สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 233 ค้นพบโอกาสทางธุรกิจในฮ่องกง
บทที่ 233 ค้นพบโอกาสทางธุรกิจในฮ่องกง
ลู่ฉิวเยว่ไม่รู้ว่าสามีกำลังคิดอะไรอยู่ เธอกำลังดื่มด่ำไปกับความสุขในการซื้อของ จนได้ของถุงใหญ่โดยไม่รู้ตัว หญิงสาวในร้านเครื่องสำอางเห็นว่าเธอซื้อเยอะมาก จึงมอบกระเป๋าผ้าให้เธอเป็นพิเศษ
หลังจากเดินซื้อของไปรอบ ๆ ในช่วงบ่ายลู่ฉิวเยว่ก็รู้สึกหิว จึงเสนอว่า “เราไปหาอะไรกินกันก่อนดีไหม?”
ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้มีอาหารอร่อยอะไรบ้างในฮ่องกง
ฉินซือพยักหน้า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเธอ เขาจูงมือเธอเดินออกไป
ทันทีที่ออกจากประตู ลู่ฉิวเยว่ก็เหลือบไปเห็นร้านขนมฝั่งตรงข้าม และรู้สึกอยากกินทันที เธอบีบมือฉินซือแล้วพูดว่า “ฉินซือ คุณไปซื้อขนมให้ฉันหน่อยสิคะ”
“งั้นคุณรอผมอยู่ตรงนี้นะ” ฉินซือชั่งน้ำหนักกระเป๋าในมือแล้วพบว่าไม่หนัก เขาจึงส่งไปให้เธอ แล้วจูงมือเธอไปอยู่ในที่ร่ม
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้าก่อนปล่อยมือ ผลักเขาและเร่งเร้า “คุณรีบไปเร็วเข้า”
ความสัมพันธ์ของทั้งสองตอนนี้มีความใกล้ชิดกันมากขึ้น ลู่ฉิวเยว่เปิดเผยความรู้สึกอย่างชัดเจน ฉินซือมีความสุขมากที่ได้เห็นภรรยาทำท่าทีกระเง้ากระงอด สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันหลังเดินไปฝั่งตรงข้าม
ถนนในฮ่องกงมีชีวิตชีวามาก ลู่ฉิวเยว่รู้สึกทึ่ง ผู้คนมากมายรอบตัวเธอเดินผ่านไปมา จนเธอไม่ได้สังเกตว่ากระเป๋าถูกกรีด
กว่าจะรู้สึกตัว ชายคนนั้นก็อยู่ห่างออกไปราวสามเมตรแล้ว
ลู่ฉิวเยว่กัดฟันและกำลังจะไล่ตามไป แต่ฉินซือรีบวิ่งออกไปก่อนอย่างรวดเร็ว และขวางหัวขโมยไว้ได้ภายในไม่กี่วินาที
“มีมือมีเท้าแต่ไม่รู้จักทำงาน เอาแต่จะขโมยของ” ลู่ฉิวเยว่ตามมาทัน และเตะต้นขาของเขา
ฉินซือเอื้อมมือไปเอาของกลับมาจากหัวขโมย
ชายคนนั้นโกรธมาก เขาลุกขึ้นจากพื้น แล้วหยิบมีดสั้นออกมาขู่ทั้งสอง “พวกแกกล้ามาก! ระวังตัวให้ดีเถอะ!”
ลู่ฉิวเยว่มองเขาด้วยสายตาดูถูก ไม่มีอารมณ์จะต่อปากต่อคำด้วยซ้ำ
“แน่นอนว่าพวกเรากล้า แต่แกไม่กล้าหรอก” ฉินซือยิ้มเยาะ
เมื่อเห็นว่าหัวขโมยวิ่งหนีไปแล้ว เขาจึงหันไปหาภรรยา แล้วยิ้ม “โดนชายคนนั้นขโมยของไปหมดแล้ว ทำไมคุณถึงประมาทขนาดนี้”
ลู่ฉิวเยว่กระแอมออกมาด้วยความอาย เมื่อครู่นี้เธอเอาแต่มองร้านเทป และรู้สึกทึ่งมากจนไม่ทันได้ตอบสนองไปชั่วขณะ
ฉินซือลูบหัวเธอ แล้วยื่นขนมในมือให้เธอ “กินสิ”
เขาเอื้อมมือไปจับมือเธอให้เดินไปข้างหน้าด้วยกัน
ทั้งสองพบร้านอาหารแห่งหนึ่ง หลังจากกินดื่มเสร็จแล้ว ลู่ฉิวเยว่ก็เช็ดปากจนสะอาด เมื่อได้ยินเสียงเพลงในร้าน จู่ ๆ เธอก็นึกถึงร้านเทปที่เธอเห็นเมื่อครู่นี้ และรู้สึกเหม่อลอยเล็กน้อย
“ฉินซือ ฉันอยากกลับไปดูร้านเทป”
ฉินซือไม่คัดค้านและจูงมือเธอออกไปข้างนอก ทั้งสองมาถึงร้านเทปเมื่อสักครู่นี้อย่างรวดเร็ว
เพลงในร้านเป็นของเติ้งลี่จวิน ลู่ฉิวเยว่เม้มปากครุ่นคิดอยู่ในใจ ตอนนี้ในเมืองหลวงมีร้านเทปไม่มากนัก และส่วนใหญ่เป็นเพลงเก่า ถ้าเอาเทปพวกนี้กลับไปอัดขายบ้าง ก็จะเป็นช่องทางหาเงินอีกทางหนึ่งด้วย
“เถ้าแก่ เครื่องอัดเทปในร้านของคุณราคาเท่าไหร่คะ” หลังจากเดินดูเทปไปสักพัก ลู่ฉิวเยว่ก็หยุดอยู่หน้าเครื่องอัดเทปสีดำ
เถ้าแก่มองพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วรู้สึกได้ว่าพวกเขาไม่ใช่คนท้องถิ่น จึงกลอกตาแล้วยิ้ม “เครื่องอัดเทปราคาเครื่องละหกร้อยหยวนครับ”
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า “ถูกกว่านี้ไม่ได้เหรอคะ?”
เถ้าแก่ส่ายหน้า “ไม่ได้ครับ”
ลู่ฉิวเยว่คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินออกไปพร้อมกับฉินซือ
“ห้าร้อยแปดสิบ!” เมื่อเถ้าแก่เห็นเป็ดในปากบินหนีไป จึงรีบเรียกไว้
ลู่ฉิวเยว่ส่ายหน้าแล้วจากไป ในที่สุดเธอก็ไปเยี่ยมชมร้านค้าหลายแห่ง และเปรียบเทียบราคา ก่อนตัดสินใจซื้อเทปจากร้านเทปที่อยู่สุดถนน
ต้องซื้อวัสดุเพิ่มเติม คำนวณไว้ว่าราคาเทปตลับหนึ่งมากกว่าสองหยวน เครื่องอัดเทปราคาสี่ร้อยหกสิบ หากเธอนำไปอัดขาย เธอก็สามารถขายเทปได้ในราคาหกหยวนต่อหนึ่งตลับ ถ้าขายได้ร้อยกว่าตลับก็คืนทุนได้แล้ว แล้วต่อจากนี้ไปก็จะเป็นกำไรมหาศาล
จะไม่สามารถทำเงินได้มหาศาลได้อย่างไร?
ลู่ฉิวเยว่เม้มปาก แล้วเลือกเทปจำนวนมากในร้านอย่างประณีต เธอรู้ว่านักร้องคนไหนจะได้รับความนิยมในปีนี้ และในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เธอจึงคัดเลือกเทปของนักร้องบางคนเป็นพิเศษ เช่น เติ้งลี่จวินและจางหรง
เถ้าแก่เป็นลุงวัยสี่สิบ ดูเหมือนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเจอเรื่องแบบนี้ เขาจึงนึกชื่นชมความฉลาดของเธอ
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะเบา ๆ
หลังจากตกลงซื้อเครื่องอัดเทปไปสามเครื่อง ลู่ฉิวเยว่ก็จดบันทึกที่อยู่ไว้ให้ “โปรดช่วยส่งของทุกชิ้นไปที่โรงแรมนี้ให้ด้วยนะคะ”
“พวกคุณจะขนส่งของพวกนี้เข้าประเทศเหรอครับ?” ขณะที่พวกเขากำลังจะออกไป เถ้าแก่ก็ยืนขึ้น และเข้ามาถามพวกเขาด้วยความสงสัย
ลู่ฉิวเยว่หรี่ตา เธอสงสัยว่าเขาคิดจะทำอะไร จึงตอบว่า “ใช่ค่ะ”
เถ้าแก่หัวเราะ นัยน์ตาเป็นประกายเล็กน้อย “พวกคุณซื้อกลับไปเยอะมาก จึงต้องจ่ายภาษีศุลกากรเยอะ แถมยังยุ่งยากอีกด้วย แต่จะไป ๆ มา ๆ ก็จะทำเงินได้น้อยลง”
ฉินซือไม่สนใจเรื่องจ่ายภาษี สีหน้าของเขาเรียบเฉย แต่ลู่ฉิวเยว่รู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย
“ถ้าอย่างนั้นเถ้าแก่มีทางออกที่ดีกว่านี้ใช่ไหมคะ?” เธอหัวเราะ พลางใช้มือสัมผัสเครื่องอัดเทปที่อยู่ข้างเธอ แล้วจ้องมองเขา
“แน่นอน” เถ้าแก่พยักหน้าอย่างมั่นใจ “มันจะถูกกว่ามาก ถ้าคุณส่งขายในนามบริษัทของเรา”
ลู่ฉิวเยว่ครุ่นคิด แล้วรู้สึกว่ามันเป็นความคิดที่ดี เธอจึงตอบตกลง
“แต่ถ้าเรื่องนี้ตกลงกันแล้ว ก็ต้องดำเนินการอย่างเร็วที่สุด บริษัทของเราจะจัดส่งสินค้าวันมะรืนนี้ ผมจะได้ช่วยให้สินค้าของคุณผ่านไปได้” เถ้าแก่ถาม “พวกคุณรอได้ไหมครับ?”
“ได้ค่ะ” ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า ฉินซือยังมีเรื่องต้องทำที่นี่ ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งหรือสองวัน นับว่าเวลากำลังพอดี
เถ้าแก่ยิ้ม “ดีเลยครับ งั้นตอนเย็นมาคุยกันหน่อยได้ไหมครับ? ที่โรงแรมจั่งเซิงดีไหมครับ?”
หมายความว่าจะหารือรายละเอียดความร่วมมือกันในตอนเย็น
ลู่ฉิวเยว่เหลือบมองฉินซือ เมื่อเห็นเขาพยักหน้า ก็พูดว่า “ตกลงค่ะ”
ความช่วยเหลือจากผู้อื่นนั้นย่อมเป็นประโยชน์ ตามปกติแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะไม่มอบผลประโยชน์บางอย่างให้เขา
“ที่นี่มีพวกอันธพาลเยอะมาก พวกคุณควรระวังให้ดีนะครับ” เถ้าแก่เตือนก่อนจากไป
ตอนนี้พวกเขาได้นัดหมายกันแล้ว ลู่ฉิวเยว่พาฉินซือออกไป และวางแผนว่าจะกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมสักพักก่อน
ตอนนี้พวกเขาแต่งงานกันแล้ว ฉินซือจึงเปิดห้องขนาดใหญ่ ทั้งสองนอนกอดกันพักผ่อนเป็นเวลาสองชั่วโมง ก่อนจะตื่นขึ้นมาและตรงไปที่โรงแรมเพื่อกินอาหารเย็นกับเถ้าแก่
เมื่อพวกเขาไปถึงห้องส่วนตัวที่ตกลงกันไว้ ลู่ฉิวเยว่และฉินซือก็เคาะประตู แล้วเข้าไปด้วยกัน เมื่อเห็นคนที่อยู่ข้างใน ลู่ฉิวเยว่ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
เถ้าแก่พาคนอื่นมาด้วยจริง ๆ
“นี่คือน้องชายของผม เขาชื่อหลีเซิงเซียวครับ” เถ้าแก่แนะนำด้วยรอยยิ้ม
หลังจากที่ทุกคนทักทายกันแล้ว พวกเขาก็ร่วมรับประทานอาหารกันอย่างสนุกสนาน บรรยากาศค่อนข้างเป็นกันเอง
หลังรับประทานอาหารแล้ว หลีเซิงเซียวก็อธิบายจุดประสงค์ของการมาในครั้งนี้ “ผมได้ยินมาว่าคุณกำลังทำธุรกิจในแผ่นดินใหญ่ ผมบังเอิญมีกล้องอยู่ตัวหนึ่ง ก็เลยตั้งใจว่าจะมอบให้พวกคุณ เพราะอยากให้พวกคุณช่วยประชาสัมพันธ์ให้ ถ้าคุณคิดว่ามันใช้งานได้ดี ก็มาหาผมเพื่อซื้อสินค้า ดีไหมครับ?”
ลู่ฉิวเยว่เลิกคิ้วขึ้น “แน่นอนค่ะ”