สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 230 นิทรรศการที่น่าหนักใจ
บทที่ 230 นิทรรศการที่น่าหนักใจ
ชายชราขมวดคิ้วหลังจากกัดเข้าไป ก่อนจะคายเนื้อในปากลงในจานอาหาร โดยที่ยังมีอาหารส่วนที่เหลืออยู่ในจานด้วยสีหน้ารังเกียจ
การตัดสินนี้ไม่ยุติธรรม อาจกล่าวได้ว่ารุนแรงและเป็นการดูถูกเธอ
ลู่ฉิวเยว่หน้าเสียเล็กน้อย
ชายชรามองเธอด้วยสายตาเย็นชา พร้อมถ้อยคำประชดประชัน แล้วชิมอาหารอีกสองจาน จากนั้นก็วิพากษ์วิจารณ์และตัดสินอย่างรุนแรงไร้ความปรานี ราวกับว่าฝีมือการทำอาหารของเธอไม่เหมาะกับงานนี้เลย
ห้องนิทรรศการมีขนาดไม่ใหญ่นัก ในไม่ช้านักชิมคนอื่น ๆ ก็สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวที่นี่ และเริ่มมารวมตัวกัน นักชิมสองคนที่ได้ชิมอาหารของลู่ฉิวเยว่เมื่อครู่นี้ ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
พวกเขาเพิ่งชิมอาหารของผู้หญิงคนนี้ไป เห็นได้ชัดว่ารสชาติน่าประทับใจมาก ชายชราคนนี้น่าจะจงใจทำให้เธออับอาย
คนอื่นก็สังเกตเห็นเช่นเดียวกัน แต่กลับไม่กล้าพูดอะไร เพราะชายชราคนนี้อาวุโสกว่าพวกเขาในวงการทำอาหาร หากพูดไปแล้วอาจจะเดือดร้อนได้
ลู่ฉิวเยว่ไม่เข้าใจการกระทำของชายชราคนนี้ และรู้สึกไม่พอใจมาก หากที่นี่ไม่ใช่สถานที่สาธารณะ เธอคงต้องพูดอะไรบางอย่างกับเขาไปแล้ว
ทันใดนั้น นักชิมหนุ่มคนหนึ่งก็ไม่พอใจ เขายืนมองหน้าชายชรา แล้วหยิบตะเกียบอันใหม่ มาชิมอาหารของลู่ฉิวเยว่อย่างพิจารณา จากนั้นใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปาก
แล้วหัวเราะเยาะ “ผมลองชิมแล้ว ฝีมือของเชฟคนนี้ดีมาก ไม่รู้ว่าทำไมคุณลุงถึงมุ่งเป้าโจมตีเด็กแบบนี้ เป็นเพราะความแค้นส่วนตัวหรือเปล่าครับ?”
มีคนมาขอชิมด้วยความอยากรู้อยากเห็น
แม้ว่าเจียงฉี่จะยังอายุน้อย แต่เขาก็มีความสามารถในการชิมอาหารมาก แม้แต่นักชิมรุ่นอาวุโสก็ยังชื่นชมเขา ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาเคยค้นพบเชฟที่มีฝีมือแต่ยังไม่ได้เป็นผู้นำในวงการทำอาหาร
หญิงสาวคนนี้ต้องมีความสามารถสูงมาก และอาจกลายเป็นตัวเต็งได้ในอนาคต
เดิมทีชายชราคิดว่าจะไม่มีใครกล้าพูดอะไร เพราะสถานะของเขา แม้ว่าเขาจะทำให้หญิงสาวตัวเล็ก ๆ ต้องอับอายก็ตาม แต่เขาไม่คาดคิดว่าจะถูกเจียงฉี่ตบหน้า
เขาโกรธมากจนหน้าแดง ทันใดนั้น คนที่ได้รับการสนับสนุนจากเขา และคนกลุ่มเดียวกับเขา ก็ก้าวเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์ให้
มีคนชี้หน้าเจียงฉี่ แล้วตำหนิเขา “คุณเป็นเด็ก แต่กลับดูหมิ่นผู้อาวุโสในวงการอาหาร ฉันคิดว่าคุณคงไม่มีการศึกษาจริง ๆ”
“ใช่แล้ว ถ้าไม่รู้จักอ่อนน้อม ต่อให้มีความสามารถมากแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์”
นักชิมที่สนับสนุนและชื่นชมเจียงฉี่ อดไม่ได้ที่จะช่วยเถียงให้ “เจียงฉี่แค่พูดความจริง ทำไมเขาจะไม่เคารพผู้อาวุโสล่ะ ฉันคิดว่าพวกคุณจงใจใส่ร้ายเชฟคนอื่นมากกว่า พวกคุณนิสัยไม่ดีเลย”
“ใช่แล้ว ไม่เคารพผู้อาวุโส!”
……
ความโกลาหลที่นี่เริ่มปะทุมากขึ้นเรื่อย ๆ และดึงดูดความสนใจได้อย่างรวดเร็ว
การแข่งขันครั้งนี้ได้เชิญสมาคมนักทำอาหารมาเป็นพิเศษ เหอสยงอิ๋งว่างวันนี้พอดี เขาจึงตามรุ่นน้องมาดูด้วย เขาไม่คิดว่าจะได้เจอเรื่องน่าขันเช่นนี้
ลูกน้องช่วยเปิดทางให้เขาเดินไปดูที่เกิดเหตุ สายตาเขาจับจ้องไปที่ชายชรา “คุณเกา คุณก็มาด้วย”
จากนั้นเขาก็มองไปที่บูธด้วยความสับสน “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”
ชายชราหงุดหงิด แต่ก็ยังพยักหน้าให้เขา
ลู่ฉิวเยว่เห็นว่าเป็นคนรู้จัก จึงทักทายด้วยรอยยิ้ม “ท่านประธาน”
เมื่อครู่นี้มีคนมากมายมายืนมุงอยู่ที่บูธ และลู่ฉิวเยว่ก็ตัวผอมเพรียว จึงถูกมองเห็นได้ไม่ชัดเจนท่ามกลางฝูงชน เมื่อประธานได้ยินเสียงเธอทักทายด้วยรอยยิ้ม เขาก็รู้ทันทีว่าเป็นเธอ “ฉิวเยว่ คุณก็มาแข่งที่นี่ด้วย ดูสิผมมาได้ถูกวันจริง ๆ เลย”
“ท่านประธาน คุณรู้จักคุณลุงคนนี้ไหมคะ?” ลู่ฉิวเยว่ยกยิ้มอ่อน แล้วถาม
ประธานหัวเราะ แล้วแนะนำเธอ “นี่คือพ่อตาของเหลียงซิง”
ทันใดนั้นลู่ฉิวเยว่ก็ตระหนักได้ และรู้สึกลำบากใจ “คาดไม่ถึงเลยว่าคุณลุงจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับความคับข้องใจระหว่างเหลียงซิงกับฉัน ในการแข่งขันทำอาหารครั้งที่แล้ว ฉันต้องขอโทษจริง ๆ ที่ทำให้เรื่องวุ่นวายค่ะ”
หลายคนในที่เกิดเหตุรู้จักเหลียงซิง และบางคนที่ได้รับชมการแข่งขันทำอาหารครั้งนั้น ก็หัวเราะออกมา
เด็กแข่งขันกับคนอื่น แต่พอสู้ไม่ได้ก็ไปฟ้องคนแก่เพื่อขอความช่วยเหลือ มันไร้สาระมากที่ผู้อาวุโสจงใจทำให้เด็กต้องอับอายด้วยความไร้ยางอาย
“เป็นแบบนี้นี่เอง” เจียงฉี่ต้องการราดน้ำมันลงในกองไฟ เขาล้อเลียนคนไม่กี่คนที่ช่วยชายชราพูดเมื่อครู่นี้ “ดูเหมือนว่าไม่ใช่ผมแล้วล่ะที่นิสัยไม่ดี แต่เป็นคนอื่นมากกว่า”
สีหน้าของชายชราเปลี่ยนจากสีแดงเป็นซีดเผือด เขาทนต่อสายตาของทุกคนที่จ้องมองมาไม่ได้ จึงสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
เสียงหัวเราะที่ดังมาจากข้างหลัง ทำให้ยิ่งโมโห
เมื่อชายชราจากไป นิทรรศการก็กลับมาสู่ความสงบอีกครั้ง หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายดังกล่าว ทุกคนต่างสงสัยเรื่องรสชาติอาหารของลู่ฉิวเยว่ จึงเข้ามาชิมทีละคน จากนั้นทุกคนก็ตอบรับในทางที่ดี ทำให้เลู่ฉิวเยว่ผ่านการแข่งขันได้สำเร็จ
เมื่องานนิทรรศการกำลังจะปิด ทุกคนก็จากไปทีละคน ลู่ฉิวเยว่เก็บรวบรวมส่วนผสมที่เธอนำมาใส่ไว้ในกระเป๋า ขณะกำลังจะหยิบกระเป๋าขึ้นมา เธอก็หันไปเห็นเจียงฉี่ เธอจึงกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณที่ช่วยพูดแทนฉันเมื่อกี้นะคะ”
“ผมพูดเพื่อความเป็นธรรมน่ะครับ” เจียงฉี่โบกมือ ไม่ได้สนใจมากนัก
เขาเข้ามาใกล้บูธ แล้วจ้องมองเธอขณะพูดอย่างจริงใจ “ทักษะการทำอาหารของคุณลู่ดีมาก ผมชื่นชมคุณมาก คุณช่วยฝากข้อมูลติดต่อไว้ได้ไหมครับ?”
“ไม่ได้!” ก่อนที่ลู่ฉิวเยว่จะทันได้ตอบ เสียงเกรี้ยวกราดก็ดังมาจากประตู
เธอเลิกคิ้วหันไปมอง ปรากฏว่าเป็นฉินซือที่มารับเธอ
เดิมทีฉินซือคิดจะเข้ามารับลู่ฉิวเยว่กลับ แต่เขากลับบังเอิญเห็นเหตุการณ์นี้พอดี เขาจึงโกรธมาก จนก้าวเข้าไปดึงลู่ฉิวเยว่มาไว้ข้างหลังเขา แล้วจ้องมองเจียงฉี่ตรงหน้าเขาด้วยสายตาเย็นชา
“ภรรยาฉันไม่ชอบคุยโทรศัพท์กับเพศตรงข้าม”
เมื่อเจียงฉี่เห็นคนตรงหน้าเขา นัยน์ตาก็ฉายแววขบขัน “ฉินซือ ฉันไม่คิดเลยว่านายจะขี้หึงขนาดนี้”
ฉินซือพ่นลมหายใจ โดยไม่ได้โต้เถียง และยังคงยืนบังลู่ฉิวเยว่ที่อยู่ข้างหลัง
“พวกคุณรู้จักกันด้วยเหรอ?” ลู่ฉิวเยว่โผล่หน้าออกมาจากด้านหลังเขาด้วยความประหลาดใจ
ฉินซือนึกเย้ยหยัน ก่อนแนะนำให้เธอรู้จัก “เขาชื่อเจียงฉี่ เป็นคนขี้เหนียว โรคจิตและไร้ยางอาย”
เจียงฉี่หัวเราะด้วยความไม่พอใจกับคำอธิบายของเขา แล้วโต้กลับอย่างไม่ยี่หระ ด้วยการชี้ชวนลู่ฉิวเยว่ “คุณลู่ ดูเขาสิครับ เขาไม่ยอมให้คุณเป็นเพื่อนกับเพศตรงข้าม บางทีในอนาคต เขาอาจจะไม่ปล่อยคุณออกไปข้างนอกด้วยซ้ำ คุณต้องระวังเขาให้ดี การหย่าร้างเป็นเรื่องใหญ่ เดี๋ยวในอนาคตผมจะแนะนำให้คุณรู้จักกับผู้ชายที่ดีกว่านี้ ทั้งเรื่องหน้าตาและความสามารถ”
ใบหน้าของฉินซือเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ เขาพูดอย่างเย้ยหยัน “เจียงฉี่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นายไม่ได้เปลี่ยนไปเลยนะ ชอบพูดจาหยาบคาย แถมยังนิสัยแย่ขึ้น จนถึงกับสาปแช่งชีวิตแต่งงานของคนอื่น”
“ไม่ต่างกันหรอก นายก็ยังเป็นคนที่ไม่มีใครชอบ เหมือนกับสมัยเรียนในโรงเรียน” เจียงฉี่ยิ้มเยาะ
ฉินซือจ้องหน้าเขา เมื่อเห็นว่าเขาต้องการคุยกับลู่ฉิวเยว่ เขาก็หยิบกระเป๋าของลู่ฉิวเยว่ขึ้นมา แล้วดึงเธอหันหลังเดินออกไป
ลู่ฉิวเยว่มองกลับไป แล้วยิ้มให้เจียงฉี่ด้วยความอาย “คุณเจียง ฉันขอตัวกลับไปกับเขาก่อนนะคะ”