สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 222 เรื่องของเหอคุนเฟิ่งได้รับการแก้ไขแล้ว
บทที่ 222 เรื่องของเหอคุนเฟิ่งได้รับการแก้ไขแล้ว
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นก็ตกใจ และกลัวว่าเหอคุนเฟิ่งที่อยู่ข้างบนจะสติแตก แล้วกระโดดลงมาจริง ๆ
อาจารย์ใหญ่ได้ยินก็มองไปยังลู่ฉิวเยว่ด้วยความโกรธเกรี้ยว “ผ่านมานานแค่ไหนแล้ว แต่เธอยังพูดจาประชดประชันอยู่อีก ถ้าหล่อนกระโดดลงมาจริง ๆ เธอจะรับผิดชอบได้ไหม?”
หากมีคนเสียชีวิต บทบาทของเขาในฐานะอาจารย์ใหญ่ก็จะสิ้นสุดลง
ลู่ฉิวเยว่กลอกตา ใช่สิ ตอนนี้ทุกอย่างเป็นความผิดของเธอ ราวกับว่าถ้าคนข้างบนกระโดดลงมาจากตึก ก็เป็นเพราะเธอ
“ใช่แล้ว นักเรียนลู่ ถ้ามีอะไรจะพูดก็รอจนกว่าเธอจะลงมาก่อนสิ อย่าทำให้เธอโมโหเลย” บางคนในฝูงชนเริ่มวิพากษ์วิจารณ์
ลู่ฉิวเยว่ไม่ได้สนใจพวกเขา และเงยหน้าขึ้นมองเหอคุนเฟิ่งจากระยะไกล
“ครูเหอ บอกไว้ก่อนเลยนะคะ ว่าต่อให้กระโดดลงมาก็ไม่ตายหรอก นี่มันแค่ชั้นสามเท่านั้น มากสุดครูก็พิการหรือเป็นอัมพาต บางทีหนูอาจจะไปเยี่ยมครูที่โรงพยาบาลก็ได้ค่ะ” ลู่ฉิวเยว่เม้มปาก การยอมเสียชีวิตเพียงเพราะความโกรธนั้นไม่คุ้มเลย
สีหน้าของเหอคุนเฟิ่งเปลี่ยนไปหลังจากได้ยิน และหันไปมองข้างหลังด้วยความลังเล
ลู่ฉิวเยว่ก้าวเข้าไปใกล้ขึ้น แล้วเกลี้ยกล่อมเธอต่อไป “ทำไมต้องโมโหด้วยล่ะ เอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงเพราะเรื่องนี้ คุ้มแล้วเหรอคะ?”
ไม่รู้ว่าประโยคนี้กระทบใจเหอคุนเฟิ่งได้อย่างไร จู่ ๆ เธอก็โกรธขึ้นมา และก้าวถอยไปด้านนอกอีกก้าว ดูเหมือนกำลังจะกระโดดลงไปจริง ๆ “ทำไมเธอถึงพูดเหมือนฉันสูงส่งขนาดนั้นกัน? เธอไม่เข้าใจอะไรเลย! เธอมีทั้งพ่อแม่และครอบครัวที่มีความสุข แต่ฉันล่ะ? ฉันเป็นแค่ลูกบุญธรรมของพวกเขา เป็นเพียงเครื่องมือต่อรองให้พวกเขาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ถ้าฉันเสียงานนี้ไป พวกเขาจะจับฉันแต่งงานกับคนแก่!”
เธอปาดน้ำตา แล้วพูดด้วยความมุ่งมั่น “หากวันนี้เธอไม่ยอม ฉันจะกระโดดลงไป!”
“เหอคุนเฟิ่ง ตอนนี้เราอยู่ในยุคไหนกันแล้วคะ? ถ้าคุณไม่เต็มใจแต่งงานจริง ๆ พ่อแม่ของคุณจะบังคับคุณได้ยังไง! คุณคิดว่าสถานีตำรวจมีไว้แค่ประดับข้างทางเหรอคะ? ต่อให้ไม่ไปแจ้งตำรวจ คุณก็ออกจากบ้านหลังนั้นได้ ในฐานะผู้ใหญ่ คุณจะอยู่โดยไม่มีครอบครัวไม่ได้เหรอคะ?” ลู่ฉิวเยว่แทบจะหัวเราะด้วยความโกรธ อีกฝ่ายคงคิดว่าตัวเองอยู่ในยุคก่อนการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนหรืออย่างไรกัน?
ทันใดนั้นเหอคุนเฟิ่งก็ได้สติ ดูเหมือนว่าความคิดทุกอย่างจะคลี่คลายแล้ว
“เอาล่ะ รีบลงมาเร็วเข้า มันไม่คุ้มที่จะกระโดดตึกเพราะพ่อแม่แบบนั้นหรอกนะคะ” ลู่ฉิวเยว่ตะโกน
หญิงสาวโยนความผิดที่ทำให้เหอคุนเฟิ่งกระโดดตึกใส่หัวพ่อแม่ของอีกฝ่ายแทน
เหอคุนเฟิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถอยเท้าข้างหนึ่งอย่างลังเล แล้วเดินตัวสั่นเทาลงมาจากดาดฟ้า
เมื่ออาจารย์ใหญ่เห็นว่าในที่สุดสถานการณ์ก็คลี่คลาย เขาก็สั่งให้พวกครูอาจารย์พานักเรียนออกไป จนผ่านไปสักพักก็เหลือเพียงเขา ลู่ฉิวเยว่ และอาจารย์อีกสองสามคนเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าเรื่องนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว ลู่ฉิวเยว่ก็กำลังจะกลับห้องเรียน แต่จู่ ๆ เสียงของเหอคุนเฟิ่งก็ดังขึ้น “ลู่ฉิวเยว่…”
ลู่ฉิวเยว่เลิกคิ้วมองเธอ “มีอะไรเหรอคะ?”
เหอคุนเฟิ่งสงบลงแล้ว และรู้สึกอับอายมาก เมื่อนึกถึงสิ่งที่เธอเพิ่งทำลงไป ทั้งที่ตัวเองเอาแต่พูดว่าเป็นนักศึกษาวิทยาลัย และดูถูกเด็กสาวชาวบ้านอย่างลู่ฉิวเยว่แท้ ๆ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะมองเธอออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
“ฉันอยากคุยกับเธอตามลำพัง”
“ได้ค่ะ” ลู่ฉิวเยว่ขมวดคิ้ว แต่ก็ตอบตกลง
อาจารย์ใหญ่มองด้วยความกังวล พร้อมกับส่งสายตาตักเตือนลู่ฉิวเยว่
ลู่ฉิวเยว่แกล้งทำเป็นไม่เห็น แล้วเดินตามเหอคุนเฟิ่งออกไปข้างนอก
หญิงสาวเดินไปที่ร่มไม้ ก่อนจะพูดว่า “คุณอยากจะพูดอะไรกับฉันเหรอคะ?”
“ขอบคุณนะ เรื่องที่เธอพูดกับฉันเมื่อกี้นี้น่ะ” เหอคุนเฟิ่งโค้งคำนับเธอเล็กน้อยด้วยความซาบซึ้ง
เธอติดอยู่ในความดูแลของพ่อแม่มาหลายปีแล้ว ทุกคนต่างบอกว่าพ่อแม่เลี้ยงดูเธอมานานหลายปีแล้ว เธอจึงควรมีส่วนช่วยครอบครัวด้วยการแต่งงาน ถ้าลู่ฉิวเยว่ไม่ช่วยเตือนสติ เธอก็คงจะสับสนไปชั่วชีวิตจริง ๆ
มีหลายวิธีในการตอบแทนพระคุณการเลี้ยงดู โดยที่ไม่ต้องสละความสุขของเธอเสมอไป
ลู่ฉิวเยว่ไม่คาดคิดว่าเธอจะมาพูดเรื่องนี้ จึงโบกมือด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว หนูขอตัวก่อนนะคะ”
เมื่อเห็นเหอคุนเฟิ่งพยักหน้า เธอก็เดินเข้าไปในโรงเรียน
หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ เหอคุนเฟิ่งก็รู้สึกโล่งใจราวกับภาระหนักหนาที่เธอแบกอยู่นั้นเบาลงมาก
ในที่สุดเธอก็รู้ว่าทำไมจ้าวซูซินถึงแพ้ลู่ฉิวเยว่
ลู่ฉิวเยว่รีบกลับมาที่ห้องเรียนอย่างรวดเร็ว มันเงียบมาก ไม่มีใครพูดอะไร แต่ทุกคนต่างมองหน้าเธอ
เธอเลิกคิ้ว แล้วเดินไปอ่านหนังสือที่โต๊ะอย่างสงบ
“ลู่ฉิวเยว่ เธอยอดเยี่ยมมาก!”
ทันทีที่ลู่ฉิวเยว่นั่งลง เธอก็ได้ยินเสียงชื่นชมจากเพื่อนร่วมโต๊ะ เมื่อหันไปมองก็เห็นเฉิงเฉิงยกนิ้วให้ด้วยท่าทางเกินจริง
เธอหัวเราะเบา ๆ แล้ววางมือลงบนโต๊ะ “ตั้งใจเรียนดี ๆ เถอะน่า อย่าฟุ้งซ่านเพราะเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องเลย”
หลังจากพูดจบ เธอก็หมกมุ่นอยู่กับการบ้าน เธอดูสงบนิ่งราวกับว่าคนที่ประสบกับเรื่องต่าง ๆ เมื่อครู่นี้ไม่ใช่เธอ
เฉิงเฉิงตกตะลึงเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยายามอย่างมาก และยังตั้งใจเรียนอย่างหนักแบบไม่ยอมแพ้
ตอนค่ำ ลู่ฉิวเยว่เห็นฉินซือทันทีที่ออกจากโรงเรียน เธอจึงประหลาดใจและวิ่งมาหาด้วยความดีใจ “คุณมาได้ยังไงเนี่ย?”
ฉินซือยกยิ้ม แล้วเปิดประตูรถให้เธอ “วันนี้ผมไม่มีอะไรทำ เลยมารับคุณกลับบ้านน่ะ”
ลู่ฉิวเยว่เลิกคิ้วมองชายที่นั่งบนเบาะคนขับ แล้วมีความสุขกว่าเดิม ตอนที่เรียนในชาติที่แล้ว เธอไม่อยากมีความรัก เมื่อทำงาน เธอก็ได้เห็นนิสัยของผู้ชายชัดเจนเกินไป จึงยิ่งไม่อยากมีความรัก
ต่อมาก็รู้สึกเสียใจเสมอ เมื่อเห็นหนุ่มสาวเดินไปโรงเรียนด้วยกันบนถนน ไม่คิดว่าเมื่อได้เกิดใหม่ เธอจะได้รู้สึกถึงการตกหลุมรักในวัยเรียน
“เมื่อสองสามวันก่อน ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่ามีครูให้นักเรียนมาใส่ร้ายฉัน วันนี้เธอมาที่โรงเรียน และจะกระโดดลงจากตึกจริง ๆ ด้วย” เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ลู่ฉิวเยว่ก็เล่าให้ฉินซือฟังด้วยความขบขัน
“แล้วคุณจัดการยังไงเหรอ?” ฉินซือเลิกคิ้วมองเธอด้วยความสนใจ
เขาไม่กังวลว่าลู่ฉิวเยว่จะจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ดี เพราะถ้าเธอพูดออกมาง่าย ๆ แบบนี้ แสดงว่าจัดการเรื่องราวเรียบร้อยแล้ว
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะเบา ๆ แล้วเล่าเรื่องที่เธอบอกเหอคุนเฟิ่งในวันนี้
ฉินซืออดไม่ได้ที่จะพูดเสริม “ไม่ต่างจากที่คิดไว้เลย” เธอมีวิธีจัดการกับเรื่องต่าง ๆ ที่ไม่เหมือนใครเสมอ หากคนอื่นคุกคามเธอ คนพวกนั้นย่อมถูกปราบจนราบคาบ
แต่เขายังคงกังวลเล็กน้อย และตัดสินใจว่าช่วงนี้เขาจะมารับลู่ฉิวเยว่ที่โรงเรียนด้วยตัวเอง
ตามที่ลู่ฉิวเยว่คาดไว้ หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ชื่อเสียงของเธอก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งโรงเรียน และมีข่าวลือเกี่ยวกับเธอมากมาย
บางคนบอกว่าเธอมีนิสัยแข็งแกร่ง กล้ารักกล้าเกลียด บางคนบอกว่าเธอฉลาด ถึงเกลี้ยกล่อมเหอคุนเฟิ่งให้ลงมาจากดาดฟ้าได้สำเร็จ หลายคนบอกว่าเธอเย็นชาและเห็นแก่ตัว เพราะแม้เหอคุนเฟิ่งจะกำลังกระโดดตึก แต่เธอก็ยังไม่ยอมปล่อยวางความโกรธแค้น และช่วยอ้อนวอนอาจารย์ใหญ่ให้
บางครั้งเธอจึงต้องเผชิญกับสายตาเย้ยหยัน ขณะเดินอยู่ที่ทางเดิน
เฉิงเฉิงซึ่งเดินมากับเธอโกรธมากจนควันแทบออกหู แต่เธอกลับทำตัวปกติ เพราะคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องเด็ก ๆ จึงไม่มีอะไรต้องโกรธ
เมื่อเห็นว่าเฉิงเฉิงกำลังจะเข้าไปโต้เถียงกับคนอื่น ลู่ฉิวเยว่ก็หัวเราะอย่างอดไม่ได้ และรู้สึกอบอุ่นหัวใจเล็กน้อย ก่อนจะดึงเธอเข้าไปในห้องเรียนด้วยกัน