สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 235 กลับจากทางใต้
บทที่ 235 กลับจากทางใต้
เพราะการช่วยกันคนละไม้คนละมือของทุกคน กระเป๋าเดินทางในมือของฉินซือก็เบาลงมาก ครอบครัวเดินคุยกันไปยังทางเข้าสถานีรถไฟ
“ดูสิ หน้าลูกดูผอมลงมาก แสดงว่าพวกลูกกินข้าวไม่อร่อย” คุณแม่ลู่จับมือลูกสาว แล้วมองหน้าเธออย่างพินิจพิจารณา สลับกับมองหน้าลูกเขย สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“ใช่ที่ไหนคะ หนูรู้สึกอ้วนขึ้นนิดหน่อยแล้ว” ลู่ฉิวเยว่จับแก้มกลม ๆ ตัวเอง เธอรู้สึกว่าคุณแม่ลู่กำลังหลอกเธอ และหัวเราะออกมา
พ่อแม่ก็พูดแบบนี้ทุกครั้งนั่นแหละ
ฉินซือเม้มปาก โน้มตัวไปมองเธอใกล้ ๆ และยืนยันว่า “ผมก็คิดว่าคุณผอมลงเหมือนกัน”
ลู่ฉิวเยว่กลอกตา ใช่แล้ว มีคนหลอกเธออีกคนแล้ว
“ใช่แล้ว ต้องกลับไปกินให้มากกว่านี้เพื่อชดเชย” คุณแม่ลู่พูด
ลู่ฉิวเยว่คิดถึงฝีมือการทำอาหารของตัวเอง จึงแนะนำว่า “ทำไมไม่ให้หนูทำอาหาร และจัดเมนูอร่อย ๆ ให้สักโต๊ะล่ะคะ หนูไม่ได้ทำอาหารมานาน จนฝีมือเริ่มขึ้นสนิมแล้วค่ะ”
คุณแม่ลู่ไม่เห็นด้วย “ขึ้นสนิมก็ขึ้นสนิมไปเลย ลูกเพิ่งกลับมา เลยต้องพักผ่อนให้เต็มที่ แม่คิดว่าคงจะดีถ้าให้เซวียนเซวียนไปนำกลับมาจากที่ร้าน”
“ใช่ นั่งรถไฟมาทั้งวันคงจะเหนื่อยแย่แล้ว รีบกลับไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะ” สายตาของคุณป้าเต็มไปด้วยความสงสาร
ทันใดนั้นลู่ฉิวเยว่ก็พบว่ามันน่าสนใจ จึงหยอกล้อแม่ด้วยรอยยิ้ม “แม่ไม่ได้พูดเสมอเหรอคะ ว่าการกินอาหารในร้านอาหาร จะขัดขวางธุรกิจร้านอาหารของเรา และยังทำเงินได้น้อยลงด้วย แต่ตอนนี้แม่ยินดีจะให้เอากลับไปกินที่บ้านแล้วเหรอคะ?”
คุณแม่ลู่มองค้อนเธอ “ไม่เสียดายเพราะพวกลูกหรอก ลูกดันมาแซวแม่ซะอย่างนั้น”
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะ และเข้าไปลูบไหล่แม่ลู่ “แม่ของหนูใจดีที่สุดค่ะ”
ในที่สุดลู่ฉิวเยว่ก็ตกลง เธอเองก็ไม่ได้ลิ้มรสอาหารในร้านมาเป็นเวลานานแล้ว ก็ดีที่จะได้ดูว่าพ่อครัวในร้านอาหารขี้เกียจหรือไม่ อีกอย่างคือตอนนี้เธอเหนื่อยมากแล้ว
เมื่อกลับมาแล้ว ฉินซือได้บอกให้เลขาหวังขับรถมารับพวกเขา ตอนนี้คนขับรถและเลขาหวังมาถึงแล้ว และกำลังรออยู่ที่ทางเข้าสถานีรถไฟ พวกเขาจึงสามารถขึ้นรถได้ทันทีที่ออกจากสถานี
รถสองคัน แม้มีคนเยอะก็นั่งได้
ทันทีที่เข้าไปในบ้าน ลู่ฉิวเยว่แทบรอไม่ไหวที่จะเปิดถุงที่นำมาด้วย นี่คือของฝากที่พวกเธอซื้อให้กับทุกคน
ฉินซือซื้อของฝากให้คุณพ่อลู่เป็นพิเศษ ตอนนี้เขาหยิบมันออกมาแล้ว มันคือบุหรี่สองกล่องและไฟแช็กหนึ่งอัน
คุณพ่อลู่ตาเป็นประกาย นี่ไม่ใช่บุหรี่ธรรมดา แต่เป็นยี่ห้อมาร์ลโบโร
เขาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนหนุ่ม ๆ พ่อใฝ่ฝันอยากได้มาก”
ลู่ฉิวเยว่มองเขา และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือน “พ่อควรสูบบุหรี่ให้น้อยลงนะคะ”
คุณพ่อลู่เคยสูบบุหรี่มาก่อน แต่เขาสูบแค่ยาสูบแห้งเท่านั้น ไม่ได้สูบบุหรี่มากนัก ถือได้ว่าไม่ได้ติดบุหรี่จนเกินไป เธอจึงมักจะเตือนเพียงไม่กี่คำ และไม่ได้บังคับให้เขาเลิก
“ได้ ๆๆ” คุณพ่อลู่พยักหน้าหลายครั้ง แต่ไม่ยอมละสายตาจากบุหรี่เลย ทำให้ลู่ฉิวเยว่หัวเราะ
หวังเซวียนเซวียนมองบุหรี่สองกล่องนั้นด้วยความสงสัย แต่เขาไม่สูบบุหรี่จึงได้แค่มองบุหรี่เหล่านั้น หลังจากถามคุณพ่อลู่แล้ว เขาก็หยิบไฟแช็กในมือขึ้นมาเล่น เสียงตอนจุดไฟนั้นชวนฟังมาก
หลังจากที่ลู่ฉิวเยว่แบ่งของฝากเสร็จแล้ว เธอก็ไม่ได้สนใจเรื่องยุ่งยากในหมู่ผู้อาวุโส เธอหันหลังพาแม่และป้าลู่ไปที่ห้องเพื่อลองเสื้อผ้าใหม่ที่เธอเพิ่งซื้อมาให้ เพื่อดูว่าใส่ได้พอดีหรือไม่
คุณแม่ลู่มีความสุขมาก เมื่อเห็นถุงเสื้อผ้าที่ลูกสาวซื้อมา เธอชอบมากทุกตัว ส่วนจะใส่ได้หรือไม่ก็ต้องลองใส่ดูจึงจะรู้
“ลูกสาวของฉันตาถึงจริง ๆ” เธอมองตัวเองในกระจก แล้วฉีกยิ้มอย่างพึงพอใจ
ลู่ฉิวเยว่เข้ามาช่วยรูดซิปให้เธอ “แน่นอนค่ะ”
คุณป้าเองก็ใส่ชุดใหม่ด้วย พลางยิ้มกว้าง
เมื่อถึงเวลาหกโมงเย็น เหล่าสาว ๆ ก็ออกจากห้อง หวังเซวียนเซวียนกลับมาจากร้านพร้อมอาหาร
ลู่ฉิวเยว่เดินไปช่วยเทใส่จาน อาหารยังร้อนจนเกิดไอน้ำ
อาหารมื้อนี้น่ารับประทานมาก แต่ลู่ฉิวเยว่ยังเปลี่ยนนิสัยที่ชอบวิจารณ์อาหารในร้านอาหารของตัวเองไม่ได้ “เนื้อนี้สุกเกินไปนิดหน่อย… ซอสยังไม่เข้มข้นพอ…”
ดูเหมือนหลังจากกินข้าวเสร็จ เธอจะต้องหยิบสมุดเล็ก ๆ มาจด จากนั้นจะไปร้านอาหาร เพื่อคุยกับเชฟและฝึกฝนพวกเขาเพิ่มด้วย
“ลูกทำงานหนักเกินไปทำให้รู้สึกไม่สบายใจแม้แต่ตอนกินข้าว” คุณแม่ลู่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ แล้วใช้ตะเกียบคีบเนื้อสองชิ้นให้เธอ
ทันทีที่พูดดังนั้น ทุกคนบนโต๊ะก็หัวเราะ
ฉินซือเม้มปากและแอบเสริมในใจ ‘แถมยังค่อนข้างโลภด้วยครับ’
ลู่ฉิวเยว่พ่นลมหายใจ แล้วกินต่ออย่างสงบ
“อ๋อ ใช่แล้ว ลูกบอกว่าได้เอาของบรรทุกมากับรถไฟ ซื้ออะไรมาเหรอ?” จู่ ๆ คุณพ่อลู่ก็ถามขึ้น โดยคิดว่ามันน่าจะเป็นสินค้าที่นำกลับมาจากฮ่องกง
“เป็นเทปค่ะ แต่ส่วนใหญ่เป็นผลไม้ขายส่งจากทางใต้” ลู่ฉิวเยว่อธิบาย หลังจากคีบผักใบเขียวเข้าปาก
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ทุกคนก็ตกตะลึง
“ผลไม้ ซื้อเยอะขนาดนี้จะขายหมดได้ยังไง?” คุณแม่ลู่ขมวดคิ้วด้วยความกังวล ถ้าขายไม่ได้จะไม่ขาดทุนเหรอ?
ลู่ฉิวเยว่ไม่ได้กังวลกับปัญหาการขาย ในยุคที่การคมนาคมยังด้อยพัฒนา การขนส่งผลไม้จากทางใต้ ส่วนใหญ่จะใช้เพียงรถบรรทุกเหมาลำเท่านั้น จึงยากที่จะเห็นคนนำผลไม้จากภาคใต้มาขายยังภาคเหนือ สินค้านั้นหายากและมีราคาแพง เธอเชื่อว่าอีกไม่นานเธอจะหาทางขายได้
“แม่ครับ แม่ต้องเชื่อในความสามารถของฉิวเยว่นะครับ ถ้าขายไม่ได้ก็เอามาแปรรูปได้ครับ มีหลายช่องทาง จะไม่ขาดทุนหรอกครับ” ฉินซือตักซุปให้คุณแม่ลู่ ก่อนเหลือบมองลู่ฉิวเยว่แล้วปลอบใจเธอด้วยรอยยิ้ม
ทุกคนรู้สึกโล่งใจหลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูด จากนั้นพวกเขาจึงพูดคุยและรับประทานอาหารอย่างมีชีวิตชีวาต่อไป
ในตอนกลางคืน ลู่ฉิวเยว่และฉินซือนอนที่บ้านพ่อแม่ตระกูลลู่ โดยวางแผนว่าจะกลับไปที่บ้านใหม่ของพวกเขา ในวันพรุ่งนี้
วันต่อมา ลู่ฉิวเยว่คิดว่าเธอยังต้องขายผลไม้ให้ได้จำนวนหนึ่ง เธอจึงออกไปข้างนอกอย่างอารมณ์ดีแต่เช้า
แต่การขายผลไม้นั้นพูดง่ายกว่าทำ เธอไปหาพ่อค้าหลายราย แม้จะประสบความสำเร็จ แต่ความสามารถในการซื้อสินค้าของพ่อค้ามีจำกัด หลังจากพูดคุยกันเกือบทั้งวัน ผลไม้ก็ขายได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น และยังคงเหลืออีกมากมาย ลู่ฉิวเยว่กังวล จากนั้นก็วางแผนจะลองไปเจรจากับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ดู
วันต่อมา เธอพบห้างสรรพสินค้าใกล้ ๆ จึงเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์
แคชเชียร์เป็นผู้หญิงอายุราวสามสิบปี เธอช่วยลูกค้าคนก่อนชำระบิลเรียบร้อย แล้วเงยหน้าขึ้นมองลู่ฉิวเยว่ “คุณคะ ไม่ทราบว่าต้องการให้ช่วยเหลืออะไรหรือเปล่าคะ?”
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มอย่างสุภาพ “ฉันต้องการพบผู้จัดการฝ่ายขายของพวกคุณค่ะ”
“คุณมีอะไรเหรอคะ?” หญิงสาวขมวดคิ้วมองเธออย่างระแวดระวัง
ลู่ฉิวเยว่รู้ว่าเธอเข้าใจผิด จึงกระแอม แล้วพูดอย่างประหม่าเล็กน้อย “ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อตำหนิหรอกค่ะ ฉันมีสินค้าบางอย่างที่เหมาะกับห้างของพวกคุณ ฉันเลยอยากคุยกับผู้จัดการค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เดินไปทางนั้น แล้วสำนักงานจะอยู่ฝั่งตรงข้ามค่ะ” ผู้หญิงคนนั้นถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วชี้บอกทาง
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้าขอบคุณเธอ แล้วเดินไปทางนั้น เมื่อพบสำนักงานที่พนักงานพูดถึง เธอก็เคาะประตูเบา ๆ