สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 90 เธอจะมาปั่นหัวฉันหรือไง?
บทที่ 90 เธอจะมาปั่นหัวฉันหรือไง?
บทที่ 90 เธอจะมาปั่นหัวฉันหรือไง?
ช่างเถอะ ปล่อยพวกท่านไป
แต่เธอก็ยังอดเป็นห่วงพ่อแม่ไม่ได้ พวกท่านอายุเยอะแล้ว แข้งขาก็ไม่ค่อยดี เธอกลัวว่าพ่อแม่จะเอาแต่ขายของจนลืมทานข้าว ดังนั้นลู่ฉิวเยว่จึงสั่งให้พวกท่านกลับบ้านและพักผ่อนก่อน 11 โมงเช้า หลังจากนั้นค่อยออกไปขายใหม่ตอน 15:30 น.
ถ้าไม่ใช่วันตรวจตลาดที่จะมีคนน้อยมากกว่าปกติ ตามข้างทางก็จะมีผู้คนสัญจรผ่านมากมาย สองสามีภรรยาจึงตัดสินใจไปตั้งรถเข็นขายเมล็ดแตงโมทอดที่นั่น
แล้วลู่ฉิวเยว่ก็ต้องประหลาดใจ เมล็ดแตงโมทอดขายหมดในเวลาเพียงไม่กี่วัน ตอนแรก เธอทำเมล็ดแตงโมทอดเอาไว้ไม่กี่ร้อยห่อ หวังจะให้พ่อแม่นำไปทยอยขายได้หลายวัน แต่กลับปรากฏว่าในช่วงหลัง พ่อแม่ของเธอสามารถขายได้ 200 ห่อในเช้าวันเดียวเท่านั้น แถมยังมีลูกค้ามาถามหาอีกเป็นจำนวนมาก
แม่ของลู่ฉิวเยว่ไม่แน่ใจว่าลูกสาวได้เตรียมของเอาไว้แล้วหรือยัง ดังนั้นเธอจึงบอกลูกค้าไปว่าเมล็ดแตงโมทอดส่วนที่เหลือยังอยู่ที่บ้าน แล้วเธอจะนำกลับมาขายอีกอย่างแน่นอน
“แม่ค้าจ๊ะ คุณพูดคำไหนคำนั้น อย่ามาหลอกกันนะ” ลูกค้าหญิงคนหนึ่งถึงกับมายืนเกาะรถเข็นขายเมล็ดแตงโมทอด ไม่ยอมจากไปง่าย ๆ
น่าจะเป็นเพราะว่าเมล็ดแตงโมทอดของร้านนี้มีกลิ่นหอมและรสชาติหวานกลมกล่อม เวลารับประทานแล้วก็จะรู้สึกจิตใจสงบสดชื่น ลูกค้าหญิงคนนี้คือลูกค้าประจำ เธอมาซื้อรับประทานทุก ๆ วัน แต่ในเมื่อวันนี้แม่ค้าบอกว่าเมล็ดแตงโมทอดหมดแล้ว นั่นก็เท่ากับเป็นการฆ่าเธอชัด ๆ!
ถ้าเธอไม่ได้กินเมล็ดแตงโมทอดของร้านนี้ เธอก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่อีกทำไมแล้ว!
แม่ของลู่ฉิวเยว่รีบพยักหน้าและพูดเกลี้ยกล่อมว่า “ฉันไม่โกหกแน่นอน อีกไม่กี่วันก็กลับมาขายใหม่ แล้วฉันจะขายให้คุณเป็นคนแรกเลย”
ตกกลางคืน ในบ้านของตระกูลลู่ ทุกคนกำลังกินมื้อค่ำด้วยกัน แม่ของลู่ฉิวเยว่เล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น
ลู่ฉิวเยว่ถึงกับตกใจไม่น้อย ในเมื่อลูกค้าชื่นชอบเมล็ดแตงโมทอดของเธอถึงขนาดนี้ เธอก็พิจารณาที่จะทำออกมาขายในจำนวนมาก
เช้าวันต่อมา เธอไปที่ตู้โทรศัพท์และโทรไปหาคุณลุงของเธอ บอกให้ท่านช่วยแจ้งชาวบ้านให้เก็บเมล็ดแตงโมมาขายให้เธอได้เลย
ข้อแม้เดียวก็คือต้องเป็นเมล็ดแตงโมที่สดใหม่เท่านั้น
คุณลุงของเธอเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน เมื่อได้ยินว่าลู่ฉิวเยว่กำลังจะช่วยเหลือให้ชาวบ้านมีรายได้ เขาก็ไม่สามารถดีใจได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว คุณลุงพยักหน้าและรับปากว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้เป็นอย่างดี
ลู่ฉิวเยว่กำลังจะรับซื้อเมล็ดแตงโมเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเธอจึงต้องหาโกดังเก็บของและสถานที่สำหรับทอดเมล็ดแตงโม แต่ตอนนี้เธอยังหาทำเลที่เหมาะสมไม่ได้
ในขณะที่กำลังคิดถึงเรื่องนี้ ลู่ฉิวเยว่ก็ได้เห็นข่าวจากโทรทัศน์ที่ตั้งอยู่ในร้าน ปรากฏว่าเป็นข่าวการจับกุมขบวนการลักลอบขนของเถื่อน เธอนึกว่าเรื่องราวนี้จะจบลงไปแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะกลับขึ้นมาเป็นข่าวอีกครั้ง
“คุณฉินผู้เป็นเจ้าของบริษัทหมิงเซิงได้แสดงความกล้าหาญออกมาอย่างน่าชื่นชม ด้วยการช่วยตำรวจจับกุมขบวนการลักลอบขนของเถื่อน…” พ่อของฉินซือกำลังนั่งอ่านเนื้อหาข่าวที่อยู่ในหนังสือพิมพ์ออกมาดัง ๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่บนโซฟา “ฉินซือได้ลงหนังสือพิมพ์ด้วย…น่าชื่นชมจริง ๆ! สมแล้วที่เป็นลูกชายของฉัน!”
แม่ของฉินซือหัวเราะในลำคอเล็กน้อย “นั่นเป็นความดีความชอบของฉิวเยว่ไม่ใช่หรือไง? จริงด้วยสิ ฉันไม่ได้เจอเด็กคนนี้นานแล้ว พวกเราอาศัยโอกาสนี้นัดกินข้าวกันเถอะ”
ฉินซือรีบโทรไปหาลู่ฉิวเยว่ทันที
ในเวลาเดียวกันนี้ พ่อของฉินซือก็ได้รับโทรศัพท์แสดงความยินดีเรื่องราวของลูกชายอย่างต่อเนื่อง และด้วยเหตุนี้เอง ภาพลักษณ์ของตระกูลฉินจึงมีความสง่างามมากขึ้น กิจการห้างสรรพสินค้าของพวกเขาเติบโตมากขึ้น ทุกอย่างเป็นไปอย่างสวยงาม
พ่อของฉินซือกำลังใช้ความคิด ลู่ฉิวเยว่เป็นดาวนำโชคจริง ๆ สมควรแต่งงานกับลูกชายของเขาโดยเร็วที่สุด
ฉินซือไม่รู้ความคิดของผู้เป็นพ่อ เขากำลังโทรศัพท์ชวนให้ลู่ฉิวเยว่ไปรับประทานอาหารด้วยกัน
“ทำไมต้องไปกินข้างนอกด้วยคะ? แพงจะตาย เดี๋ยวฉันทำให้กินเองดีกว่า” ลู่ฉิวเยว่หยิบเมนูของร้านตัวเองออกมา “ฉันจะไปซื้อผักเตรียมทำอาหารเอาไว้ อีกอย่าง เรากินข้าวกันที่บ้านก็สะดวกสบายกว่าออกไปกินข้างนอกตั้งเยอะ”
“เอาแบบนั้นก็ได้ เดี๋ยวผมไปบอกพ่อแม่ก่อนนะ”
เมื่อพ่อแม่ของชายหนุ่มได้ยินดังนั้น พวกท่านก็พยักหน้าตกลงอย่างไม่มีปัญหา
เมื่อเห็นการตอบรับของพ่อแม่ ฉินซือจึงไม่มีทางเลือกนอกจากพยักหน้าตามพวกท่าน
คืนวันต่อมา ฉินซือพาพ่อแม่ของตนเองมาที่บ้านตระกูลลู่ ผู้อาวุโสทั้งสี่ท่านพูดคุยกันอย่างถูกคอ ในขณะที่ฉินซือเดินเข้าไปช่วยงานในครัว
“ผมตั้งใจจะเลี้ยงฉลองให้คุณ แต่กลับหางานมาให้คุณซะได้”
ลู่ฉิวเยว่หยิบเครื่องเทศออกมาวางไว้บนโต๊ะ เธอยิ้มตอบเขาว่า “แค่ทุกคนมีความสุขก็ดีแล้วค่ะ ทำไมต้องเป็นกังวลด้วย? ไม่เป็นไร ไปหยิบกระเทียมมาให้ฉันหน่อยสิ”
ฉินซือรีบทำตามคำสั่งของเธออย่างรวดเร็ว การที่ทั้งสองครอบครัวมาเจอกันอย่างนี้ ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนเองกับลู่ฉิวเยว่ได้กลายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว
เขาส่งกระเทียมที่หั่นเรียบร้อยแล้วให้กับหญิงสาว เขาพูดคุยกับเธออยู่ตลอดเวลา หยอกเย้าลู่ฉิวเยว่บ้างเป็นบางที ทำให้เธอหน้าแดงขึ้นมาเป็นระยะ
ลู่ฉิวเยว่คิดว่าเขาชอบมาก่อกวน ไม่นานเธอก็ไล่เขาออกไปจากครัว
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
“เรียบร้อยแล้วค่ะ! เชิญกินกันได้เลย!” ลู่ฉิวเยว่วางจานอาหารทั้งหมดลงบนโต๊ะ ก่อนจะเรียกพ่อแม่ของทั้งสองครอบครัวมารับประทานอาหารค่ำ
ฉินซือคอยรินเครื่องดื่มให้ทุกคน
เนื้อแกะตุ๋นที่ลู่ฉิวเยว่ทำในวันนี้มีกลิ่นหอมมาก มันเป็นเนื้อแกะสดใหม่นุ่มลิ้น เวลากัดลงไปก็แทบจะละลายในปาก กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเนื้อแกะแตกกระจาย ทำให้ผู้คนรู้สึกตกตะลึง
“อร่อยจังเลย!” ฉินซือชื่นชมออกมา
นี่คือเนื้อแกะตุ๋นที่อร่อยที่สุดเท่าที่เขาเคยรับประทาน แม้แต่เชฟจากโรงแรมดังที่ครอบครัวเขาเชิญให้มาทำอาหารก็ยังมีฝีมือไม่อร่อยถึงขนาดนี้
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อได้ยินเสียงคะแนนเพิ่มขึ้นในหัวของตัวเองจากระบบ ตราบใดที่เขาชอบอาหารของเธอ เธอก็จะได้คะแนนค่าความสุขเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่เขารับประทาน
สูตรอาหารที่ได้จากระบบมีคุณค่ามาก เธอจึงอยากจะทำอาหารให้ฉินซือรับประทานในทุก ๆ วัน
ฉินซือไม่รู้เลยว่าตัวเองกลายเป็นเครื่องมือในการปั๊มคะแนนของลู่ฉิวเยว่ เขาได้แต่คิดอย่างมีความสุขเมื่อเธอส่งอาหารไปให้เขากินที่บริษัททุก ๆ วัน โดยเข้าใจว่าเธอคงคิดถึงเขาไม่ไหวแล้ว
ฉินซือปรารถนาที่จะได้ตอบแทนความดีงามของลู่ฉิวเยว่ในทุก ๆ วันเช่นกัน ทำไมเขาถึงมีแฟนที่น่ารักขนาดนี้นะ!
ในคืนนี้ ทุกคนมีช่วงเวลาที่ดี แต่ในเวลาเดียวกันนั้น ข่าวเรื่องที่ฉินซือกำลังสร้างโรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็รู้ไปถึงหูของจ้าวซูซินกับซูหลินเรียบร้อยแล้ว
“ลองชิมสเต็กร้านนี้ดูหน่อยสิ ฉันว่ามันน่าจะอร่อยอยู่นะ…” ซูหลินหั่นสเต็กที่อยู่ตรงหน้าจ้าวซูซินพร้อมกับพูดอย่างอ่อนโยน ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ
แต่ใจของหญิงสาวไม่ได้อยู่ที่สเต็กเลย เธอเหม่อลอย ไม่นานเธอก็แกล้งทำเป็นพูดออกมาเหมือนนึกขึ้นได้ “ฉันได้ยินมาว่าฉินซือกำลังจะสร้างโรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เขาไม่เคยยุ่งกับวงการนี้มาก่อน แล้วอยู่ดี ๆ ทำไมเขาถึงจะสร้างโรงงานขึ้นมา? เขาคิดอะไรอยู่?”
“ก็ได้!” ไม่ทราบเลยว่าเป็นคำพูดประโยคไหนที่ทำให้ซูหลินเดือดดาลขึ้นมา เขามีสีหน้าเย็นชาโดยทันที “เธอยังไม่ตัดใจจากฉินซืออีกใช่ไหม? จ้าวซูซิน! เธอคิดว่าฉันเป็นใคร? เธอจะมาปั่นหัวฉันหรือไง?”
ตอนแรกจ้าวซูซินตกใจไม่น้อยที่เห็นเขาโมโหถึงขนาดนี้ แต่ชายหนุ่มก็สงบลงอย่างรวดเร็วเมื่อเธอเดินเข้าไปกอดแขนของเขาและพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “ฉินซือเป็นใครกัน เขาสู้คุณไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ฉันไม่ได้ชอบเขาอีกแล้ว ฉันแค่กลัวว่าเขาจะมาแย่งลูกค้าคุณไปอีกต่างหาก”
จ้าวซูซินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานนุ่มนวล แต่ในใจกำลังโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะลู่ฉิวเยว่ เธอก็คงไม่ต้องมายอมทำตัวเป็นแฟนของซูหลินแน่ ๆ เธอไม่อยากจะมองหน้าเขาแม้แต่นิดเดียวด้วยซ้ำ!
ซูหลินเป็นผู้ชายที่คิดว่าตัวเองดูดีเสียเต็มประดา โดยแทบไม่เคยส่องกระจกเลยว่าโฉมหน้าที่แท้จริงของตัวเองนั้นน่าสมเพชแค่ไหน!