สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 238 ธุรกิจขายผลไม้
บทที่ 238 ธุรกิจขายผลไม้
หวังเซวียนเซวียนรอคอยวันนี้มานานแล้ว เขารีบพูดว่า “ผมก็คิดว่าดีครับ” ราวกับกลัวว่าหวงฉีฉีจะเสียใจ ถ้าเขาตอบช้าเกินไป
คุณแม่หวงหัวเราะเสียงดัง “งั้นก็ดี ในเมื่อคู่หนุ่มสาวได้พูดออกมาแบบนี้แล้ว อีกสองวันเราจะนัดหมายทั้งสองครอบครัว มากำหนดวันหมั้นหมายกันนะคะ”
หวังเซวียนเซวียนพยักหน้าตอบรับ
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่มีความสุขของลูกพี่ลูกน้อง ลู่ฉิวเยว่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม
คุณลุงและคุณป้ากังวลเรื่องความรักของลูกพี่ลูกน้อง แต่ตอนนี้ก็ถึงเวลาวางใจได้แล้ว
วันรุ่งขึ้น คุณลุงและคุณป้ามาที่บ้านสกุลลู่ พร้อมข้าวของของมากมาย
เมื่อหวังเซวียนเซวียนกลับไป ก็ได้เล่าให้พวกเขาฟังเรื่องการหมั้นหมาย ทั้งคู่มีความสุขมาก และรีบบอกทันทีว่าพวกเขาจะเชิญครอบครัวของลู่ฉิวเยว่ มาทานอาหารเย็นเพื่อเฉลิมฉลองด้วยกัน
คุณแม่ลู่เลือกเมนูที่จะทำ เธอเคยบอกว่าอาหารนอกบ้านมีราคาแพง จึงควรซื้อผักมาทำอาหารที่บ้านเองดีกว่า คุณป้าเห็นด้วย ทั้งสองคนจึงตัดสินใจซื้อผักมาทำอาหารกันที่บ้านสกุลลู่
วันนี้หวังเซวียนเซวียนไม่ได้เลิกงานตอนห้าโมงเย็น ฉินซือและลู่ฉิวเยว่พบเขาระหว่างทางพอดี จึงพาเขากลับมาด้วย
“หืม? พี่สาว นี่คืออะไรเหรอครับ?” ทันทีที่หวังเซวียนเซวียนเดินเข้าประตูไป เขาก็เห็นกองสิ่งของวางอยู่ที่มุมห้องโถง บางส่วนถูกห่อด้วยกล่องโฟม
ลู่ฉิวเยว่ชี้ไปที่มุมนั้น แล้วอธิบายให้เขาฟัง “นี่คือเทปและเครื่องอัดเทปที่ฉันซื้อมาจากฮ่องกงกับพี่เขย ฉันวางแผนจะลองทำธุรกิจนี้ในเมืองหลวง แต่ฉันยังไม่ได้จัดการเลย”
จากนั้นเธอก็พูดติดตลกว่า “นายทำงานกับเครื่องจักร เดี๋ยวช่วยแสดงวิธีติดตั้งให้ฉันดูหน่อยได้ไหม?”
“ได้ครับ ผมจะจัดการให้หลังอาหารเย็นนะครับ” หวังเซวียนเซวียนตอบตกลงอย่างเต็มใจ แล้วเดินตามเธอไปที่ห้องครัวเพื่อล้างมือ
หลังอาหาร คุณลุงกับคุณป้าช่วยจัดของที่ลู่ฉิวเยว่ซื้อมาจากฮ่องกง
“นาฬิกาที่พี่ซื้อมาดูมีสไตล์จริง ๆ ราคาเท่าไหร่ครับ?” หวังเซวียนเซวียนเปิดกล่องโฟม แล้วพบว่ามีนาฬิกาหลายเรือนอยู่ในนั้น
ลู่ฉิวเยว่เลิกคิ้ว “อะไร อยากซื้อให้ฉีฉีของนายเหรอ?”
หวังเซวียนเซวียนไอแห้ง ๆ แล้วหรี่ตาด้วยความเขินอาย “ครับ”
“สองเรือนนี้ดูดี เป็นสไตล์คู่รักที่เหมาะกับพวกนาย” ลู่ฉิวเยว่เลือกให้พวกเขาอย่างระมัดระวัง แล้วหยิบนาฬิกาสองเรือนออกมายื่นให้
หวังเซวียนเซวียนขมวดคิ้ว “มันดูน่าอายจริง ๆ เลยครับ”
เมื่อเขาพูดจบ ก็กำลังจะควักเงินออกจากกระเป๋า แต่ลู่ฉิวเยว่กลับจ้องเขาอย่างไม่พอใจ “เป็นครอบครัวเดียวกัน จะเกรงใจอะไรนักหนา ถ้านายยังยืนกรานจะจ่ายเงิน งั้นฉันจะไม่ให้นายแล้ว” เธอเอื้อมมือออกไปหมายจะหยิบนาฬิกากลับเข้าไปในกล่อง
หวังเซวียนเซวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
ทันใดนั้นลู่ฉิวเยว่ก็นึกบางอย่างได้ จึงถามเขาว่า “นายมีช่องทางขายนาฬิกาบ้างไหม ถ้ามีก็ช่วยแนะนำพี่ด้วย”
“มีครับ ผมจะแนะนำให้พี่รู้จัก!” หวังเซวียนเซวียนพยักหน้า บังเอิญว่าเขารู้จักเพื่อนคนหนึ่งที่ขายนาฬิกา
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มด้วยความประหลาดใจ และให้หวังเซวียนเซวียนรับนาฬิกาทั้งสองเรือนไป เพื่อเป็นของขวัญขอบคุณ หวังเซวียนเซวียนไม่มีทางเลือก นอกจากต้องยอมรับไป
ตกดึก หวังเซวียนเซวียนช่วยลู่ฉิวเยว่ประกอบเทปและเครื่องอัดเทป เขามีความเชี่ยวชาญในเรื่องเหล่านี้ และสามารถประกอบได้เร็วกว่าลู่ฉิวเยว่ ถึงสองหรือสามเท่า
เพื่อนที่ลูกพี่ลูกน้องแนะนำให้รู้จักชื่อจงหลี่ ที่ดูเข้ากับคนได้ง่าย หลังจากการเจรจาสั้น ๆ ก็สรุปราคาได้อย่างรวดเร็ว และสมเหตุสมผลมาก ลู่ฉิวเยว่จึงขายนาฬิกาทั้งหมดให้เขา
ไม่ถึงสองวัน เขาก็มาที่หน้าประตูร้านอาหารอีกครั้ง
ลู่ฉิวเยว่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเห็นจงหลี่อยู่ในร้านอาหาร
“หวังเซวียนเซวียนบอกที่อยู่ให้ผมเองครับ ผมต้องการซื้อสินค้าใหม่จากคุณอีกชุดครับ” จงหลี่อธิบายให้เธอฟัง
ลู่ฉิวเยว่รู้สึกประหลาดใจกว่าเดิม “คุณขายนาฬิกาพวกนั้นหมดแล้วเหรอคะ?”
มันมีมากกว่าหกสิบเรือน เป็นไปได้อย่างไรที่จะขายหมดภายในสองวัน?
จงหลี่ส่ายหน้า “ยังไม่หมดครับ แต่ขายได้เยอะมาก ผมคิดว่าแบบนี้กำลังเป็นที่นิยมมาก ผมจึงคิดว่าจะมาสั่งซื้อเพิ่มจากคุณน่ะครับ”
แน่นอนว่าหากมีเงิน ก็ต้องรีบหามา ลู่ฉิวเยว่รินชาให้เขา แล้วตอบทันทีว่า “ได้ค่ะ แต่คราวนี้คุณต้องการเท่าไหร่ ฉันจะเตรียมไว้ให้ค่ะ”
“ผมต้องการห้าร้อยเรือนครับ!” ดวงตาของจงหลี่เป็นประกาย ขณะยกนิ้วขึ้นมาห้านิ้ว
ลู่ฉิวเยว่ผงะ แล้วถามเขาเพื่อความแน่ใจ “ห้าร้อยเหรอคะ?”
จงหลี่ตัดสินใจแล้ว “ใช่ครับ!”
จนกระทั่งชายคนนั้นจากไป ลู่ฉิวเยว่ก็เลิกคิ้วขึ้น ดูเหมือนว่าการเดินทางไปฮ่องกงครั้งนี้จะได้อะไรมากมาย
โทรศัพท์ของร้านอาหารดังขึ้น ขัดจังหวะการไตร่ตรองของเธอ ลู่ฉิวเยว่รับสาย “สะ สวัสดีค่ะ ร้านอาหารฉิวเยว่”
“คุณลู่ สวัสดีครับ ผมเป็นผู้จัดการฝ่ายขายของห้างสรรพสินค้าหลงฉี่ คุณจำผมได้ไหมครับ?” เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นจากปลายสาย
ลู่ฉิวเยว่จำได้ ว่านี่คือห้างสรรพสินค้าที่เธอไปเสนอขายผลไม้เป็นที่แรก และในตอนนั้นเธอก็ถูกชายคนนี้ไล่ออกมา เธอเลิกคิ้วถามว่า “สวัสดีค่ะ ต้องการให้ฉันช่วยอะไรคะ?”
“คุณลู่ครับ ผมขอโทษที่คราวที่แล้วไม่ร่วมมือกับคุณ ผมอยากได้ผลไม้ของคุณสักชุด เราพอจะคุยกันได้ไหมครับ?” ชายคนนั้นพูดอย่างระมัดระวัง กลัวว่าเธอจะวางสาย
ผลไม้ของลู่ฉิวเยว่เริ่มขายในเมืองหลวงเมื่อสองวันก่อน ไม่รู้ว่าหัวหน้าของผู้จัดการคนนี้ไปได้ยินข่าวนี้มาจากที่ไหน จึงดุด่าผู้จัดการทันที โดยบอกว่าเขาทำให้ห้างสรรพสินค้าสูญเสียโอกาสสำคัญ ในการสร้างรายได้มหาศาล
ด้วยความกลัวว่าจะถูกหัวหน้าลดตำแหน่งจริง ๆ เขาจึงสอบถามไปทุกที่ และในที่สุดก็พบข้อมูลติดต่อของลู่ฉิวเยว่
“อ๋อ เรื่องนี้เอง แต่ต้องขอโทษด้วยค่ะ ฉันได้คู่ค้าแล้ว เลยไม่สามารถส่งมันไปที่ห้างสรรพสินค้าของคุณได้ตอนนี้ค่ะ” ลู่ฉิวเยว่เล่นเล็บตัวเอง แล้วพูดอย่างสบาย ๆ
ไม่ใช่ว่าไม่มี แค่ไม่อยากขายให้พวกเขา
ชายคนนั้นกังวลมาก และกล่าวคำขอโทษซ้ำ ๆ แต่ลู่ฉิวเยว่ก็ปฏิเสธด้วยคำพูดไม่กี่คำ
“เอาล่ะ ฉันยังมีสิ่งที่ต้องทำ ไว้คุยกันวันหลังนะคะ” ในที่สุดลู่ฉิวเยว่ก็หาเหตุผล วางสายโทรศัพท์
ชายที่อยู่ปลายสายมองโทรศัพท์ ก่อนจะวางลงด้วยความกังวล มุมปากของเขาเป็นแผลพุพองหลายจุด หลังจากสอบถามไปทั่ว เขาก็พบว่าลู่ฉิวเยว่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคุณพ่อหวง เขาจึงนำของขวัญมุ่งหน้าไปที่บ้านคุณพ่อหวง
“ผมพูดอย่างนั้นไม่ได้หรอกครับ” เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด คุณพ่อหวงก็ลำบากใจ
ชายคนนั้นรีบขอร้องเขาอย่างกระตือรือร้น “คุณหวง ผมไม่มีทางเลือกอื่นแล้วครับ ผมรู้ว่าตัวเองผิดจริง ๆ แต่ช่วยถามให้ผมหน่อยเถอะครับ คุณมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเธอ บางทีเธออาจจะยอมก็ได้”
คุณพ่อหวงค่อนข้างสงสารเขา อีกทั้งท่าทางของคนคนนี้ก็อ่อนน้อมมาก เขาจึงลำบากใจเกินกว่าจะปฏิเสธได้ เลยจำต้องพูดว่า “ถ้าจะให้ผมพยายามโน้มน้าวเธอ ผมทำไม่ได้หรอกครับ แต่ผมสามารถพาคุณไปที่นั่นเพื่อขอโทษได้ และดูว่าเธอยินดียกโทษหรือไม่”
เมื่อชายคนนั้นได้ยิน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง และรีบออกไปเตรียมของขวัญ เพื่อนำไปขอโทษลู่ฉิวเยว่
ก่อนอื่น พวกเขาไปที่ร้านอาหารของลู่ฉิวเยว่ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น ทั้งสองจึงไปที่บ้านของลู่ฉิวเยว่
ลู่ฉิวเยว่เปิดประตู เมื่อเห็นทั้งสองคน เธอก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นทันที คราวนี้เธอไม่แสดงอารมณ์โกรธเลย เพราะเห็นแก่หน้าคุณพ่อหวง และต้อนรับพวกเขาอย่างใจดี
“คุณลู่ครับ ครั้งที่แล้วผมทำผิดไป ผู้ใหญ่ย่อมไม่ถือสาเด็ก ไม่ทราบว่าพอจะขายผลไม้ให้ผมสักชุดได้ไหมครับ?” ชายคนนั้นมองเธออย่างกังวล เพราะกลัวว่าเธอจะปฏิเสธ
หากครั้งนี้เธอปฏิเสธอีก เขาคงทำอะไรไม่ได้แล้วจริง ๆ