สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 61 สูตรยาลับ
บทที่ 61 สูตรยาลับ
บทที่ 61 สูตรยาลับ
“เข้าไปคุยกันข้างใน!” เมื่อเห็นว่ามีคนมารวมตัวกันมากขึ้น เถาหลินเซินก็กัดฟันเรียกสองแม่ลูกเข้าไปในร้าน เพราะกลัวว่าจะมีคนไปแจ้งตำรวจจริง ๆ
ป้าลู่เห็นว่าชายหนุ่มเริ่มมีท่าทีที่เปลี่ยนไป จึงคิดว่าแผนการของตนเองได้ผล เธอรีบลุกขึ้นยืนแล้วปัดฝุ่นที่ก้น ก่อนจะลากลู่เจี๋ยหรงเข้าไปในร้าน
เมื่อประตูร้านปิดลง ทุกคนก็มองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ฝูงชนเริ่มแยกย้ายสลายตัว ลู่ฉิวเยว่ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน เธอรีบไปที่ร้านกาแฟ
ธุรกิจของเธอสำคัญมากกว่าการเอาเวลามาดูคนพวกนี้ตบตีกัน
ในคืนนั้น ลู่ฉิวเยว่กำลังนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา แม่ของเธอกำลังล้างจานอยู่ในห้องครัว
เพล้ง!
“แม่คะ!”
เมื่อได้ยินเสียงจานแตก หญิงสาวก็รีบวิ่งไปที่ห้องครัว
แม่ของเธอนั่งยอง ๆ อยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเจ็บปวด รอบกายเต็มไปด้วยเศษจานกระเบื้องที่แตกกระจาย
“เกิดอะไรขึ้นคะ?” ลู่ฉิวเยว่เดินเข้าไปดูและคุกเข่าลงถามด้วยเสียงเป็นกังวล
แม่ของเธอส่ายหน้าตอบกลับมา “ไม่เป็นไรหรอก ปัญหาเก่าน่ะ…แม่แก่แล้วก็แบบนี้แหละ”
ลู่ฉิวเยว่นึกขึ้นมาได้ในทันใดว่าแม่ของเธอทรมานจากอาการปวดขามานานแล้ว และอาการจะกำเริบขึ้นมาทุก ๆ 15 วัน บางครั้งแม่ของเธอก็จะปวดขาจนนอนไม่หลับทั้งคืน
และอาจเป็นเพราะว่าตลอดเวลาในระยะหลังที่ผ่านมา แม่ของเธอรับประทานอาหารที่ผสมน้ำพุแห่งจิตวิญญาณเข้าไป อาการปวดขาจึงหายดี ลู่ฉิวเยว่จึงไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีก
แต่ตอนนี้อากาศหนาว เมื่อวานนี้แม่เธอออกไปเดินข้างนอก อาการปวดขาจึงกลับมากำเริบอีกครั้ง
ลู่ฉิวเยว่รู้สึกเศร้าเสียใจ ถ้าเธอสังเกตเห็นถึงปัญหานี้ตั้งแต่แรก แม่ของเธอก็ไม่ต้องมาเจ็บปวดแบบนี้แล้ว
เธอช่วยประคองแม่มานั่งบนโซฟา จากนั้นดึงขากางเกงแม่ขึ้นดูอย่างระมัดระวัง ขาของแม่มีอาการบวมแดง ท่าทางคงเจ็บปวดไม่น้อย
“ทำไมแม่ไม่บอกหนูล่ะคะว่าปวดขา” ลู่ฉิวเยว่พูดด้วยความน้อยใจ แต่พ่อแม่ทั้งโลกก็คงเป็นแบบนี้ พวกท่านมักจะไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ลูก ๆ เห็น เพราะพวกท่านไม่อยากจะสร้างปัญหาให้ลูก ๆ ดังนั้นพวกท่านจึงกัดฟันทนความเจ็บปวด
แต่สำหรับลู่ฉิวเยว่ การที่แม่เธอไม่บอกนี่แหละที่เป็นปัญหา
“ยังไงก็รักษาไม่หายอยู่แล้ว บอกลูกไปก็มีแต่จะทำให้ลูกเป็นกังวลเท่านั้น” คนเป็นแม่ลูบมือลูกสาวเพื่อเป็นการยืนยัน “แม่ไม่เป็นไรหรอก แค่พักสักหน่อยก็หายแล้ว”
ลู่ฉิวเยว่ยิ่งรู้สึกร้อนรนมากขึ้นเรื่อย ๆ เสียงของแม่เธออ่อนล้า เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเจ็บปวดมาก! แล้วใครบอกกันว่ารักษาไม่หาย!
ในชาติที่แล้ว ลู่ฉิวเยว่กราบปรมาจารย์แพทย์แผนจีนผู้หนึ่งเป็นอาจารย์ และใช้เวลาศึกษาการรักษาทางแพทย์แผนจีนโบราณอยู่หลายปี เธอเคยช่วยดูคนไข้พร้อมกับอาจารย์อยู่หลายครั้ง
ลู่ฉิวเยว่ขมวดคิ้ว เธอเดินกลับเข้าไปในห้องครัวและนำถุงร้อนออกมาให้แม่
ดูเหมือนว่าวันพรุ่งนี้เธอคงต้องไปที่ร้านขายยาเพื่อเตรียมยาให้กับแม่ของเธอเสียแล้ว ไม่อย่างนั้นแม่ของเธอก็คงต้องปวดขาแบบนี้ทุก ๆ วัน
“แม่เป็นห่วงว่าพวกของลู่เจี๋ยหรงจะไปขโมยบ้านของเราแล้วล่ะสิ แม่ว่าพวกเราน่าจะกลับไปตรวจบ้านดูสักหน่อยนะ”
คนเป็นแม่พูดขึ้นมา ทำให้ลู่ฉิวเยว่ตื่นขึ้นจากภวังค์ เธอพยักหน้า “หนูว่ากำลังจะบอกแม่อยู่เหมือนกัน ตอนที่หนูไปคุยเรื่องธุรกิจเมื่อตอนบ่ายวันนี้…”
หลังจากรับฟังเรื่องราวจบลง แม่ของเธอก็พูดว่า “เด็กคนนั้นหย่ากับสวีต้าหลินไปนานแล้ว คุณลุงกับคุณย่าใหญ่ก็อับอายชาวบ้านเกินกว่าจะรับตัวพวกเธอกลับไป เมื่อไม่กี่วันก่อน พวกเธอยังถูกพวกเราไล่ออกไปอย่างไม่ไว้หน้า ตอนนี้พวกเธอก็คงไม่มีที่ไปอีกแล้ว”
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้าอย่างทราบดี ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแม่ลูกคู่นั้นถึงต้องไปหาเถาหลินเซิน
แต่ตราบใดที่พวกหล่อนไม่ได้มายุ่งกับเธอ นี่ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอทั้งนั้น
“รู้สึกยังไงบ้างคะ?” เธอสัมผัสหลังมือของแม่อย่างแผ่วเบา
หญิงวัยกลางคนส่ายศีรษะ “ตอนนี้ไม่ปวดแล้ว”
ถึงแม่เธอจะบอกว่าไม่ปวดแล้ว แต่ลู่ฉิวเยว่ก็ยังรู้สึกหนักใจอยู่ดี เธอรีบส่งไปที่ร้านขายยาในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
“อ้าว! คุณลู่มาเร็วเชียวนะ?”
เมื่อลุงเซิงเปิดประตูเข้ามาในร้าน เขาก็เห็นลู่ฉิวเยว่กำลังจัดยาจีนอยู่ที่ลิ้นชักเก็บยา เขาเห็นตั้งแต่ไกล ๆ แล้วว่ามีแสงไฟส่องลอดออกมาจากด้านในร้าน ชายชรานึกว่าเมื่อคืนนี้ตนเองลืมปิดไฟ แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเธอ
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ลุงเซิง” ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมาและจัดยาต่อไป เธอนำยาเหล่านั้นใส่กล่องอย่างระมัดระวัง
“จัดยาให้ใครเหรอครับ?”
ลู่ฉิวเยว่ถอนหายใจและบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่าง ลุงเซิงขมวดคิ้ว “คุณไปเอาสูตรจัดยามาจากที่ไหน? อย่าไปเชื่อพวกสูตรยาผีบอกเด็ดขาดเชียวนะ แม่ของคุณอายุเยอะแล้ว คนแก่ย่อมมีปัญหาสุขภาพเป็นธรรมดา ผมเคยเจอคนไข้แบบนี้มามากแล้ว ยังไงก็รักษาไม่หาย”
ชายชราไม่เคยได้ยินตำรับยาที่สามารถรักษาโรคชนิดนี้ได้มาก่อน เขาจึงคิดว่าลู่ฉิวเยว่กำลังจัดสูตรยามั่ว ๆ เท่านั้น
“คุณจัดยาเองไม่ได้หรอก ไปนั่งรอสิ เดี๋ยวผมจะจัดยาบรรเทาอาการให้แม่คุณก็แล้วกัน” ลุงเซิงมีสีหน้าเย็นชาขึ้นมาในทันใด ที่เขาเลือกมาทำงานในร้านเธอก็เพราะนึกว่าเธอกับเขามีบางอย่างคล้ายกัน แต่ดูเหมือนว่าในตอนนี้ เธอจะไม่มีแม้แต่สามัญสำนึกเลยด้วยซ้ำ!
ลู่ฉิวเยว่คิดอยู่แล้วว่าชายชราต้องไม่เชื่อ เธอกำลังจัดยาตามสูตรที่อาจารย์ในชาติที่แล้วเคยสอน และอาจารย์ของเธอก็บอกว่านี่เป็นสูตรยาที่ดีมาก
เธอนำปากกาออกมาจากกระเป๋าและเขียนใบสั่งยาให้ชายชราดู ตอนแรกลุงเซิงก็ไม่สนใจ ตั้งใจจะเกลี้ยกล่อมให้เธอเปลี่ยนใจ แต่เมื่อเขาได้อ่านใบสั่งยาอย่างละเอียด ชายชราก็พูดอะไรไม่ออก รู้สึกว่าหัวใจของตนเองสั่นไหว…
“คุณไปได้สูตรยานี้มาจากที่ไหน? รีบแนะนำอาจารย์เจ้าของสูตรให้ผมรู้จักหน่อย” เขาพบเจอกับปรมาจารย์แพทย์แผนจีนมามากมายในหลายปีที่ผ่านมา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ลุงเซิงได้พบเห็นสูตรยานี้
ลู่ฉิวเยว่ไอออกมา เธอหน้าแดงระเรื่อ “ฉันเป็นคนคิดขึ้นมาเองแหละค่ะ ลุงเซิงคิดว่าพอใช้ได้ไหมคะ?”
ลุงเซิงแทบจะสำลักน้ำชาใส่มือที่สั่นเทาของตนเอง เขาพูดอะไรไม่ออก
โชคดีที่ก่อนหน้านี้เขาไม่วางตัวเย่อหยิ่งกับเธอมากเกินไป มิเช่นนั้นเขาก็คงต้องอับอายจนมุดแผ่นดินหนีแล้ว!
ลุงเซิงไอออกมาแก้เก้อ “คุณลู่ อาจารย์ของคุณเป็นใคร? ผมขอเจอเขาหน่อยได้ไหม…”
ลู่ฉิวเยว่สัมผัสได้ถึงความอับอายบนใบหน้าของชายชรา เธอจึงรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ถามเสียงแข็งว่า “คุณลุงจะทำอะไรเหรอคะ?”
ลุงเซิงยิ่งรู้สึกอับอายมากไปกว่าเดิม ยิ่งพูดหน้าเขาก็ยิ่งแดง “ผมอยากจะฝากตัวเป็นศิษย์ของเขาน่ะสิ”
เพราะเหตุผลนี้เอง ลู่ฉิวเยว่รู้สึกตลก ตอนนี้เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอาจารย์ของเธออยู่ที่ไหน ต่อให้เธอหาเจอ เขาก็คงเป็นชายหนุ่มอายุ 20 ปีเท่านั้น และตอนนี้เขาก็ยังไม่มีประสบการณ์ในวงการแพทย์แผนจีน แล้วอาจารย์ของเธอจะมารับลุงเซิงเป็นลูกศิษย์ได้อย่างไร?
เธอส่ายหน้าและพูดโดยใช้ข้อแก้ตัวซึ่งนางเอกในนิยายแนวย้อนเวลาเกิดใหม่มักจะใช้กันเสมอ “อาจารย์ของฉันเดินทางไปทั่วโลก ไม่มีที่อยู่แน่นอนหรอกค่ะ ฉันเองก็ไม่ได้เจออาจารย์มาหลายปีแล้ว ถ้าฉันเจอท่านในอนาคต ฉันจะแนะนำให้คุณลุงรู้จักนะคะ”
เมื่อได้รับคำตอบดังนี้ ความตื่นเต้นบนใบหน้าของลุงเซิงก็จางหายไป ความผิดหวังปรากฏขึ้นมาแทน “ถ้าอย่างนั้นก็…ไม่เป็นไร ขอบคุณคุณลู่มาก”
เมื่อพูดจบ ชายชราก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ดวงตาของเขาจ้องมองลู่ฉิวเยว่อย่างเป็นประกาย “คุณเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์คนนั้น ผมอยากเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ของคุณ นั่นเท่ากับว่าคุณเป็นศิษย์พี่ของผม เมื่อเวลานั้นมาถึง ผมต้องเรียกคุณว่าศิษย์พี่ไหม…”
เอาล่ะสิ มีคนอยากเป็นศิษย์น้องของเธอขึ้นมาแล้ว
ลู่ฉิวเยว่แอบหัวเราะอยู่ในใจ ก่อนตอบว่า “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เรียกฉันว่าฉิวเยว่เฉย ๆ ก็ได้”
ลู่ฉิวเยว่รู้สึกว่าถ้าให้ชายชรามาเรียกเธอว่าศิษย์พี่ เธอคงต้องอายุสั้นแน่ ๆ