สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 219 สมัครเรียน
บทที่ 219 สมัครเรียน
“คนที่มีการศึกษาแตกต่างจากคนทั่วไปจริง ๆ สินะ” ลู่ฉิวเยว่หยุดชะงักไปนานก่อนจะพูด
เธอเริ่มสนใจที่จะไปเรียนมหาวิทยาลัยมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะไม่อยากให้คนอื่นพูดว่าเธอเป็นเพียงคนที่รวยจากการทำธุรกิจเท่านั้น
“ฉินซือ เราเอาจดหมายฉบับนี้ใส่กรอบกันเถอะ…” ลู่ฉิวเยว่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง นิ่งคิดอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะปฏิเสธ “ไม่สิ เราต้องจ้างมืออาชีพมาใส่กรอบโดยเฉพาะ”
จดหมายฉบับนี้มีค่ามาก เธอต้องดูแลให้ดี
ฉินซือหัวเราะในลำคอพลางลูบศีรษะของหญิงสาว “พวกเราไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า”
ตอนเที่ยง ลู่ฉิวเยว่ก็ได้รับโทรศัพท์จากซูเจิ้น
“เถ้าแก่ซูมีอะไรหรือเปล่าคะ?” เธอกะพริบตาด้วยความมึนงง
ซูเจิ้นเป็นเจ้าของโรงแรมที่เธอเคยพบจากการแข่งขันทำอาหารครั้งล่าสุด ลู่ฉิวเยว่จะผลิตเครื่องปรุงอาหารส่งให้โรงแรมของเขาทุกเดือน ทั้งสองฝ่ายร่วมทำธุรกิจกันมาสักพักแล้ว
ในเมื่อหญิงสาวถามอย่างตรงไปตรงมา ซูเจิ้นก็ไม่อ้อมค้อมเช่นกัน “ฉิวเยว่ ฉันได้ข่าวมาว่าร้านอาหารของเธอมีเมนูใหม่เยอะมากเลย เธอช่วยทำเครื่องปรุงใหม่ให้ฉันหน่อยได้ไหม? ราคาก็เท่ากับที่ฉันเคยซื้อก็ได้”
เขาทราบข่าวเกี่ยวกับร้านอาหารใหม่ของลู่ฉิวเยว่มานานแล้ว และในวันเปิดร้าน ซูเจิ้นก็ยังมาร่วมแสดงความยินดี
เขาพบว่าเมนูใหม่หลายอย่างในร้านของเธอได้รับความนิยมเป็นจำนวนมาก ทำให้ร้านของเธอมีลูกค้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นเขาจึงอยากจะได้เครื่องปรุงทำเมนูเหล่านั้นสำหรับโรงแรมของตนเองบ้าง
ลู่ฉิวเยว่เข้าใจทันที จึงตอบด้วยความยินดีว่า “ได้เลยค่ะ วันพรุ่งนี้ฉันจะเขียนสัญญา แล้วเดือนหน้าก็จะส่งเครื่องปรุงชุดใหม่ให้โรงแรมของคุณนะคะ”
ซูเจิ้นร่วมธุรกิจกับเธอมาได้สักพักใหญ่แล้ว ทั้งสองฝ่ายจึงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ฉะนั้นลู่ฉิวเยว่จึงยินดีให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
ซูเจิ้นพยักหน้า พลางตอบด้วยความดีใจผ่านสายโทรศัพท์ว่า “งั้นวันพรุ่งนี้เราเจอกันที่เก่าเวลาเดิมนะ?”
“ได้เลยค่ะ”
…
วันต่อมา หลังจากลู่ฉิวเยว่เซ็นสัญญากับซูเจิ้นเรียบร้อยแล้ว เธอก็ไม่ได้กลับบ้านทันที แต่นั่งรถสามล้อไปยังสถานศึกษาที่อยู่ใกล้ที่สุด
ลู่ฉิวเยว่วางแผนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย คงต้องชะลอการทำธุรกิจก่อน สิ่งสำคัญในช่วงนี้คือการสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้
รถสามล้อหยุดลงตรงหน้าสถานที่แห่งหนึ่ง ลู่ฉิวเยว่จ่ายค่าโดยสารและก้าวลงจากรถ ยืนมองตึกใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าอย่างพิจารณา
อาคารเป็นตึกซีเมนต์สามชั้นที่มีสภาพเก่าโทรม ผนังด้านนอกกลายเป็นสีเหลือง ซึ่งคงไม่ใช่โรงเรียนระดับมัธยมปลายที่สวยงามและเป็นระเบียบอย่างที่เกิดขึ้นในยุคหลัง แต่ถ้าเทียบกับในยุคนี้ ก็ถือว่าสถานศึกษาแห่งนี้มีสภาพที่ดีมากแล้ว เพราะคนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านชนบทยังอาศัยอยู่ในบ้านดินด้วยซ้ำ…
ทางโรงเรียนไม่มีรั้วกั้นและไม่มียามรักษาความปลอดภัย เธอต้องเดินหาอยู่นานกว่าจะเจอห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่
“มาหาใครเหรอครับ?” ชายชราวัยหกสิบปีเศษกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ตอนที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น เมื่อเงยหน้ามอง เขาก็พบกับลู่ฉิวเยว่
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มสุภาพ “อาจารย์ยังรับนักเรียนใหม่อยู่ไหมคะ?”
ชายชรายิ้มอย่างอ่อนโยน “รับสิ เธอมาเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ”
ในยุคนี้ยังคงมีนักเรียนอยู่ไม่มาก ตามสถานศึกษาขนาดเล็กจะมีนักเรียนเพียงไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น และย่อมมีอาจารย์สอนอยู่ไม่มากเช่นกัน ชายชราคนนี้จึงรับหน้าที่ดูแลเรื่องราวภายในด้วยตัวเอง
เขาเป็นทั้งคนเก็บค่าเทอม เก็บค่าหนังสือ เก็บใบลงทะเบียน และยังเป็นคนอนุมัติขั้นตอนต่าง ๆ อีกด้วย
“วันพรุ่งนี้เธอเริ่มมาเรียนได้เลยนะ” ชายชราย้ำ
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า “ขอบคุณค่ะ” แล้วเธอก็เดินจากไป
…
วันต่อมา ลู่ฉิวเยว่ตั้งใจไปถึงห้องเรียนก่อนสิบนาที แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อไปถึงแล้วจะมีคนจำนวนมากมาถึงก่อนแล้ว
หญิงสาวถึงกับหยุดชะงัก ดูเหมือนว่าทุกคนคงพยายามตั้งใจที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้เหมือนกัน
ทุกยุคทุกสมัยย่อมมีผู้นำที่โดดเด่น แม้ลู่ฉิวเยว่จะเคยเรียนโรงเรียนมัธยมมาแล้ว แต่เธอก็ไม่กล้าประมาท และได้แต่บอกตัวเองในใจว่า วันพรุ่งนี้จะต้องมาเร็วกว่านี้ให้ได้
หลังจากกวาดสายตามองรอบตัวแล้ว ลู่ฉิวเยว่ก็พบว่าเหลือเก้าอี้ว่างตัวเดียวในห้องเรียน
ลู่ฉิวเยว่ไม่ทันสังเกตว่าเมื่อเธอปรากฏตัวขึ้น ภายในห้องเรียนก็เงียบลงทันที
การสอบเข้ามหาวิทยาเพิ่งจะเปิดรับสมัครอีกครั้ง ดังนั้นหากมีคนเดินเข้ามาในห้องเรียนจะไม่มีใครสนใจ และก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไป
แต่วันนี้เป็นข้อยกเว้น
เพราะว่าลู่ฉิวเยว่งดงามมาก!
วันนี้ลู่ฉิวเยว่ถักผมเปียอย่างง่าย สวมเสื้อใยสังเคราะห์สีขาวเบาสบาย และกางเกงขายาวสีดำ เธอแต่งกายธรรมดา แต่เพราะมีใบหน้าอันงดงามและเปียที่สะดุดตา ลู่ฉิวเยว่จึงดูโดดเด่นเป็นพิเศษ
ไม่ใช่แค่หนุ่ม ๆ เท่านั้น แม้แต่บรรดาเด็กสาวก็จ้องมองเธอเป็นตาเดียว
“นักเรียนใหม่สวยจังวะ สวยกว่าเพื่อนร่วมชั้นของพวกเราทุกคนอีก!” สวี่เฉิงเดาะลิ้น ยกหนังสือขึ้นมาปิดหน้าพลางกระซิบกับเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ
“สวยจริง ๆ ด้วย”
เพื่อนร่วมโต๊ะตอบ จนสวี่เฉิงกรามแทบร่วง เพราะไม่คิดว่าหนอนหนังสือที่ไม่ค่อยสนใจโลกภายนอกอย่างหมอนี่จะตอบรับคำของเขา
บทสนทนาระหว่างพวกเขาไม่ได้ดังมากนัก แต่เกาเฉียวเฉียวซึ่งนั่งอยู่ทางด้านหลังก็หูดีพอจะได้ยิน เธอย่นจมูกเล็กน้อย
ไม่เคยมีนักเรียนหญิงคนไหนหน้าตาดีกว่าเธอ! เจ้าทึ่มสองคนนั้นสงสัยจะตาถั่วกันหมดแล้ว
เกาเฉียวเฉียวหันกลับมามองลู่ฉิวเยว่ด้วยความมุ่งร้าย เธอโมโหเสียจนไม่ได้ฟังสิ่งที่อาจารย์สอนแม้แต่คำเดียว
ลู่ฉิวเยว่รู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนจ้องมอง จึงหันหน้าไปมอง แล้วสายตาของเธอก็สบกับสายตาอิจฉาและดุร้ายของเกาเฉียวเฉียว
ลู่ฉิวเยว่ขมวดคิ้วด้วยความมึนงงเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่ได้สนใจอีก เธอแค่ก้มหน้าอ่านหนังสือเรียนต่อไป
หนังสือเรียนในยุคนี้มีขนาดเล็กกว่าและเนื้อหาก็แตกต่างกับยุคต่อมา แต่สิ่งเหล่านี้คือความรู้ที่เธอเคยเรียนมาแล้ว ดังนั้นลู่ฉิวเยว่จึงทบทวนเนื้อหาทั้งหมดอีกครั้งได้ไม่ยาก
อุปสรรคอย่างเดียวก็คือเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้มีไม่มากนัก
ลู่ฉิวเยว่พึมพำกับตัวเองว่าเธอคงต้องไปหาหนังสืออ่านนอกเวลาที่ร้านหนังสือเสียแล้ว
วิชาภาษาจีนเรียนเป็นคาบแรก อาจารย์ที่สอนมีอายุเพียงยี่สิบปีเศษเท่านั้น
คุณภาพการสอนอยู่ในระดับปานกลาง ยิ่งลู่ฉิวเยว่ฟังมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งเบื่อหน่าย แต่เธอก็ไม่ได้แสดงความไม่พอใจออกมาทางสีหน้า และยังคงทำตัวเป็นเด็กนักเรียนที่ดีต่อไป
แต่ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ลู่ฉิวเยว่จึงรู้สึกว่าอาจารย์สาวที่ชื่อว่าเหอคุนเฟิ่งกำลังมองเธอแปลก ๆ
ลู่ฉิวเยว่จึงคาดเดาว่าอาจารย์อาจจะไม่ชอบหน้าเธอ และการคาดเดานั้นก็ถูกต้อง เพราะเหอคุนเฟิ่งไม่ชอบเธอจริง ๆ เมื่อวิชาภาษาจีนจบลง เหอคุนเฟิ่งก็เดินตรงไปที่ตู้โทรศัพท์และโทรไปหาจ้าวซูซินทันที “ซูซิน เดาซิว่าฉันเจอใคร?”
จ้าวซูซินถามด้วยความประหลาดใจ “ใครเหรอ?”
“ก็ผู้หญิงที่แย่งฉินซือของเธอไปไง!” เหอคุนเฟิ่งหัวเราะเยาะ “หล่อนมาเป็นนักเรียนในโรงเรียนของฉัน!”
เมื่อจ้าวซูซินได้ยินชื่อนั้น เธอพลันโมโหขึ้นมา “นังนั่นไปเรียนหนังสือจริง ๆ สินะ!”
หลังจากต้องพ่ายแพ้ให้ลู่ฉิวเยว่ครั้งแล้วครั้งเล่า จ้าวซูซินก็อยากฉีกกระชากร่างของอีกฝ่ายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เหอคุนเฟิ่งพยายามปลอบใจว่า “คอยดูเถอะ ซูซิน ฉันจะต้องช่วยเธอให้ได้ ฉันจะทำให้นังนั่นได้รู้ว่าคิดจะแย่งผู้ชายของคนอื่นน่ะ ไม่ง่ายหรอกนะ!”
“ได้เลย คราวที่แล้วเธอบอกว่าชอบกระเป๋าของฉันที่พ่อซื้อมาให้จากต่างประเทศใช่ไหม? เดี๋ยวฉันจะเอาไปให้เธอนะ” จ้าวซูซินมีความสุขขึ้นมาทันทีเมื่อคิดว่าลู่ฉิวเยว่กำลังจะถูกกลั่นแกล้งอยู่ในโรงเรียน
เหอคุนเฟิ่งขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความดีใจ แม้ว่าครอบครัวของเธอจะไม่ได้ยากจน แต่พ่อแม่ของเธอก็ไม่ได้มีเงินเหมือนพ่อแม่ของจ้าวซูซิน แม้เธอจะเคยขอร้องให้พ่อแม่ซื้อกระเป๋าแบบเดียวกันหลายครั้ง แต่พวกท่านก็ไม่เคยซื้อให้
ทว่าเหอคุนเฟิ่งยังไม่ทันได้ลงมือ ก็เกิดเรื่องขึ้นในชั้นเรียนเสียก่อน
…
วันต่อมา
“นาฬิกาของฉันหายไปไหน!?” เกาเฉียวเฉียวส่งเสียงโวยวายพร้อมกับค้นหาในลิ้นชักที่โต๊ะหนังสือ ท่าทางกระวนกระวายใจแทบตายแล้ว
ภายในห้องเรียนเงียบกริบ นาฬิกาข้อมือเป็นสิ่งของที่มีราคาแพงมากในยุคนี้ ถ้าทำหายไปก็ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย