สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 39 วางแผนการร้ายอีกครั้ง
บทที่ 39 วางแผนการร้ายอีกครั้ง
บทที่ 39 วางแผนการร้ายอีกครั้ง
เธอโกหกกับเขาว่าบ้านของตัวเองร่ำรวย
ถึงชายคนนี้จะเป็นพวกบ้าตัณหา แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ ถ้าเขารู้ว่าบ้านของเธอไม่มีเงิน เขาก็จะต้องทิ้งเธอไปโดยไม่ลังเลอย่างแน่นอน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ลู่เจี๋ยหรงปฏิเสธเขามาหลายครั้งแล้ว
และถ้ายังปฏิเสธอีกตอนนี้ เขาคงต้องระแวงอย่างแน่นอน
ลู่เจี๋ยหรงพยักหน้าพร้อมกับฝืนยิ้ม “เดี๋ยวฉันขอกลับไปปรึกษากับแม่ก่อนนะคะ”
“ได้สิ ผมจะรอนะ” ชายหนุ่มยิ้มอย่างอ่อนโยน
ในคืนนั้น ลู่เจี๋ยหรงไม่ได้ค้างอยู่ที่บ้านของเถาหลินเซินแต่เธอกลับไปยังบ้านเช่าหลังน้อยสภาพโกโรโกโสเพื่อปรึกษากับผู้เป็นแม่ของตนเอง
“ให้ตายเถอะ! ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เดี๋ยวแม่จะช่วยลูกเอง” เมื่อหญิงวัยกลางคนได้ยินเช่นนั้น เธอก็เริ่มวางแผนอยู่ในใจและตบหน้าอกด้วยความมุ่งมั่น
…
วันต่อมา ลู่ฉิวเยว่กำลังยุ่งอยู่ในร้านใหม่ที่เพิ่งเปิด มีเรื่องมากมายให้จัดการ ดังนั้น เธอจึงพักอยู่ที่นี่เป็นการถาวร
“มาทำไมกันอีกเนี่ย!” หญิงสาวได้ยินเสียงแม่ของตนเองตวาดด้วยความโกรธแค้น
ลู่ฉิวเยว่หันไปมองด้วยความเย็นชา แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไป “นี่ มากันอีกแล้วเหรอคะ? คราวนี้มีอะไรอีก?”
ป้าลู่แทบจะสำลักให้กับน้ำเสียงประชดประชันของลู่ฉิวเยว่ เธอโกรธจนหน้าดำหน้าแดง แต่สุดท้ายก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว
“ลู่ฉิวเยว่ เธอหมายความว่ายังไง มีลูกค้าเข้าร้าน เธอต้อนรับลูกค้าแบบนี้หรือไง?”
ลู่ฉิวเยว่กลอกตา “ลูกค้าเขาจ่ายเงินค่ะ แต่พวกคุณน่ะมาขอกินฟรี”
คำพูดนั้นยิ่งทำให้ป้าลู่โกรธแค้นจนแทบบ้า แต่เธอก็ยังไม่ลืมว่าตนเองมาที่นี่ในวันนี้เพื่ออะไร
เมื่อรู้ว่าลู่ฉิวเยว่กับแม่ไม่ไหวหน้ากันเลย ป้าลู่จึงเดินตรงเข้าไปหาพ่อของลู่ฉิวเยว่พร้อมกับยิ้มอย่างประจบว่า “น้องชาย ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น นอกจากพ่อของลู่ฉิวเยว่จะตกใจแล้ว ทุกคนก็ยังรู้สึกขนลุกไปหมด
“ฉันเป็นน้องชายของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่? ฉันเป็นแค่คนที่เธอไม่อยากนับญาติด้วยไม่ใช่หรอ” พ่อของลู่ฉิวเยว่พูดด้วยความโกรธแค้น
“ฮ่าๆๆ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่” ป้าลู่หัวเราะ “แต่ลู่เจี๋ยหรงยังถือว่าเป็นหลานของเธอนะ ถึงเธอจะโกรธฉันกับต้าซาน แต่คุณน้าจะไม่สนใจใยดีหลานสาวได้ยังไง”
ชายวัยกลางคนพ่นลมผ่านทางจมูกอย่างเย็นชา เขาย่อมไม่มีทางลืมว่าลู่เจี๋ยหรงเคยทำอะไรไว้กับครอบครัวของตนเองบ้าง
“ทุกคนก็เห็นลูกสาวฉันมาตั้งแต่เล็ก” ป้าลู่พยายามโน้มน้าวใจต่อไป “หรงหรงกำลังจะแต่งงานแล้ว พวกเธอคิดว่ายังไงล่ะ? ได้โปรดช่วยฉันหน่อยเถอะนะ วันพรุ่งนี้หรงหรงจะเชิญแฟนของเธอมากินมื้อค่ำที่นี่ พวกฉันขอรบกวนหน่อยได้ไหม? เราขอแค่โต๊ะเดียวเท่านั้น มันจะไปเปลืองมากมายอะไรกันเชียว”
พ่อของลู่ฉิวเยว่ปฏิเสธโดยทันที “เงินจะมากจะน้อยก็เป็นเงิน…”
“แหม แสดงว่าไม่มีปัญหาใช่ไหม? ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอปฏิเสธหรงหรงไม่ลงหรอก เดี๋ยวฉันจะกลับไปบอกพวกเขาก่อนนะ!”
ป้าลู่วิ่งกลับไปโดยไม่รอฟังคำปฏิเสธ
สามพ่อแม่ลูกยืนหน้าแดงด้วยความโกรธ แต่ในไม่ช้าลู่ฉิวเยว่ก็สงบใจลงได้ ลู่เจี๋ยหรงยังไม่ได้หย่า แต่ก็ไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายคนอื่นแล้ว
บอกให้สวีต้าหลินรู้ดีไหมนะ?
แทนที่จะปล่อยให้อีกฝ่ายมาใช้ประโยชน์จากพวกเธอ พวกเธอเติมเชื้อไฟเข้าไปเลยดีกว่า
แต่ถึงจะรู้ว่าลู่เจี๋ยหรงกับแม่บังเกิดเกล้าจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน แต่เธอก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
วันต่อมา ลู่เจี๋ยหรงพาผู้ชายคนใหม่มาที่ร้านจริง ๆ
ลู่ฉิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นสูง ผู้ชายคนนั้นมีพุงป่อง แต่ลักษณะก็ดูดีพอสมควร โชคร้ายที่สายตาของเขานั้นแสดงออกชัดเจนว่าเป็นคนหื่นกาม
เป็นแววตาที่น่ารังเกียจ
จริงด้วยสินะ ลู่ฉิวเยว่ได้ยินว่าแฟนใหม่ของลู่เจี๋ยหรงเป็นนักธุรกิจ ลู่เจี๋ยหรงใช้วิธีไหนถึงหลอกลวงผู้ชายคนนี้ได้สำเร็จ?
ลู่เจี๋ยหรงยืนอยู่เคียงข้างเถาหลินเซิน เธอมีความภาคภูมิใจเป็นที่สุด เธอคิดว่าทุกคนจ้องมองตนเองด้วยความอิจฉาริษยาที่มีแฟนใหม่เป็นคนรวยได้สำเร็จ
ด้วยเหตุนี้ ลู่ฉิวเยว่จึงรู้สึกรำคาญใจขึ้นมาโดยทันที เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองควรรำคาญใจกับเรื่องไหนก่อนกัน
แต่เธอกับแม่ก็ไม่ได้พูดอะไร ป้าลู่ที่ยืนอยู่ด้านข้างทำให้บรรยากาศอึดอัดเล็กน้อย ในที่สุดพ่อของลู่ฉิวเยว่ก็เป็นคนทำลายความเงียบขึ้น
“เจี๋ยหรงอุตส่าห์พาแฟนมาทั้งที เชิญเข้าไปในร้านก่อนเถอะ”
ลู่เจี๋ยหรงพยักหน้าด้วยความพอใจ เธอควงแขนเถาหลินเซินเดินเข้าไปด้านในร้านและเลือกโต๊ะที่ใหญ่ที่สุดที่ตั้งอยู่กลางร้าน
หลังจากนั่งประจำที่กันเรียบร้อยแล้ว เถาหลินเซินก็ยิ้มหน้าบาน พลางพูดกับลู่เจี๋ยหรงด้วยความอ่อนโยนมากกว่าเดิมหลายเท่า “ร้านอาหารของคุณดูดีมากเลยนะ”
ลู่เจี๋ยหรงหัวเราะในลำคอเล็กน้อยด้วยความภาคภูมิใจ “แน่นอนอยู่แล้วค่ะ!”
“อ้อ เป็นเพราะพ่อของหรงหรงเขาทำงานหนักน่ะ” ป้าลู่ยิ้มกว้างหน้าแดง สร้อยข้อมือทองคำสะท้อนแสงไฟเป็นประกายระยิบระยับ
พวกของลู่ฉิวเยว่ยืนอยู่ห่างออกมา จึงไม่ทราบว่าพวกเขากำลังพูดคุยอะไรกันอยู่ มิเช่นนั้น แม่ของลู่ฉิวเยว่ก็คงเข้าไปไล่ตะเพิดพวกของลู่เจี๋ยหรงอย่างแน่นอน
แต่ให้ตายเถอะ
ลู่ฉิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นสูง ในร้านอาหารมีโต๊ะมากมายให้เลือก แต่ลู่เจี๋ยหรงดันเลือกโต๊ะที่ใหญ่ที่สุด ทำให้เธอไม่สามารถไปแอบนั่งฟังได้ว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกัน
และต้องนำอาหารไปเสิร์ฟเป็นจำนวนมากกว่าจะเต็มโต๊ะ
แต่ถึงกระนั้น ลู่ฉิวเยว่ก็ไม่ได้พูดอะไร เธอหันไปยิ้มปลอบใจพ่อแม่ด้วยความเยือกเย็น
“ญาติของคุณนี่มันร้ายกาจจริง ๆ!” แม่ของลู่ฉิวเยว่กลอกตามองผู้เป็นสามี ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องครัวอย่างไม่มีความสุข
เมื่อเห็นพ่อแม่ตีกัน ลู่ฉิวเยว่ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
แม้ว่าเธอจะเกลียดลู่เจี๋ยหรง แต่เพื่อเห็นแก่หน้าของพ่อ เธอก็ตั้งใจว่าจะไม่ฉีกหน้าลู่เจี๋ยหรงมากเกินไปนัก ด้วยเหตุนี้ เธอจึงเข้าครัวไปทำอาหารกับแม่
อาหารถูกนำไปเสิร์ฟที่โต๊ะ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แม่ยังโมโหอยู่อีกเหรอ?”
เมื่อเธอเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นแม่ของตนเองกำลังเลือกชามด้วยความโมโห ลู่ฉิวเยว่จึงต้องเดินเข้าไปปลอบใจว่า “ละครฉากนี้เพิ่งเริ่มเองค่ะ แม่ไม่ต้องโกรธนะ สุดท้ายพวกเราจะต้องได้หัวเราะอย่างแน่นอน”
“ไม่ใช่พวกมันเหรอที่ต้องหัวเราะเยาะพวกเรา”
เมื่อได้ยินคำพูดของลู่ฉิวเยว่ คนเป็นแม่ก็หยุดชะงักทันที “ลูกหมายความว่ายังไง?”
“เดี๋ยวแม่ก็รู้”
ลู่ฉิวเยว่กับหวังเซวียนเซวียนนำอาหารไปเสิร์ฟที่โต๊ะด้วยตนเอง พ่อของเธอเดินไม่ถนัด ดังนั้นจึงทำหน้าที่คอยทำความสะอาดโต๊ะอื่น ๆ
ลู่ฉิวเยว่เตรียมอาหารประเภทเนื้อ 3 ชนิด ผัก 3 ชนิด และน้ำแกงอีก 1 ถ้วย แค่นี้ก็ถือว่าเธอไว้หน้าลู่เจี๋ยหรงมากพอแล้ว อีกอย่าง โต๊ะของลู่เจี๋ยหรงยังเป็นโต๊ะที่ดีที่สุดในร้านอีกด้วย
น่าเสียดายที่ลู่เจี๋ยหรงเลือกโต๊ะที่ใหญ่ที่สุดกลางร้าน โต๊ะตัวนี้สามารถรองรับอาหารได้หลายสิบจาน
ลู่ฉิวเยว่อยู่ในวงการอาหารมานาน แต่โต๊ะใหญ่เช่นนี้ถูกใช้น้อยมาก เพราะมันสามารถรองรับได้จากคนที่รวยจริง ๆ เท่านั้น
ลู่เจี๋ยหรงจ้องมองอาหารที่ประกอบไปด้วยเนื้อ 3 ชนิดผัก 3 ชนิดและน้ำแกง 1 ถ้วยด้วยสายตาเย็นชา
ลู่เจี๋ยหรงรู้สึกหน้าชาด้วยความเขินอาย เธอหันไปขยิบตากับแม่
“ลู่ฉิวเยว่ นี่มันหมายความว่ายังไงกัน!” ป้าลู่เดินกัดฟันเข้าไปในห้องครัว “หรงหรงพาแฟนใหม่มาวันนี้ จะไว้หน้ากันหน่อยไม่ได้หรือไง ทำไมถึงเอาอาหารพวกนั้นไปเสิร์ฟ?”
“แล้วไงคะ?” ลู่ฉิวเยว่อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เนื้อ 3 ชนิด ผัก 3 ชนิด และน้ำแกงอีก 1 ถ้วย แค่นี้ก็ถือว่าเป็นการไว้หน้ามากพอแล้วไม่ใช่เหรอ? ยังจะมาไม่พอใจอีกได้ยังไง
ก็ใครใช้ให้ลู่เจี๋ยหรงเลือกนั่งโต๊ะที่ใหญ่ที่สุดล่ะ
“ไม่ได้สิ เธอต้องเอาอาหารอย่างอื่นไปเสิร์ฟด้วย!”
“ขอกันกินแบบนี้มันน่าเกลียดมากเกินไปแล้วนะ! ไม่ชอบก็ออกไปซะ!” แม่ของลู่ฉิวเยว่กลอกตา จ้องมองป้าลู่ด้วยสายตาเหยียดหยาม เธอโกรธจนควันออกหู
พ่อของลู่ฉิวเยว่ก็หงุดหงิดเช่นกัน แต่เขาไม่ได้พูดอะไร เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายก็เป็นญาติของตนเอง
ลู่ฉิวเยว่ที่ยืนดูอยู่ด้านข้างพูดขึ้นมาว่า “จะเอาให้อาหารเต็มโต๊ะคงเป็นไปไม่ได้นะคะ แต่เดี๋ยวฉันจะเอาอาหารไปเพิ่มให้ก็แล้วกัน”
ป้าลู่เชิดหน้าขึ้น เดินออกจากห้องครัวไปด้วยความสะใจ “แบบนี้ค่อยคุยกันได้หน่อย”
นั่นยิ่งทำให้แม่ของลู่ฉิวเยว่โมโหมากขึ้น
หวังเซวียนเซวียนนำอาหารชุดสุดท้ายไปเสิร์ฟ ส่วนลู่ฉิวเยว่ไปนั่งรอดูความสนุกอยู่อีกโต๊ะหนึ่ง
“นี่มันอะไรกันเนี่ย! แกเป็นบ้าหรือไงวะ!”
เมื่อได้ยินเสียงผู้ชายคำราม ลู่ฉิวเยว่ก็หันไปมองอย่างรวดเร็ว เธอเห็นว่าลูกพี่ลูกน้องของตนเองกำลังถูกผู้ชายที่ลู่เจี๋ยหรงพามาด้วยชี้หน้าด่าทอ ป้าลู่เองก็กำลังช่วยดุด่าอยู่เช่นกัน