สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 67 ฉินซือเข้าห้องครัว
บทที่ 67 ฉินซือเข้าห้องครัว
บทที่ 67 ฉินซือเข้าห้องครัว
เมื่อสังเกตเห็นสายตาเย็นชาจากแม่ของเถาหลินเซิน ลู่เจี๋ยหรงก็รู้แล้วว่าชีวิตของตนเองต้องยากลำบากมากกว่าเดิมเพราะลู่ฉิวเยว่ เธอจึงเกลียดชังลู่ฉิวเยว่เพิ่มมากขึ้น
ลู่ฉิวเยว่อ้างว่าตัวเองใส่เงินช่วยงานแต่งมากกว่าญาติของฝ่ายเจ้าบ่าว ทำให้ฝ่ายญาติเจ้าบ่าวเขม่นเธอผู้เป็นเจ้าสาว
แล้วตอนนี้ลู่ฉิวเยว่ก็ยังฉีกหน้าแม่เจ้าบ่าวอีก เห็นได้ชัดว่าลู่ฉิวเยว่ไม่อยากให้เธอได้มีชีวิตที่สงบสุข!
ลู่ฉิวเยว่ได้แต่กลอกตา ไม่เข้าใจเลยว่าลู่เจี๋ยหรงจะโกรธเธอทำไม เธออุตส่าห์ช่วยปกป้องเพราะเห็นว่าเคยเป็นคนในครอบครัว แต่บัดนี้ลู่เจี๋ยหรงกลับโกรธเธอแทนที่จะไปโกรธตระกูลเถา
ให้มันได้อย่างนี้สิ!
ลู่เจี๋ยหรงเดินจากไปด้วยความโกรธแค้นและไปดื่มคำนับให้แก่แขกทีละโต๊ะพร้อมกับเถาหลินเซิน
“ฉินซือบอกว่าจะตามมาไม่ใช่เหรอ? นี่ก็ได้เวลาอาหารแล้ว ทำไมเขาถึงยังไม่มาอีก?” แม่ของลู่ฉิวเยว่กระซิบถามเบา ๆ
ลู่ฉิวเยว่ส่ายหน้าตอบไปว่า “วันนี้เขามีนัดเจรจาธุรกิจสำคัญค่ะ เขาอาจไม่มาแล้วก็ได้ ถ้าเขามา เขาก็ควรมาถึงแล้ว”
พูดถึงไก่ ไก่ก็มา ด้านนอกประตู ฉินซือก้าวลงจากรถด้วยขาอันยาวเหยียดของเขา
เขารีบเดินเข้ามาทั้ง ๆ ที่ยังคงสวมใส่ชุดสูทที่ไปเจรจาธุรกิจ เมื่อวานนี้เขาได้ยินว่าลู่เจี๋ยหรงจะแต่งตัวมางานแต่งงานด้วยชุดกระโปรงยาวสีน้ำเงินเข้ม ดังนั้น เขาจึงเลือกใส่ชุดสูทที่เข้ากับเธอมาในวันนี้
เขาพยายามจะทำให้ตนเองกับหญิงคนรักมีความเหมาะสมกันมากที่สุด
ในยุคสมัยนี้ มีคนที่มีรถยนต์ส่วนตัวน้อยมาก แม้แต่นักธุรกิจผู้ร่ำรวยในตัวเมืองก็ยังไม่สามารถหาซื้อรถยนต์ได้ ดังนั้นทุกคนจึงหันไปมองตาม ๆ กันเมื่อรถยนต์แล่นมาหยุดลง ลืมแม้แต่รับประทานอาหารด้วยซ้ำ
“ใครกันนะ? เพื่อนเจ้าบ่าวหรือไง? เขามีปัญญาคบเพื่อนร่ำรวยแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“อาจจะใช่ก็ได้”
ฉินซือลงทุนในอุตสาหกรรมหลายอย่างในพื้นที่เขตนี้ ต่อให้บางคนจะไม่รู้จักเขา แต่ก็ต้องเคยได้ยินชื่อของเขามาแน่นอน
และเมื่อเขาปรากฏตัว แขกในงานบางคนก็จำเขาได้ จึงอาศัยโอกาสนี้พูดขึ้นมาว่า “นั่นคุณฉินซือนี่ เขาเป็นคนเปิดห้างสรรพสินค้า…นักธุรกิจใหญ่โตขนาดนี้มาร่วมงานแต่งของเถาหลินเซินได้ยังไงกันนะ”
ไม่ใช่ว่าพวกเขาดูถูกเถาหลินเซิน แต่ในฐานะคนที่ทำงานอยู่ในร้านขายของเล็ก ๆ เถาหลินเซินยังมีค่าไม่เท่าเศษฝุ่นบนรองเท้าของฉินซือเลยด้วยซ้ำ
แต่ถ้าพวกเขาไม่รู้จักกัน แล้วฉินซือจะมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้อย่างไร?
ทุกคนได้แต่คิดแล้วก็สงสัย แต่ไม่ว่าฉินซือจะเป็นเพื่อนของเถาหลินเซินหรือไม่ ทุกคนก็ไม่อยากจะพลาดโอกาสนี้ในการได้ตีสนิทกับฉินซือ โดยเฉพาะคนที่จดจำชายหนุ่มได้เป็นคนแรก เขารีบเดินถือแก้วเหล้าเข้าไปหาด้วยความสุภาพ “สวัสดีครับ เถ้าแก่ฉิน!”
ฉินซือหยุดชะงัก เขาหันกลับมาและพบว่าเป็นคนแปลกหน้า เขาพยักหน้าก่อนจะเดินตรงไปที่โต๊ะของลู่ฉิวเยว่
ทุกคนตกตะลึง ไม่คิดเลยว่าคนสำคัญเช่นนี้จะเป็นญาติของลู่เจี๋ยหรง
ชายหนุ่มคนนี้เป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าสินะ? เจ้าของห้างสรรพสินค้าเชียวนะ! ทุกคนถอนหายใจ พวกเขาเคยเข้าไปซื้อของที่นั่นนับครั้งไม่ถ้วน แต่วันนี้เพิ่งจะมีโอกาสได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้เป็นเจ้าของ
ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงอยากจะหาโอกาสเข้ามาสร้างมิตรภาพกับฉินซือโดยเฉพาะคนที่อยู่ในวงการธุรกิจ
ถ้าพวกเขาสามารถตีสนิทฉินซือได้ พวกเขาก็จะได้ผลประโยชน์มหาศาล!
“มาแล้วเหรอคะ นั่งก่อนสิ” เมื่อเห็นชายหนุ่มเดินเข้ามาช้า ๆ ลู่ฉิวเยว่ก็ส่งยิ้มให้และให้เขานั่งที่เก้าอี้ด้านข้างตนเอง
ฉินซือพยักหน้าอย่างมีความสุข หันไปส่งยิ้มให้กับพ่อแม่ของเธอก่อนจะนั่งลง
แต่แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าโต๊ะว่างเปล่า ส่วนโต๊ะที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ มีอาหารว่างอยู่เต็มไปหมด แต่โต๊ะของตนเองมีแต่ชามแกงรากบัวเท่านั้น
ลู่ฉิวเยว่ทราบดีถึงปัญหาข้อนี้เช่นกัน แม่ของเถาหลินเซินมีเจตนาหาเรื่องพวกเธอ ไม่มีการไว้หน้ากันอีกต่อไป
ลู่ฉิวเยว่รู้สึกไม่ชอบใจที่โดนดูถูกดูแคลนอยู่ตลอด เธอหันหน้าไปถามพ่อแม่ด้วยสายตาว่า
จะกลับเลยดีไหม?
พ่อแม่ของเธอก็ไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้วเช่นกัน พวกท่านพยักหน้า
ฉินซือลุกขึ้นหยิบกุญแจรถ เขาเดินโอบไหล่ลู่ฉิวเยว่ตรงออกไป ไม่ควรมีใครมาทำให้แฟนของเขาต้องมีอารมณ์ขุ่นเคืองทั้งนั้น
เมื่อเห็นฉากนี้ บรรดาผู้คนที่ตั้งใจจะเข้าไปตีสนิทฉินซือต่างก็หยุดชะงักด้วยความมึนงง
ทำไมถึงกลับแล้วล่ะ?
แต่เมื่อหันหน้าไปเห็นโต๊ะที่ว่างเปล่า พวกเขาก็เข้าใจทันที
ดูเหมือนว่าคุณผู้หญิงคนนั้นน่าจะเป็นแฟนของเขา ในเมื่อแฟนของเขาไม่พอใจ แล้วฉินซือจะอยู่ที่นี่อีกต่อไปทำไม? นับว่าตระกูลเถาขี้งกเกินไปแล้วจริง ๆ!
เมื่อเห็นว่าโอกาสที่จะได้สร้างสัมพันธ์กับนักธุรกิจใหญ่ในตัวเมืองหลุดลอยไป พวกเขาก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมา พวกเขานึกเสียใจที่ไม่คิดตีสนิทให้เร็วกว่านี้ ถ้าพวกเขาเข้ามาตีสนิทเร็วกว่านี้ พวกเขาก็จะช่วยก่นด่าตระกูลเถาเป็นเพื่อนฉินซือเอง
และพวกเขาก็คิดเสียใจที่ไม่ได้ช่วยเหลือลู่ฉิวเยว่ตอนที่ถูกแม่ของเถาหลินเซินหาเรื่องก่อนหน้านี้ ถ้าพวกเขาพูดอะไรออกมาบ้าง ฉินซือก็คงจะต้องชื่นชมพวกเขาอย่างแน่นอน แล้วพวกเขาก็จะได้กลายเป็นคนสนิทของนักธุรกิจหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้า มีใครบ้างไม่อยากได้โอกาสนั้น?
ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงไม่มีอารมณ์รับประทานอาหารอีกแล้ว แขกในงานจึงลุกขึ้นบอกลาและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว โดยที่พวกเขาก็นึกสงสัยว่าตนเองจะเดินออกไปพบเจอกับฉินซืออีกไหม
บางคนก็แค่อยากออกมาเฝ้าดูความตื่นเต้น
“นี่! จะไปไหนกัน!” ตอนนี้แขกในงานหายไปเกินครึ่ง หญิงวัยกลางคนผู้เป็นแม่เจ้าบ่าวมีใบหน้าซีดขาว เธอรู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่ง
แขกในงานลุกเดินออกไปโดยที่งานยังไม่จบ คนพวกนั้นไม่ไว้หน้าเธอเลยสักนิด! การแต่งงานในครั้งนี้ทำให้ตระกูลเถากลายเป็นตัวตลกในสายตาของทุกคนแล้ว!
เธอจึงหันมาตบหน้าลู่เจี๋ยหรงด้วยความโกรธแค้น “ทั้งหมดเป็นความผิดของแก! นางโง่!”
ลู่เจี๋ยหรงร้องไห้ออกมาในที่สุด ป้าลู่วิ่งเข้ามาตะโกนด่า เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายไปหมด
แน่นอนว่าลู่ฉิวเยว่ไม่รู้เลยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในงานแต่ง ครอบครัวของเธอเดินทางกลับมาถึงบ้านด้วยรถยนต์ของฉินซือ
ทุกคนไม่มีความสุขกับอาหารมื้อนี้เลย เมื่อใช้ความคิดอยู่ หญิงสาวก็วางแผนจะทำอาหารให้ทุกคนได้รับประทาน
ฉินซือเดินเข้าบ้านหลังจากได้รับคำเชิญอย่างอบอุ่นจากแม่ของลู่ฉิวเยว่
ตอนนี้เป็นเวลา 14:00 น. แล้ว ตัวของลู่ฉิวเยว่ก็รู้สึกหิวมากเช่นกัน เธอไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าแม่ของเธอที่กระเพาะไม่ค่อยดีนั้นจะต้องรู้สึกไม่สบายขนาดไหน
มีข้าวโพดแกะเม็ดเหลืออยู่จากเมื่อตอนเช้า เธอนำชีสที่ซื้อมาจากห้างสรรพสินค้าเมื่อหลายวันก่อนออกมาจากตู้เก็บของ แล้วก็ทำข้าวโพดคลุกชีสให้ทุกคนได้รองท้องก่อน
ชีสมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวและยังมีรสชาติหวานมัน นี่คือครั้งแรกที่แม่ของเธอได้รับประทานอาหารรูปแบบนี้ ดวงตาของหญิงวัยกลางคนเป็นประกายอย่างมีความสุข
ในอดีต พ่อของเธอไม่ชอบอาหารรสชาติหวานจัดปนมัน แต่วันนี้ ของหวานชนิดนี้ก็อร่อยเสียจนเขาหยุดรับประทานไม่ได้
ลู่ฉิวเยว่เดินกลับเข้าไปในห้องครัวตามลำพังเพื่อทำอาหารต่อไป
ค่าความสุข : +1, +1, +200…
หืม?
เธอเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจ ทำไมค่าความสุขของฉินซือถึงเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเป็น 2 เท่า? หรือว่าข้าวโพดคลุกชีสจะเป็นของโปรดของเขา?
ลู่ฉิวเยว่ชะโงกหน้ามองออกไปจากห้องครัวและพบว่าฉินซือกำลังเดินมาหาพอดี เธอยิ้มและถามว่า “เข้ามาทำไมคะ?”
ฉินซือมองในห้องครัว เขาพูดด้วยความกระตือรือร้น “ผมช่วยคุณได้นะ” เขาเรียนรู้งานในครัวหลายอย่างจากป้าแม่บ้านมาแล้ว ดังนั้นเขาก็ไม่น่าจะสร้างปัญหาให้กับลู่ฉิวเยว่อีกต่อไป
เขาคิดว่ามันคงเป็นกิจกรรมที่มีความสุขที่ได้ทำอาหารร่วมกับคนที่เขารัก
ฉินซือเคยวาดฝันภาพนี้มานับครั้งไม่ถ้วน
แสงตะวันสาดส่องเข้ามาผ่านทางหน้าต่าง ลู่ฉิวเยว่กำลังลงมือทำอาหาร เขายืนช่วยงานอยู่ด้านข้าง เสียงหั่นผักดังขึ้นพร้อมกับเสียงล้างถ้วยชาม ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในบรรยากาศที่สมบูรณ์แบบ ขอแค่เขายื่นมือออกไปเท่านั้น เขาก็จะโอบไหล่เธอได้เสมอ แล้วเขาก็จะได้เห็นใบหน้าด้านข้างอันสวยงามของเธอตลอดเวลาอีกด้วย