไหม
แล้วคนหัวสูงอย่างฉินซือจะไปชอบลู่ฉิวเยว่ที่ยากจนและไร้ประโยชน์ต่อไปหรือไม่? ไม่มีทางอยู่แล้ว!
เมื่อเวลานั้นมาถึง จ้าวซูซินก็มั่นใจว่าเขาต้องกลับมายืนเคียงข้างเธอ
เมื่อคิดว่าฉินซือจะกลายมาเป็นแฟนของเธอ จ้าวซูซินก็มีความสุขยิ่งนัก
ลู่ฉิวเยว่ไม่รู้เลยว่ากำลังจะมีปัญหาใหม่เกิดขึ้นแล้ว ในเวลานี้ เธอกำลังเดินช้า ๆ ดูของในตลาดขายของเก่า
เธอรู้จักตลาดแห่งนี้จากการมาคุยธุรกิจเมื่อสองวันก่อน และลู่ฉิวเยว่ก็แทบรอไม่ไหวแล้วที่จะได้สำรวจว่าในตลาดแห่งนี้มีของดีอะไรซ่อนอยู่บ้าง
สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นเฟอร์นิเจอร์มือสอง เช่นเดียวกับผลงานศิลปะโบราณ สิ่งของทุกอย่างถูกปูพื้นขายอยู่ข้างทาง ร้านไหนเป็นของดีหน่อยก็จะมีโต๊ะมาตั้งไว้อย่างเป็นทางการ
“คุณผู้หญิง สนใจชมดูสินค้าไหมครับ?”
เมื่อลู่ฉิวเยว่เดินไปหยุดยืนอยู่หน้าแผงขายของเล็ก ๆ เจ้าของร้านก็รีบเข้ามาต้อนรับด้วยความกระตือรือร้น
ลู่ฉิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นสูง เธอพยักหน้าพร้อมกับส่งยิ้มและยืนอยู่ที่เดิม
เจ้าของร้านเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณ 50 ปี ท่าทางเป็นคนง่าย ๆ เขามีรอยยิ้มจริงใจ ถ้าลู่ฉิวเยว่ไม่ได้สังเกตดี ๆ เธอก็ไม่มีทางมองเห็นแววตาเจ้าเล่ห์ในดวงตาของเขาเลย
“ขอดูของชิ้นนี้หน่อยค่ะ” เธอชี้กำไลข้อมือที่แกะสลักจากไม้ชิ้นหนึ่งที่วางอยู่บนมุมแผง
ดวงตาของพ่อค้าเป็นประกาย พร้อมกับยิ้มอย่างใจดี “คุณผู้หญิงชอบชิ้นนี้หรือครับ?”
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า “ใช่แล้วค่ะ ท่าทางน่าจะเป็นของดี ไม่ทราบว่าทำมาจากไม้อะไรเหรอคะ?”
ทำมาจากไม้อะไรล่ะ? ก็แค่เศษไม้ชิ้นหนึ่งเท่านั้นเอง
ดวงตาของพ่อค้าเป็นประกายระยิบระยับต่อไป เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้น่าจะไม่มีความรู้เรื่องของโบราณแม้แต่นิดเดียว เธอน่าจะแค่มาเดินดูสินค้าเล่น ๆ เท่านั้น
“เป็นกำไลไม้หนานมู่ครับผม พวกคุณหนูตระกูลใหญ่ในอดีตเขานิยมใส่กัน คุณผู้หญิงนี่ตาดีจริง ๆ ผมเห็นว่าวันนี้เรามีวาสนาต่อกัน ผมจะขายให้ 80 หยวนแล้วกันครับ”
เมื่อได้ยินคำตอบจากพ่อค้า ลู่ฉิวเยว่ก็หัวเราะออกไปทันที “กำไลไม้หนานมู่เนี่ยนะคะ? คุณพ่อค้า อย่ามาหลอกฉันเลย ฉันเคยเห็นกำไลไม้หนานมู่ของจริงของเพื่อนฉันมาแล้ว ของคุณน่ะมันเป็นแค่กำไลไม้ธรรมดา ตั้งราคาแบบนี้มันถูกต้องแล้วหรือคะ?”
เมื่อเธอพูดจบ ลู่ฉิวเยว่ก็หมุนตัวกำลังจะเดินหนี แต่เมื่อพ่อค้าเห็นว่าเงินกำลังจะบินหนีไป เขาก็รีบเดินออกมาทันที
พ่อค้าเดินมาดึงแขนลู่ฉิวเยว่พร้อมกับพูดว่า “นี่! คุณผู้หญิง คุณพูดอะไรของคุณ!”
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะในลำคออย่างเย็นชา เธอสะบัดมือของเขาออกไป ก่อนจะชี้ไปที่กำไลไม้และพูดว่า “ลองทบทวนดูใหม่นะคะว่ากำไลชิ้นนี้ควรมีราคาเท่าไหร่?”
เธอมีสีหน้าขึงขัง ราวกับว่าถ้าพ่อค้าพูดผิด เธอก็พร้อมจะเดินหนีไปได้ทันที
“ก็ได้ครับ ก็ได้ ผมยอมคุณแล้ว คุณผู้หญิง ผมจะขายให้คุณ 30 หยวน ถือว่าผมยอมขาดทุนนิดหน่อยก็แล้วกัน” พ่อค้าโบกไม้โบกมือ เหมือนกับว่าต้องจำใจขายให้เธอ
“ขาดทุนเหรอคะ?” ลู่ฉิวเยว่หัวเราะออกมาอีกครั้ง สายตาของเธอดูจะมองทุกอย่างออกหมดแล้ว “ก็แค่กำไลไม้เก่า ๆ ต่อให้ขาย 2 หยวนก็ยังถือว่าได้กำไรอยู่ดี ถ้าคุณโกหกแบบนี้อีก ฉันจะไม่ซื้อแล้ว!”
“อย่าเพิ่งไปครับ อย่าเพิ่งไป!” พ่อค้าไม่ยอมให้เธอไปง่าย ๆ แต่ตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าลู่ฉิวเยว่ไม่ใช่คนที่จะหลอกได้ง่าย ๆ เหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากพูดว่า “งั้นผมขาย 2 หยวนก็ได้”
ถึงอย่างไรกำไลชิ้นนี้เขาก็ซื้อมาในราคาไม่กี่เหมาเท่านั้น ถึงจะขายได้แค่ 2 หยวน แต่ก็ถือว่าได้กำไรมากแล้วจริง ๆ
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “จริงใจแบบนี้แต่แรกก็จบไปแล้วค่ะ!”
หลังจากพูดจบ เธอก็จ่ายเงินและเดินออกมาพร้อมกับกำไลไม้
หลังจากเดินออกมาได้พักหนึ่ง เมื่ออยู่พ้นระยะสายตาของพ่อค้า หญิงสาวก็นำกำไลออกมาจากในกระเป๋า
มันเป็นกำไลไม้ประดับลูกปัดสวยงาม พื้นผิวเรียบเนียนสะท้อนประกายกับแสงตะวัน
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่กำไลไม้หนานมู่โบราณอย่างที่พ่อค้าพูด แต่มันก็ไม่ใช่กำไลไม้ทั่วไปเช่นกัน เพราะมันคือกำไลไม้จันทน์ เป็นหนึ่งในสุดยอดเครื่องประดับยุคโบราณ
ในยุคสมัยหลังจากนี้ กำไลไม้จันทน์ชนิดนี้สามารถขายได้ชิ้นละ 5,000 – 6,000 หยวน แต่เธอคิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะซื้อมาได้ในราคาแค่ 2 หยวนเท่านั้น
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มอย่างมีความสุข เธอเดินดูของในตลาดอย่างแจ่มใสมากขึ้น จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดินย้อมท้องถนนกลายเป็นสีแดง เธอถึงค่อยเดินกลับบ้าน
เมื่อเธอเปิดประตูเข้าไปในบ้าน ก็พบผู้เป็นแม่กำลังนั่งหน้าเศร้าอยู่ด้านใน
“ทำไมลูกถึงซื้อเฟอร์นิเจอร์กลับมามากมายขนาดนี้? ในห้องนั่งเล่นแทบไม่มีที่ให้คนนั่งอีกแล้วเนี่ย”
เมื่อได้ยินคนเป็นแม่บ่น ลู่ฉิวเยว่ก็ได้แต่ยกมือเกาหัวอย่างจนปัญญา วันนี้เธอเจอเฟอร์นิเจอร์ไม้มะฮอกกานีคุณภาพดีจากในตลาดขายของเก่า และสามารถซื้อหามาได้ในราคาที่ถูกมาก เธอก็เลยขอให้เจ้าของร้านช่วยนำมาส่งให้ที่บ้าน
ลู่ฉิวเยว่ซื้อมาโดยลืมนึกไปว่าห้องนั่งเล่นของบ้านเธอ มีพื้นที่ไม่มากพอสำหรับเฟอร์นิเจอร์พวกนั้น
“แต่เป็นของที่ใช้ประโยชน์ได้หมดเลยนะคะ เดี๋ยวอีกไม่กี่วันหนูจะเอาออกไปเอง” ลู่ฉิวเยว่เดินเข้าไปยิ้มประจบแม่ เพราะกลัวว่าแม่จะดุเอาอีก
สิ่งที่ลู่ฉิวเยว่หวาดกลัวมากที่สุดก็คือการบ่นจากแม่ของเธอเอง เพราะท่านจะทำให้เธอปวดหัวได้ไม่ต่างจากพระถังซัมจั๋งท่องบทสวด
“ตามใจแล้วกัน”
คนเป็นแม่พยักหน้าเล็กน้อย เธอรู้ดีว่าเวลาลูกสาวทำสิ่งใดย่อมมีจุดประสงค์ที่แน่ชัด ดังนั้นเธอจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ก่อนจะหันกลับไปหั่นผักในครัวต่อ
ลู่ฉิวเยว่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ตกกลางคืน ทั้งครอบครัวมารวมตัวรับประทานอาหารค่ำ ฉินซือก็มาอยู่ที่นี่ด้วย
แม่ของลู่ฉิวเยว่รู้ว่าเขาเป็นคนเลือกกิน และเพราะว่าเขาเป็นคนรักของลูกสาวเธอ เธอจึงอนุญาตให้เขามาร่วมรับประทานอาหารด้วยตลอดมา
นอกจากเรื่องนี้จะทำให้ฉินซือดีใจแล้ว เลขาหวังก็ดีใจไม่แพ้กัน เขาติดตามฉินซือมารับประทานอาหารในทุก ๆ วัน จนได้รับสิทธิ์ให้เข้าบ้านตระกูลลู่ได้โดยปริยาย
“หมูตุ๋นอร่อยมากเลยครับ” เลขาหวังรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อมีน้ำซุปหมูตุ๋นรสกลมกล่อมถึงเพียงนี้ เขาก็อยากจะรับประทานข้าวเพิ่มอีกสักสองถ้วย
“งั้นก็ทานได้เต็มที่เลยค่ะ” ลู่ฉิวเยว่ยิ้มรับอย่างอบอุ่น
ฉินซือพยักหน้า ก่อนจะพูดด้วยความประหลาดใจ “ดูเหมือนฝีมือทำอาหารของคุณจะดีขึ้นเยอะเลยนะ”
เพราะว่าทันทีที่เขาเดินเข้ามาในบ้าน ชายหนุ่มก็ได้กลิ่นหมูตุ๋นหอมหวลอยู่ในอากาศ เพียงแค่สูดดมเข้าไป ร่างกายของเขาก็รู้สึกสดชื่นแล้ว
และเมื่อได้รับประทานหมูตุ๋นของเธอ มันก็นุ่มเสียจนละลายในปาก ชวนให้รับประทานได้ไม่รู้เบื่อ
ลู่ฉิวเยว่ได้ยินดังนั้นก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น นี่เป็นสูตรใหม่ที่เธอได้จากระบบ ตอนที่เธอลองทำกินเองเมื่อไม่กี่วันก่อน เธอพบว่ามันอร่อยมาก จึงอยากจะให้ทุกคนได้ลองชิมเช่นกัน
ลู่ฉิวเยว่เชื่อว่าตราบใดที่เธอมีเมนูใหม่ไปขายในร้านอาหารอยู่เสมอ เมนูเหล่านั้นก็จะกลายเป็นเอกลักษณ์ในร้านอาหารของเธอ แล้วพวกมันก็จะทำให้ร้านของเธอมีลูกค้าประจำเป็นจำนวนมาก